ตามหาความรักตามล่าความแค้นกับภาพยนตร์ บางกอกกังฟู
จากความชอบส่วนตัวในการชมภาพยนตร์จีนแนวบู๊กำลังภายใน ทำให้ "ต้อม - ยุทธเลิศ สิปปภาค" เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะลองพลิกมากำกับภาพยนตร์แนวนี้ดูบ้าง ในที่สุด "บางกอกกังฟู" ภาพยนตร์บู๊กำลังภายในตามแบบฉบับของไทย ตามที่เจ้าตัวเคยได้ฝันเอาไว้ก็พร้อมที่จะเข้าฉายให้ได้ชมกัน โดยเปิดตัวรอบสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ลานฮอลลีวูดฮอลล์ ชั้น 1 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน
สำหรับบรรยากาศงานเปิดตัวภาพยนตร์ ทั่วทั้งบริเวณที่จัดงานเรียกได้ว่ากลายเป็นสถานที่รวมตัวของแฟนคลับไปโดยทันที เพราะว่ามีเหล่าแฟนคลับของแต่ละคนต่างก็มาให้กำลังใจกันศิลปินที่ตนเองต่างปลื้มกันอย่างคับคั่ง เริ่มเปิดงานด้วยเพลงประกอบภาพยนตร์จากเสียงร้องของหนุ่ม "แจ็ค - จารุพงศ์ กล้วยไม้งาม" ในเพลง "Give Me Fight" ตามมาด้วยเพลงช้าๆ "ว้าวุ่น" ที่ "แก้ว - จริญญา ศิริมงคลสกุล" นักแสดงนำหญิงคนเดียวของเรื่องมาถ่ายทอดด้วยตัวเอง จากนั้นต่อด้วยการพูดคุยกับผู้กำกับ แก้ว รวมถึงนักแสดงนำชายอย่าง "เป้ - อารักษ์ อมรศุภศิริ" "โอ้ - มาริโอ้ เมาเร่อ" "แบงค์ - อธิกิตติ์ พริ้งพร้อม" และ "โทโมะ - วิศว ไทยานนท์"
ต้อม บอกถึงเรื่องราวในภาพยนตร์ให้ฟังว่า "เป็นหนังของขอทานเด็กกลุ่มนึง ซึ่งพยายามหนีออกจากพวกแก๊งค้ามนุษย์ แล้วสุดท้ายเขาไปเจอกับผู้มีวิทยายุทธ์ หลังจากนั้นก็เลยเกิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตามหาความรัก การตามล่าความแค้น" พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมถึงบทบาทของนักแสดงนำที่มีลักษณะพิเศษว่า "ตอนถูกพวกแก๊งค้ามนุษย์จับไป พวกนี้พยายามหนี เขาก็เลยถูกลงโทษ บางคนถูกตัดลิ้น บางคนถูกแทงตา บางคนถูกตบบ้องหูจนหนวก บางคนถูกทุบ แล้วเขาก็ค้นพบว่าความพิการทำเงินให้พวกแก๊งค้ามนุษย์"
ส่วนแนวภาพยนตร์ก็มาจากความชอบส่วนตัว และต้องการสะท้อนปัญหาสังคมในเรื่องการลักพาตัวเด็ก "มาจากความชอบมากกว่า เหมือนเราโตมากับหนังจีนกำลังภายใน แต่มีช่วงนึงหนังจีนกำลังภายในหมดความนิยมไป เราเริ่มไปสนุกกับการดูหนังสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ จากฮอลลีวูด แล้วสิ่งที่เรียกว่าหนังกำลังภายใน ถูกเอากลับมาอีกทีในรูปแบบของหนังฮอลลีวูด ไม่เหลือความเป็นจีน
