ออกเดินทางไปกับคู่แฝดสาวในภาพยนตร์ ขอให้เราโชคดี
"ขอให้เราโชคดี" หรือ "Wish Us Luck" ผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของผู้กำกับหน้าใหม่พี่น้องคู่แฝด "วรรณ - วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์" และ "แวว - แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์" ที่เริ่มต้นจากความต้องการสร้างผลงานส่งก่อนเรียนจบปริญญาโทในสาขา อาร์ตติส ฟิล์ม วิดีโอ แอนด์ โฟโตกราฟฟี (Artists' Film, Video & Photography) จาก ยูนิเวอร์ซิตี้ ฟอร์ เดอะ ครีเอทีฟ อาร์ต (University for the Creative Arts) ประเทศอังกฤษ ทั้งคู่เลยตัดสินใจอย่างห้าวหาญชวนกันเดินทางจากลอนดอนถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียน ผ่าน 9 ประเทศ 11 เมืองใช้ระยะเวลาเดินทางทั้งหมด 1 เดือน
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานเปิดตัวภาพยนตร์ที่บันทึกเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้อง การเดินทาง วัฒนธรรมในต่างบ้านต่างเมือง ประสบการณ์ และอุปสรรคมากมายจากการเดินทางของ วรรณ กับ แวว ซึ่งนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์เชิงสารคดี โดยลงมือทำกันเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้กำกับ นักแสดง รวมไปถึงการตัดต่อ ณ โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ นอกจาก 2 สาวผู้กำกับแล้ว ก็ยังได้ผู้กำกับรุ่นพี่ "ต้น - นิธิวัฒน์ ธราธร" ที่เปรียบเหมือนหนึ่งในแรงบันดาลใจของทั้งคู่ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์ในต่างประเทศจากเรื่อง "หนีตามกาลิเลโอ" ให้ได้ฟังกัน
แวว บอกถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเรื่องราวก่อนที่จะเรียนจบว่า "ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำโปรเจกต์อะไร เราก็ไปอ่านหนังสือ (ดาวหางเหนือทางรถไฟ) ของ พี่ก้อง - ทรงกลด บางยี่ขัน อ่านจบแล้วก็อยากไปเดินทางด้วยรถไฟแบบนี้บ้าง เราไปอยู่ที่นั่นแล้วเพิ่งค้นพบว่าการเดินทางด้วยรถไฟไม่ได้ยากอย่างที่คิด สนุก ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ ก็เลยเอาสักตั้งนึงเราจะเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟกัน เราไปเรียนเราก็เลยอยากทำให้เป็นโปรเจกต์ไปด้วย เราก็เลยหนังสารคดีจากการเดินทางครั้งนี้" พร้อมยังเผยว่าผู้หญิง 2 คนเดินทางด้วยรถไฟก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่เข้าใจ "เราก็พยายามเซฟตัวเองนะ วางแผนต้องเข้าไปหาข้อมูลว่าตารางรถไฟเป็นยังไง เราก็พยายามเลือกที่จะไปถึงเวลาที่ไม่ใช่ยามวิกาล เราจะต้องบวกลบเวลาท้องถิ่นว่าจะไม่ใช่เที่ยงคืน หรือช่วงที่เราไปหาที่พักต่อแล้วไม่ปลอดภัย"
วรรณ เล่าบรรยากาศของการเดินทางว่า "เวลาเราเดินทางเที่ยวจบเราก็กลับถึงบ้าน คนที่บ้านหรือเพื่อนถามว่าสนุกไหม มันเป็นคำตอบที่เราตอบไม่ได้เต็มปาก เพราะว่าในทริปมันเกิดเรื่องมากมายจนเราไม่สามารถหาค่าเฉลี่ยได้ว่าทั้งหมดเนี่ยสนุกหรือไม่สนุก แต่เราตอบได้ว่าเป็นทริปที่เราคงจะจดจำและเป็นข้อต่อข้อใหญ่ๆ ของชีวิตที่เราจะจดจำ ระหว่างการเดินทางเราเจอทั้งเรื่องร้ายเรื่องดี เจอจนเรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดนโกง โดนล้วงกระเป๋า เราเริ่มมองคนในแง่ร้าย ปิดตัวเองคนนี้จะโกงเราไหมคิดร้ายไว้ก่อน จนถึงจุดนึงที่เรารู้สึกเหนื่อยกับความรู้สึกนี้ แล้วเรารู้สึกว่าแค่ยกมันออกจากไหล่แล้วมันก็จะเบาลงเอง กว่าเราจะเรียนรู้สิ่งนี้ได้ก็ช่วงปลายๆ ทริปแล้ว มันเกิดเรื่องราวขึ้นหลากหลายจริงๆ สุดท้ายก็ให้ข้อคิดหรือความรู้กับเราบางอย่าง มันจะไม่ได้จากการเที่ยว 2 คืน 3 วัน จะสนุกๆ กลับบ้าน แต่อันนี้มันยาวนานพอที่จะเห็นเรื่องของอารมณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น"
