บอดี้สแลม ได้เวลาเหมาะเล่าเรื่องราวสื่อผ่านอัลบั้ม คราม
4 หนุ่มร็อก "บอดี้สแลม" (Bodyslam) ได้แก่ "ตูน - อาทิวราห์ คงมาลัย" (ร้องนำ) "ยอด - ธนชัย ตันตระกูล" (กีตาร์) "ปิ๊ด - ธนดล ช้างเสวก" (เบส) และ "ชัช - สุชัฒติ จั่นอี๊ด" (กลอง) ได้ฤกษ์ส่งอัลบั้มชุดที่ 5 "คราม" แบบเต็มอัลบั้มมาให้แฟนๆ ได้ฟังกันแล้ว หลังจากส่งเพลง "คราม" ออกมาให้ฟังเมื่อปลายปี 2009 ก่อนปล่อยเพลง "ความรัก" และ "คิดฮอด" ตามออกมา ซึ่งก็ได้เปิดอัลบั้มไปพร้อมๆ กับวันวางแผงวันแรก เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 โดยมีสาวก บอดี้สแลม มาให้กำลังใจกันอย่างแน่นขนัดเต็มห้องออดิทอเรี่ยม ชั้น 21 ตึก จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
ตูน บอกถึงที่มาของชื่ออัลบั้ม คราม ที่นอกจากจะเป็นสีที่ตัวเองหลงใหลแล้ว ยังเคยตั้งใจว่าจะนำคำนี้มาใช้เป็นชื่ออัลบั้มตั้งแต่ชุดที่ 4 "Save My Life" แต่ตอนนั้นยังไม่พร้อม จึงนำมาใช้ในชุดนี้แทน "จริงๆ คำว่า คราม ผมและทีมเขียนเนื้อเพลงของพวกเรา มีทั้ง พี่กบ บิ๊กแอส (ขจรเดช พรมรักษา) พี่อ๊อฟ บิ๊กแอส (พูนศักดิ์ จตุระบุล) พี่โป โปษยะนุกูล จริงๆ เราก็คิดคำนี้มาตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเราเองยังไม่พร้อมที่จะสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับคำนี้ ก็เดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงอัลบั้มชุดนี้ เรารู้สึกว่าเราอยากพูดคำๆ นี้ออกไปเป็นเพลงแล้ว อยากสื่อสารสีที่เราชอบ สีที่เราหลงใหลมาตลอด พี่กบก็เห็นว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่คำว่าครามจะไปได้ แล้วก็แข็งแรงพอที่จะนำมาเป็นชื่ออัลบั้ม
ผมว่าครามเป็นสีจริงของโลกใบนี้ เป็นสีจริงของชีวิต เป็นสีที่มีหลายเฉด มีทั้งครามตอนเช้าๆ ซึ่งเราออกไปทะเล เราเห็นสีนี้แล้วเรามีความสุข หรือแม้กระทั่งครามตอนที่ไม่มีแสง มีเมฆเยอะแยะ สีครามอันเดียวกัน ดูเปลี่ยนเป็นมืดทำให้น่ากลัว ผมกำลังจะเปรียบเทียบกับคน ซึ่งมักจะเหมือนกับสีนี้ ไม่มีดีที่สุด เลวที่สุด ขาวกับดำ ผมไม่ได้เปรียบเทียบคนเราเป็นสีขาวหรือสีดำ ผมมองว่าคนเราคือสีคราม พร้อมที่จะถูกมอง ถูกใส่ความรู้สึกไปตามสิ่งที่มาตกกระทบกับชีวิต"
ส่วนเพลง คิดฮอด ที่เชิญนักร้องลูกทุ่งหมอลำ "นาง - ศิริพร อำไพพงษ์" มาร่วมร้องในเพลง ก็เป็นความตั้งใจแต่แรกของนักร้องหนุ่ม "ตั้งใจตั้งแต่ยังไม่ได้มาอัดอัลบั้มเลย คิดไว้เลยว่าชุดนี้อย่างน้อยเราต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ออกอัลบั้มไปแล้วรู้สึกว่าก็เหมือนเดิม อยากจะหาใครสักคนมาช่วยกันร้อง มาเป็นแขกรับเชิญในอัลบั้ม ก็คิดเยอะมาก สุดท้ายอยากจะทำอะไรที่เป็นไทย ผมเป็นเด็กบ้านนอก อยู่สุพรรณฯ เสียงเพลงของหมอลำ เสียงเพลงลูกทุ่ง ผมได้ยินมาตลอด แล้วหนึ่งในเสียงที่ผมถอดออกจากหัวสมองไม่ได้จริงๆ คือเสียง พี่นาง - ศิริพร อำไพพงษ์
โจทย์แรกที่เราคิดจะทำเพลงเอาหมอลำเข้ามา มันยาก เราอยากจะทำให้จริงจัง เราอยากจะเอาความเป็นไทยที่มีในตัวพวกเราทุกคนไปกับเพลงตะวันตกที่เราหยิบเนื้อมานำเสนอ ส่วนแรกคือต้องไม่ตลก ฟังแล้วต้องไม่ขำ ฟังแล้วไม่เหมือนเราดูถูกกำพืดตัวเอง ดูถูกคนไทยด้วยกัน ด้วยโจทย์ข้อแม้อันนี้บอกตามตรงว่ายากในการที่จะเรียบเรียงแล้วแต่งเพลงนี้ขึ้นมา"
