ทราย เข็ดเล่นน้ำตก เปิดใจชอบฉากรบลุยโหดใน นเรศวร
"ทราย - อินทิรา เจริญปุระ" เทใจเต็มร้อยกับบทบาทของ เลอขิ่น ธิดาเจ้าเมืองคังในภาพยนตร์ "นเรศวร" ภายใต้การกำกับของ "ท่านมุ้ย - หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล" ที่ส่งบทให้อย่างไม่ลังเล พร้อมกับชื่นชม ทราย แสดงได้ดี มีวินัย ตั้งใจมาก ยอมลุย ทุกสภาวะเหมาะกับบทเลอขิ่นที่สุด
"เลือกทรายมารับบทนี้ เพราะ เลอขิ่น เป็นเจ้าหญิงนักรบที่เก่งและแกร่งไม่แพ้ชายชาติทหาร ทั้งขี่ม้า ฟันดาบ ยิงธนู ใช้อาวุธแทบทุกประเภทได้ ก็เห็นว่าเขาเป็นคนคล่องแคล่ว มีความสามารถ ที่สำคัญคือมีความตั้งใจและมีสปิริตสูง ทุ่มเทให้กับงานเต็มที่ อดทน ยอมสู้ทุกอย่างไม่มีอิดออดเลย มีวินัยมาฝึกซ้อมทั้งการขี่ม้า การใช้อาวุธต่างๆ อย่างจริงจัง เหมาะที่จะรับบทนี้ที่สุด การถ่ายทำที่ผ่านมาก็พิสูจน์ฝีมือของเขาแล้วว่าตั้งใจทำได้ดี เราก็เอ็นดูเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน" ท่านมุ้ยกล่าว
นางเอกผิวน้ำผึ้งเผยถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "พอรู้ว่าได้เล่นหนังระดับนี้ แล้วยังมีบทบาทสำคัญขนาดนี้ ทรายก็ดีใจสุดๆ เลยค่ะ คงไม่มีใครทำได้อย่างท่านมุ้ย คือไม่ใช่มีเงินแล้ว จะทำได้เสมอไป เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งทหารและอีกหลายๆ ฝ่ายมาร่วมกัน ยิ่งได้แสดงเป็นนักรบ ทรายก็ยิ่งตื่นเต้นมาก เตรียมตัวฝึกซ้อมขี่ม้า ใช้ธนู ดาบ มีด มาเกือบ 2 ปี ถึงได้เข้าฉากถ่ายทำจริง ก็มีอุบัติเหตุตกม้าบ้าง เรื่องบาดเจ็บเป็นแผลเต็มตัวนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาเลยสำหรับการเล่นฉากรบบทบู๊ แต่ก็ไม่ถึงกับหนักหนาอะไร ทรายเองก็ทำเต็มที่เพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด"
การถ่ายทำ นเรศวร ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นฉากรบ เพิ่งมีการเปลี่ยนบรรยากาศเป็นฉากที่ เลอขิ่น เล่นน้ำตกเมื่อเร็วๆ นี้ โดยถ่ายทำที่น้ำตกผาตาด อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
"พอมีฉากแบบนี้เราก็ดีใจที่จะได้รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงสวยกับเขาบ้าง ต้องปล่อยผมยาวอาบน้ำ ก็เลยได้ต่อผมเป็นครั้งแรก เพราะทรายไม่เคยไว้ผมยาวขนาดนี้มาก่อน ชอบมาก แต่เวลาผมเปียกน้ำจะหนักมาก พอถ่ายเข้าจริงๆ กลับไม่สนุกอย่างที่คิด เพราะในฉากจะต้องเดินเข้าป่าไผ่เพื่อไปที่น้ำตก เดินๆ ไปก็เริ่มคัน เพราะผิวเรามีแพ้ง่ายจากที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว และต้องแช่น้ำเย็นเฉียบนานเป็นชั่วโมง รวมมิตรสารพัดทั้งคันทั้งหนาว ทรมานมากเลยกว่าจะถ่ายเสร็จ เข็ดจริงๆ ขอกลับไปเล่นฉากรบเหมือนเดิมดีกว่า"