ที่พี่ทำเพราะรู้สึกว่าชอบหนังกำลังภายใน แล้วก็ทำหนังมาหมดทุกแนวแล้ว ยังมีอะไรที่เราอยากทำ เรารู้สึกสนุก เอ๊ะ มันเป็นไปได้ไหมที่หนังไทยจะมีหนังแบบนี้ เป็นหนังไทยกำลังภายในสักเรื่องนึง ก็เลยผูกเรื่องอะไรต่างๆ นานาตามความรู้สึก แล้วก็มาบวกกับความรู้สึกตอนเด็กๆ คือว่าเวลาจะออกจากบ้าน แม่เขาจะบอกว่าระวังนะคนจะจับไปขาย แล้วมาจนปัจจุบันเด็กที่ถูกจับไปขายถูกจับไปทรมานยังมีอยู่ แล้วที่สำคัญคือไม่มีใครช่วยอะไรได้ แค่ครึ่งหนึ่งที่เด็กหายไปแล้วถูกตามได้ ที่เหลือเราไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะเป็นยังไง อันนั้นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง"
โทโมะ พูดถึงการร่วมงานกับ ต้อม ครั้งแรกว่า "ตัวโทโมะก็รู้สึกดีมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับพี่ต้อมนะครับ ตอนแรกคิดว่าพี่ต้อมจะเป็นคนดุ เป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ แต่พอเจอตัวจริงพี่เขาเป็นคนตลกแล้วก็เป็นคนที่น่ารักมากครับ อยากร่วมงานอีกทีครับ" ต่อด้วย แก้ว บอกว่า "ดีใจค่ะ ดีใจที่ได้ร่วมงานกับพี่ต้อม พี่ต้อมน่ารักมากค่ะ พอทำงานด้วยแล้วสบายใจค่ะ เพราะว่าพี่ต้อมพอทำงานจริงๆ เขาจะเป็นคนจริงจัง แต่ว่าพอหลังจากทำงานเสร็จพี่เขาก็จะสบายๆ เฮฮา"
ส่วน แบงค์ เผยว่า "ของผมขอพูดประเด็นขอบคุณแล้วกันครับ ขอบคุณที่ให้ผมได้มาเล่นเรื่องนี้ เพราะว่าบทของเรื่องนี้ผมค่อนข้างจะได้เล่นครบทุกแนว เรื่องเดียวได้รับบทเรียนจากผู้กำกับคนนี้ครบทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นแอ็กชัน คอมเมดี ต้องเล่นเป็นคนพิการด้วย ดราม่า (หัวเราะ) เล่นทุกอย่างในเรื่องเดียว ก็ต้องขอบคุณพี่ต้อมครับ"
ด้าน 2 หนุ่มที่เคยร่วมงานกับ ต้อม มาก่อนหน้านี้แล้ว ก็เล่าถึงการกลับมาร่วมกันอีกครั้ง โดย โอ้ บอกว่า "แฮปปี้มากเลยครับ สนิทกับพี่ต้อมแล้วก็ทีมงานของพี่ต้อมอยู่แล้วครับ ดีใจครับที่ได้ทำงานกับพี่ต้อมอีกครั้งนึงครับ แต่ก็หนักใจเพราะว่าบทมันยากครับ" ส่วน เป้ กล่าวว่า "ร่วมงานกับพี่ต้อมเป็นเรื่องที่ 2 แล้วครับ ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกันอีกครั้ง พี่ต้อมก็ยังคมเหมือนเดิมครับ ทำงานไม่หนักแต่งานออกมาดีครับ"
เป้ เล่าถึงบทบาทที่ได้รับในเรื่องให้ฟังว่า "สำหรับผม บทเป็นใบ้พี่ต้อมเขาคงเลือกมาจากคาแรกเตอร์นะครับ เพราะปกติจะมีปัญหาด้านการพูดอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องพูดเลย อ๊ะๆ ไปตลอดเลย สบายครับ" ส่วน โอ้ ขอชี้แจงบทที่ได้รับว่า "ผมไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อนนะครับ แต่ว่าในเรื่องพี่ต้อมเขาอยากให้เป็นออทิสติก คือผมก็หนักใจ เพราะว่าเรื่องของออทิสติกไม่ใช่ว่าเราต้องไปเลียนแบบท่าของคนอื่นเขามา เราไม่ได้คิด ท่าจะมาเป็นธรรมชาติเอง ผมก็หนักใจเพราะว่าดูแล้วก็ยากต้องเล่นแบบนี้ แล้วพี่ต้อมก็เลยให้หนังมาเรื่องนึง พี่ต้อมบอกว่าให้ไปหาคาแรกเตอร์มาให้ได้ครับ"