นอกจากนี้ก็ยังมี "ป๊อด - ธนชัย อุชชิน" หรือ "ป๊อด โมเดิร์นด็อก" ศิลปินที่เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจของ ตูน มาตั้งแต่เริ่มเล่นดนตรีสมัยมัธยมศึกษา มารับเชิญร้องให้ในเพลง "ปล่อย" ซึ่งสาเหตุที่เลือก ป๊อด มาร้องเพลงนี้ก็เพราะว่า "เพลงนี้พี่โปเป็นคนแต่งเนื้อ ตั้งแต่วันที่ผมได้เนื้อเพลงมา ซ้อมเพลงมา ผมรู้สึกว่าระหว่างที่ผมซ้อมร้องเพลงนี้ ผมอยู่กับเนื้อเพลงนี้ ผมรู้สึกผมเห็นภาพความหลังของผมวันหนึ่งเข้ามาผ่านจากเพลง เป็นภาพของเด็กผู้ชายอายุยี่สิบยี่สิบสองคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในบ้าน แล้วก็เปิดซีดีเพลงๆ หนึ่งเปิดวนไปวนมาแล้วก็ร้องไห้กับเพลงๆ นี้
วันนั้นเป็นวันที่เด็กผู้ชายคนนั้นผิดหวังแล้วก็ร้องไห้ให้กับความรักของตัวเอง เพลงนั้นก็คือเพลง ห่างไกลเหลือเกิน ที่พี่ป๊อดร้องให้กับ พี่บอย โกสิยพงษ์ แล้วเพลงๆ นี้พาผมกลับไปถึงวันนั้นได้ วันที่ผมนั่งร้องไห้กับตัวเอง เหมือนมีพี่ป๊อดเข้ามาปลอบใจ ผมว่าชีวิตเดินทางมาถึงวันนี้ได้ ผมคิดว่าวันนั้นก็เป็นวันหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ว่าความเสียใจ ความผิดหวังคืออะไร ทำให้เราเติบโตขึ้นมาได้ เป็นคนแบบนี้ มีเพื่อนแบบนี้อยู่ข้างๆ การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิด มันคือการเยียวยาตัวเอง ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมา เป็นเหตุผลที่เลือกพี่ป๊อดมาเพราะวันนั้น"
แล้วยังเพิ่มความแข็งแรงในเรื่องของดนตรีด้วยเสียงคีย์บอร์ดจาก "โอม เปล่งขำ" เข้ามา โดย ปิ๊ด บอกว่า "จริงๆ แล้วพี่โอมอยู่กับบอดี้สแลมตั้งแต่อัลบั้มแรก แต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เล่นเปียโน คีย์บอร์ด แล้วก็มีออร์แกน รวมทั้งประสานตั้งแต่อัลบั้มแรกเลย แล้วก็เริ่มมาปรากฏตัวอัลบั้มที่ 4 ในคอนเสิร์ต Save My Life แต่พอมาอัลบั้มนี้ตูนเขาก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าอยากให้วงแรงขึ้น อยากให้มีเสียงที่ช่วยวงแสดงสดได้ดีขึ้นรวมถึงในอัลบั้มด้วย ตูนเขาก็เลยบอกว่าพี่โอมเนี่ยแหละที่จะต้องร่วมทางไปกับเรา เพราะฉะนั้นในอัลบั้มนี้จะมีเสียงที่เป็นเปียโน เสียงคีย์บอร์ดเยอะขึ้น รวมไปถึงทัวร์เราก็จะมีพาร์ตของ เปียโน คีย์บอร์ด มาเพิ่มด้วย เป็นอย่างที่ตูนคิดจริงๆ มันก็แข็งแรงขึ้นมาก"
นอกจากนั้น 2 หนุ่ม "อ๊อฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล" และ "กบ - ขจรเดช พรมรักษา" จากวง "บิ๊กแอส" ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานร่วมกับ บอดี้สแลม ยังได้มาร่วมพูดคุยอีกด้วย ซึ่ง อ๊อฟ ก็เล่าถึงในส่วนของการทำดนตรีว่าจุดเริ่มต้นตั้งแต่ชุดแรกจนถึงปัจจุบันมาจากความคิดของ บอดี้สแลม เองทั้งหมด "คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเราไปทำให้เขา แล้วให้เขามาเล่นมาร้อง จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ จริงๆ แล้วตูนเป็นคนคิด แล้วก็ทั้งวงบอกว่าอยากจะทำอย่างนี้ๆ ผมก็แค่สานต่อจากที่เขาคิดกัน"