เมื่อถามถึงการร่วมงานกับท่านมุ้ย ทรายบอกว่า "ท่านจะมีวิธีการทำงานในแบบของท่านค่ะ ส่วนใหญ่ท่านจะเล่าเรื่องให้ฟังท่าน โดยไม่ให้บทมาอ่านก่อน เพราะต้องการให้เราเข้าใจโดยไม่ต้องพะวงท่องจำบทมากเกินไป ทำงานกับท่านก็สบายใจ ท่านน่ารักมากค่ะ ไม่ถือตัว มีแหย่บ้างแกล้งบ้าง ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นดีค่ะ ส่วนฉากเลิฟซีนกับปีเตอร์ที่แสดงเป็นพระราชมนูในเรื่องนี้ ทรายก็ไม่กังวลเลย เพราะเชื่อมั่นว่าท่านมุ้ยจะทำให้เหมาะสม แล้วทรายก็สนิทกับปีเตอร์มาก"
แม้จะรับบทหนักในการสู้รบท่ามกลางเหล่าทหารมากมาย แต่ทรายก็สามารถทำได้ดีจนบรรดาทหารอาชีพต่างทึ่งในความสามารถของเธอ รวมไปถึงเพื่อนๆ นักแสดงต่างเอ่ยปากชมกันเปาะ โดย "ปีเตอร์ - นพชัย ชัยนาม" ที่รับบท พระราชมนู คนรักของ เลอขิ่น เผยว่า
"เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกัน ทรายเป็นคนร่าเริงดีครับ ร่วมงานกันแล้วสบายใจ อย่างฉากที่มีความเสี่ยงต้องขี่ม้าซ้อนกัน 2 คน แล้วข้างหลังจะมีม้าวิ่งตามมา 30-40 ตัว ทรายจะคอยบอกเราตลอดว่าไม่ต้องกังวลว่าเขาจะร่วงตกม้า ให้ทำความเร็วเต็มที่ ทำให้เราคลายกังวลลงได้มาก และในฉากที่ต้องสู้รบหนักๆ เขาก็ทำได้ ดีไม่แพ้ผู้ชายเลย จนทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิง แล้วก็ประทับใจที่เขามีความตั้งใจในการทำงานสูง"
ทางด้าน "เบิร์ด - ร.อ.วันชนะ สวัสดี" ผู้รับบท สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พูดถึงทรายว่า "ทรายมีความอดทนสูง ขยัน เรื่องการขี่ม้าหรือฟันดาบก็ทำได้ไม่แพ้ผู้ชายเลย เขามีพรสวรรค์ในด้านนี้ เป็นนักสู้จริงๆ ทรายให้ความสำคัญกับงานมาก เทใจทำให้ได้เต็มที่ทุกอย่างขอให้งานเสร็จ เจ็บตัวแค่ไหนก็อดทน ใจสู้ไม่ถอย และแม้ว่าภายนอกอาจจะดูห้าวๆ แต่จริงๆ แล้วทรายก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน บางครั้งก็มีอ่อนแอบ้าง เป็นคนอ่อนโยน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ จริงใจ ในส่วนของการแสดงเขาก็ให้คำแนะนำที่ดี ทำให้ผมมั่นใจขึ้นมาก ทุกครั้งที่เขาเข้าฉากรู้สึกว่าเขาทำได้ดี เห็นแล้วประทับใจ ดีใจที่ได้แสดงกับทรายครับ"
ส่วน "ต๊อด - พ.ท.วินธัย สุวารี" ผู้รับบท พระเอกาทศรถ เล่าว่า "ทรายเขาเป็นคนสนุกสนาน ง่ายๆ เข้าได้กับทุกคน เวลาอยู่ในกลุ่มผู้ชายก็จะกลมกลืนดี ทำให้เราสนิทสนมกันเหมือนพี่เหมือนน้อง และในกองถ่ายก็จะมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันเยอะ ทั้งการซ้อมขี่ม้า ฟันดาบ เขามีพรสวรรค์และทักษะด้านนี้มาก ซึ่งเราก็จะมีการแลกเปลี่ยนกันตลอด ด้านการแสดงทรายก็มีความรู้เยอะ เป็นคนที่ชอบศึกษาด้านนี้ และในบางแอ็กชั่นทรายทำได้ใกล้เคียงกับผู้ชายมาก"
โดยตัว ทราย เองทิ้งท้ายว่า ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้จะเสี่ยงอันตรายและถ่ายทำด้วยความยากลำบากเป็นปีๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ที่สำคัญอยากให้คนไทยทุกคนได้ดูว่ากว่าที่จะมาเป็นประเทศไทย มีผืนแผ่นดินไทยให้พวกเรายืนอยู่ทุกวันนี้ ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของบรรพบุรุษนับหมื่นนับแสนคน