ด้าน ต้อม ชมการแสดงที่ทุ่มเทสมจริงของ โอ้ ว่า "เขาเล่นได้เนียน ไม่ได้เล่นเยอะ เขาเรียกว่าเล่นแบบสมบูรณ์มาก จนเป็นความสมบูรณ์ที่เรานึกไม่ถึง เราให้อยู่ประมาณนี้ พอหันไปอีกทีนั่งน้ำลายไหลอยู่ โอ้โหเอาขนาดนี้เลยเหรอ นี่ถ้าพี่ไม่หันไปเจอ พี่ไม่รู้นะเนี่ย เกือบตัดออกแล้ว" โอ้ ช่วยเสริมต่อว่า "แล้วอยู่ไกลมากด้วย แล้วน้ำลายมันไหลพอดี กล้องไม่ได้ซูม"
แบงค์ เผยถึงความหนักใจในบทของตัวเองว่า "บทนี้ผมหนักใจตรงขั้นตอนที่พี่ต้อมบรีฟครับ พี่ต้อมจะบอกว่าอยากให้เล่นเป็นคนตาบอดที่ดูเป็นคนที่ตาไม่บอด ยากแล้ว คือตาบอดก็ยากแล้ว ให้เป็นคนที่ดูเหมือนไม่ตาบอดด้วย จะเป็นคนตาบอดที่มีปมอยู่ในใจว่าฉันไม่อยากตาบอด ฉันอยากเป็นคนปกติ จะเป็นตัวละครที่พยายามจะทำอะไรเป็นคนปกติตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเป็นคนตาบอดแล้วไปซื้อรถมาขับ เดี๋ยวไปดูกันครับ"
ฟาก แก้ว บอกว่า "ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะว่าก็เป็นคนปกติ ในเรื่องนี้ก็ไม่แอ็กชัน ไม่มีแอ็กชันเลยด้วย จะเป็นในเรื่องของความรักแล้วดราม่าส่วนมากมากกว่า จะเป็นแบบร้องไห้ ต้องไปดูค่ะ" ด้าน โทโมะ พูดถึงความยากในบทบาทของตัวเองว่า "ก็หนักใจอยู่นะครับ เพราะว่าเรื่องแรกเลยเราต้องเล่นเป็นคนหูหนวกแล้วเราต้องบู๊ด้วยครับ เป็นอะไรที่หนักใจมาก แต่ก็โชคดีที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเทควันโดมาก่อน ด้านแอ็กชันก็พอไปได้อยู่ แต่อาจจะยากเรื่องซีนดราม่ามากกว่าครับ เรื่องแอ็กติ้งยังยากอยู่ ต้องฝึกต่อไปครับ"
เป้ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ขอบคุณพี่ต้อมมากๆ นะครับ ขอบคุณอาร์เอส ที่ให้โอกาสพวกผมทุกคนได้ร่วมงานภาพยนตร์เรื่องนี้กันนะครับ ฝากทุกคนด้วยนะครับ ผมคิดว่าน่าจะสนุกครับ แล้วก็ชมภาพยนตร์ให้สนุกครับ บางกอกกังฟู ครับ" ส่วน แก้ว ก็ฝากถึงภาพยนตร์ว่า "ก็ฝากหนังเรื่องนี้ด้วยแล้วกันค่ะ เข้าแล้ว 1 กันยายน ขอฝากไว้ด้วย หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกของแก้วด้วย คิดว่าทุกคนคงจะไม่เคยเห็นแต่ละคนในคาแรกเตอร์แบบนี้มาก่อน พี่เป้จะมาแบบเป็นใบ้ ไม่มีใครปกติ แล้วก็ 5 คนก็เล่นเต็มที่มากๆ เลยค่ะ ก็อยากให้คนมาช่วยกันอุดหนุนหนังไทยเรื่องนี้ค่ะ"
เรื่องราวของความรัก การตามล่าล้างแค้น และการใช้วิทยายุทธ์ของกลุ่มคนพิเศษทั้ง 5 คน จะลงเอยยังไงต้องติดตามใน บางกอกกังฟู ภาพยนตร์รักผสมบู๊กำลังภายในตามแบบฉบับของ ต้อม วันที่ 1 กันยายน นี้ในโรงภาพยนตร์