ส่วนทางด้าน กบ ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลในส่วนของเนื้อเพลงก็บอกว่า "จริงๆ ผมแค่เป็นแค่คนแปลสารจากโจทย์เท่านั้นเอง เขาเหมือนยิมนาสติกที่เล่นท่ายาก เหมือนความท้าทายของผมอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราทำดีได้ดี ท่ายากเราก็จะได้ 10 แต้ม แต่ถ้าเราทำไม่ดี ตกจากเบาะก็กลายเป็น 2-3 แต้ม พอได้โจทย์ท่ายากเราก็เริ่มสนุกไปกับมัน พยายามทำให้ดีที่สุดครับ"
ซึ่งเพลงที่บ่งบอกถึงความยากก็ต้องยกให้เพลง "สติกเกอร์" ที่มาจากความคิดของ ตูน ที่เกิดจากเวลาขับรถแล้วไปเห็นท้ายรถข้างหน้าติดสติกเกอร์ว่ารถคันนี้สีอะไร จนคิดว่าแค่สติกเกอร์อันละไม่เท่าไรก็ช่วยเป็นกำลังใจให้กับเจ้าของรถคันนั้น เลยมาเปรียบเทียบกับโลกในช่วงนี้ที่ดูแล้วไม่ค่อยสดใสเหมือนเมื่อก่อน ตูน ก็เลยคิดว่าหรือจะต้องใช้วิธีติดสติกเกอร์ให้โลกใบนี้ดูเป็นสีที่สดใสขึ้นมา พอได้รับโจทย์นี้มาก็ทำเอา กบ เกิดความรู้สึกทั้งเจ๋งและอึ้ง เพราะไม่คิดว่าแนวคิดแบบนี้จะเขียนเป็นเพลงได้ จึงได้มอบหมายให้ "เหนือวงศ์ ต่ายประยูร" เป็นผู้เขียนเพลงจนสำเร็จออกมาได้
ตูน เล่าถึงแรงบันดาลใจในการทำเพลงของ บอดี้สแลม ว่า "สำหรับตัวผมเองในฐานะที่เป็นนักร้องนะครับ แรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มาจากคนรอบข้าง มาจาก พี่ยอด พี่อ๊อฟ พี่ปิ๊ด พี่ชัช ทุกคนเป็นเหมือนแรงส่ง เจอพี่กบก็คุยกัน ก็จะเกิดอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น เจอพี่ยอดได้ฟังกีตาร์พี่ยอดเสียงใหม่ๆ ก็จะเกิดอะไรเกิดขึ้น เจอพี่อ๊อฟได้คุยเรื่องเพลงคนนู่นคนนี้ ก็จะเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ เกิดขึ้น พี่ปิ๊ด พี่ชัช ได้ซ้อมด้วยกันได้เล่นด้วยกัน ได้ทัวร์ด้วยกันได้คุยกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการสะสม การคุยกัน ความเข้าใจ พวกเราโชคดีที่ได้เจอกัน ได้ทำงานด้วยกัน"
สุดท้ายหนุ่ม ตูน ก็กล่าวขอบคุณทั้งแฟนคลับและสื่อมวลชนที่มาร่วมงานเปิดอัลบั้มกันเป็นจำนวนมากว่า "มีความสุขครับ ผมคิดว่าทุกคนที่วง แล้วก็ทีมงานทุกคน แฟนๆ ทุกคน มีความสุข เพราะว่าอัลบั้มที่ 5 แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่วงดนตรีวงหนึ่งเริ่มเล่นจากมัธยมแบบงูๆ ปลาๆ มาตลอด ไม่น่าเชื่อจะมีอัลบั้มที่ 5 จะมีแฟนมาให้กำลังใจกันขนาดนี้ ขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ แล้วก็พี่ๆ สื่อมวลชนทุกคนที่ตั้งใจมานำเสนอข่าวของเราวันนี้ ขอบคุณทุกคนครับ ฝากขอบคุณไปถึงแฟนเพลงบอดี้สแลมทั่วประเทศด้วย ที่มีอัลบั้มอยู่ในมือหรือว่ายังไม่มี หรือว่าที่สนับสนุนพวกเรามาตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก ทุกคนมีส่วนทำให้พวกเราเดินทางมาถึงวันนี้ได้ ขอบคุณมาก"
จากนั้น บอดี้สแลม ก็ขอเอาใจแฟนเพลงแบบสุดๆ ด้วยมินิคอนเสิร์ต 5 เพลงใหม่จากอัลบั้ม เริ่มด้วยเพลง "เปราะบาง" ตามมาด้วยเพลง "ความรัก" "สติกเกอร์" ต่อด้วย "คิดฮอด" ก่อนจะส่งท้ายความมันด้วยเพลง "คราม"
ใครที่เป็นแฟนเพลงของ บอดี้สแลม ก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของอัลบั้ม คราม กันได้แล้ว วางจำหน่ายตั้งแต่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตามแผงซีดีทั่วประเทศ ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ก็ต้องอดใจรอกันอีกนิด โดยหนุ่มๆ บอดี้สแลม เผยว่าเดือนพฤศจิกายนนี้ได้ระเบิดความมันกันอย่างแน่นอน