วรรณ พูดถึงสิ่งสื่อในภาพยนตร์ว่า "จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรามากกว่า อยากโชว์ให้เห็นความสัมพันธ์ที่เราคิดว่ามันพิเศษ เป็นมากกว่าเพื่อนและพี่น้องในเวลาเดียวกัน จะเล่าผ่านการสนทนากันหรือโมเมนต์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราเผชิญเรื่องต่างๆ แล้วจะดีมากถ้าดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากไปเที่ยวบ้างหรือว่าอยากทำหนังบ้าง เพราะในหนังเราจะโชว์ให้เห็นไปเลยว่าเราทำด้วย" นอกจากจะเล่าเรื่องราวออกมาเป็นภาพยนตร์แล้ว ก็ยังนำมาเขียนเป็นหนังสือที่มีชื่อเดียวกันโดย แวว เป็นผู้เขียน "ส่วนในหนังสือจะนำเสนอเรื่องราวที่เราเรียนรู้จากการเดินทางมากกว่า พอเรามาถึงกรุงเทพฯ ปั๊บ เราคิดว่าจะพลิกชีวิต เราจะเรียนรู้ได้มากกว่านี้ แต่การเรียนรู้มันยังไม่เกิด เหมือนเรามีความเหน็ดเหนื่อยแบบไม่เอาแล้วไม่เที่ยวแล้ว แต่พอผ่านความเหนื่อยผ่านเวลามาพักนึง มีเวลาพอที่จะให้เราตกตะกอน เราก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะซึ่งจะอยู่ในหนังสือค่ะ"
ส่วนอุปสรรคในการถ่ายทำ วรรณ กล่าวว่า "ไม่รู้จะถ่ายอะไร มาถึงจุดนึงที่ไม่อยากถ่ายแล้ว ถ่ายไปแล้วจะได้ใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องถ่าย เดินทางไปแล้วถ่ายไป เรายังไม่สามารถจะปะติดปะต่อเรื่องที่จะเกิดเป็นหนังได้ มันจะเกิดขึ้นตอนตัดต่อ เราก็ถ่ายทุกวัน ท้องฟ้า ต้นไม้ หลังๆ เราเลยเลือกถ่ายเฉพาะสิ่งที่อยากถ่ายเลย เหมือนเวลาเราไปเที่ยวอยากถ่ายรูปเฉพาะรูปที่เราอยากถ่ายไปเลย" วรรณ ยังเผยในส่วนของรูปแบบภาพที่ถ่ายออกมาว่า "เป็นวิดีโอไดอารีมากกว่า จะเป็นภาพวิว โมเมนต์ต่างๆ ที่เราไปเจอแบบไม่ได้ปะติดปะต่อเป็นกราฟมีเส้นเรื่องมีจุดพีคมีจุดคอนฟิกซ์อะไรชัดเจน ค่อนข้างเป็นเพอร์ซันนอลวิดีโอ ไม่ได้แมสดูแล้วเหมือนจมเข้าไปกับเรื่องอะไรขนาดนั้น" ด้าน แวว ก็ช่วยเสริมว่า "ไม่ตามสูตร ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้อินดี้ขนาดเฉื่อยช้า มีความป๊อปประมาณนึงแต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นหนังสูตรค่ะ"
วรรณ ฝากถึงภาพยนตร์ว่า "Wish Us Luck ขอให้เราโชคดี จะเข้าโรงฯ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาฯ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นหนังเล็กๆ ที่ทำกัน 2 คน มันเล็กมากเพราะทีมงานมีแค่นี้เลย เราทำเองทุกขั้นตอน พอทำหนังเสร็จเราก็อยากให้คนได้ดู เราก็ไม่กล้าคาดหวังเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อยากให้ลองมาดูกัน เพราะว่าเรา 2 คนก็ยังทำหนังกันได้ ถ้าเกิดได้รับแรงบันดาลใจกลับบ้านไปก็จะดีมากเลย"
การเดินทางกลับบ้านของสองสาวด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียนจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ใน ขอให้เราโชคดี พร้อมเปิดให้ขึ้นขบวนกันที่โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม นี้ ส่วนหนังสือจะออกวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป