เปิดศึกรบครั้งใหญ่กับ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค 4
"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ศึกนันทบุเรง" ผลงานการกำกับของ "ท่านมุ้ย - ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล" และร่วมเขียนบทกับ "ดร. สุเนตร ชุตินทรานนท์" ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์และเป็นที่ปรึกษาให้กับภาพยนตร์ ได้เวลาเปิดอีกหนึ่งฉากความสำคัญทางหน้าประวัติศาสตร์ให้ชาวไทยได้ชมกันแล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์
บรรยากาศในงานเปิดตัวก็มีเหล่านักแสดงมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น "ผู้พันเบิร์ด - พ.ท. วันชนะ สวัสดี" "ผู้พันต๊อด - พ.ท. วินธัย สุวารี" "แอฟ - ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ" "ปีเตอร์ - นพชัย ชัยนาม" "ทราย - อินทิรา เจริญปุระ" "ต้น - จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์" "เอก - สรพงษ์ ชาตรี" "นุ้ย - เกศริน เอกธวัชกุล" "ตั๊ก - นภัสกร มิตรเอม" "โน้ต - น.ต. จงเจต วัชรานันท์" "ปราบ - ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง" "หมู - ดิลก ทองวัฒนา" "ต๊อก - ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ" "พิม - พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์" "รอง เค้ามูลคดี" และ "เกรซ มหาดำรงค์กุล"
ท่านมุ้ย เผยถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่หลายๆ อาจจะยังไม่รู้ แยกออกทำเป็นภาค 4 ว่า "จริงๆ แล้วศึกนันทบุเรงหลายๆ คนอาจจะลืมไป เป็นศึกระหว่างช่วงศึกนรธาเมงสอกับศึกยุทธหัตถี เป็นช่วงที่เรียกว่าศึกนันทบุเรง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นศึกยาวถึง 2 ปี แต่ของเราตัดออกไปเหลือแค่ศึกเดียว สั้นกว่า ศึกนันทบุเรงเป็นศึกใหญ่มากเลย เรียกได้ว่าเป็น 2 ศึกหนักๆ สำหรับอยุธยา เป็นหลายศึกหลายจังหวัดหลายเหตุการณ์มารวมตัวกันเพื่อมาตีอยุธยา แล้วอยุธยาเองก็แตกแยก ไม่ปรองดองกัน ต้องไปดูเอง"
ดร. สุเนตร บอกถึงความสำคัญของ ศึกนันทบุเรง ว่า "ศึกนันทบุเรง ในประวัติศาสตร์ยุคสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นศึกที่สำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นทัพกษัตริย์ยกมา ทหารที่ยกมา 240,000 คน อยุธยามีปัญหาเรื่องการขาดกำลังพลมากที่สุด พยายามจะกวาดต้อนจากหลายๆ ที่ แต่กำลังพลก็ยังน้อยกว่าพม่า อันนี้เป็นเหตุผลสำคัญประการนึงที่ทำให้ต้องกวาดรวมหัวเมืองทางเหนือลงมาร่วมด้วย เพราะว่าถ้าแบ่งกำลังทางเหนือส่วนนึง ทางใต้ส่วนนึง รับทัพพม่าไม่ไหว แต่ครั้งนั้นรวมแล้วผลปรากฏว่าคนไม่ถึงครึ่งนึงของพม่า"
ดร. สุเนตร กล่าวว่าในภาคนี้จะได้เห็นยุทธวิธีการรบในรูปแบบใหม่ "ที่ผ่านมาการบของสมเด็จพระนเรศวรฯ ออกไปรับนอกพระนคร ไปรับตามหัวเมืองต่างๆ แต่ครั้งนี้ ศึกนันทบุเรง กองทัพของหงสาวดีที่ยกมาใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน ไม่สามารถจะแยกกำลังไปรบไกลๆ ได้ ต้องอาศัยตัวอยุธยาเป็นฐานรับศึก เพราะอยุธยามีชัยภูมิการตั้งรับที่ดีที่สุด มีแม่น้ำ 3 สายใหญ่ล้อมรอบ จึงจำเป็นต้องตั้งรับที่กรุง อันนี้เป็นจุดที่แตกต่างจากที่เคยทำมาแล้ว" พร้อมยังเสริมว่า "จินตนาการดูนะครับว่าพม่ายกกองทัพมาเป็นเรือนแสน ก็มีคนไม่มั่นใจว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ จะรับศึกนี้ไหวไหม ส่วนใหญ่เป็นขุนนางเก่าๆ อยู่ทางเขตหัวเมืองเหนือที่จะไปเข้ากับทางหงสาวดี อันนี้เป็นความแตกแยกภายในที่เกิดขึ้นในจังหวะนั้น"
สำหรับโครงเรื่องในภาคนี้ ดร. สุเนตร บอกว่าจะพลิกไปจาก 3 ภาคที่ผ่านมา "โดยพื้นฐานเมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรฯ พระราชกรณียกิจหลักเท่าที่เรารู้จะเป็นด้านการสงคราม สงครามก็เป็นพื้นของภาพยนตร์อยู่แล้ว แต่หลายคนจะไปคิดว่าหนังนเรศวรมีแต่สงคราม รบกันท่าเดียว บางคนไม่ชอบ ครั้งนี้หนังพลิกโผมากเลย สงครามยังมี แต่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบหลัก มีเรื่องของความคิด มีเรื่องของความเป็นมนุษย์ของพระนเรศวรฯ มีเรื่องของความเศร้าโศกเสียใจ มีเรื่องของความพ่ายแพ้ เข้ามาทำให้ภาพยนตร์มีสีสันเพิ่มเติมไปจากที่เคยเป็นมา"
ผู้พันเบิร์ด เผยถึงความน่าสนใจของภาคนี้ว่า "หลายท่านอาจจะคาดหวังว่าคำว่า ศึกนันทบุเรง จะเห็นนันทบุเรงมารบกับพระนเรศวรฯ แบบจังๆ ไม่ใช่ การศึกครั้งนี้เกิดเนื่องมาจากนันทบุเรงยกทัพมาล้อมเราถึง 7 เดือน เพราะฉะนั้นศึกที่เห็นทั้งหมด เราเรียกว่า ศึกนันทบุเรง ครับ ความน่าสนใจเราจะได้เห็นทั้งศึกภายนอก อันสืบเนื่องมาจากทางทิศตะวันตกเป็นหงสาวดี ทางด้านทิศตะวันออกเป็นพวกละแวกซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ของเรา ในขณะเดียวกันศึกใน อันเกิดมาจากความแตกความสามัคคีของคนภายในแผ่นดินของเราเอง นั่นก็คือพระยาพิชัยและพระยาสวรรคโลก เราต้องกลับไปดูว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้การปราบปรามศึกเหล่านี้ยังไง เพื่อนำมาซึ่งความเป็นเอกราชของชาติ"
แอฟ พูดถึงบทบาทของตัวละครในภาค 4 ที่เข้มข้นว่า "เป็นบทบาทที่เข้มข้นมากที่สุดกว่าทุกๆ ภาคที่ผ่านมา ภาคนี้มีทั้งศึกนอกศึกใน เพราะฉะนั้นหนึ่งในแรงที่จะให้กำลังใจ หนึ่งในแรงที่จะขับเคลื่อนให้กันก็คือมณีจันทร์นั่นเองค่ะ มณีจันทร์เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯ ในภาคนี้ก็จะมีในส่วนของด้านดราม่ามากขึ้นค่ะ มณีจันทร์ก็จะเป็นกำลังสำคัญให้กับพระนเรศวรฯ เหมือนเดิมค่ะ"
ส่วน ต้น ผู้ที่รับบทเป็น พระเจ้านันทบุเรง ซึ่งเป็นบุคคลดำเนินเรื่องที่สำคัญในภาคนี้ก็บอกว่า "จะเป็นพาร์ตทางอโยธยากับหงสาเริ่มจะทำการสู้รบกันอย่างเปิดเผยแล้วก็ขนาดใหญ่ แล้วฝ่ายอโยธยาก็เปลี่ยนจากการรับเป็นรุก เข้าไปรุกค่ายพม่าต่างๆ ทั้งหมดเนี่ยการรบของพม่ากับไทยในเวลานั้นก็โดยมีสมเด็จพระเจ้านันทบุเรงเป็นแม่ทัพ แล้วศึกทั้งหมดก็มาจากองค์นันทบุเรงทั้งนั้น ภาคนี้ก็เลยเรียกว่าศึกนันทบุเรงครับ"
เมื่อถามถึงความคาดหวังกับกระแสตอบรับจากผู้ชมภาพยนตร์ในภาคนี้ ผู้พันเบิร์ด กล่าวว่า "ผมไม่ได้คาดหวังอะไรสำหรับภาพยนตร์ตั้งแต่ภาค 1-3 ที่ผ่านมาเลยนะครับ เพียงแต่ว่าพอถึงภาคนี้ เราดำเนินมา 3 ภาคแล้ว ภาคนี้ภาคที่ 4 แล้ว จริงๆ ใจอยากจะขอบคุณคนดูหรือแม้กระทั่งคนที่เอาใจช่วยอยู่แล้วก็ไม่ได้เข้ามาชมในโรงภาพยนตร์นะครับ ซึ่งหลายๆ คนเป็นกำลังใจให้กับทีมงานแล้วก็นักแสดงทุกๆ คนเป็นอย่างดีเลยนะครับ ไม่ว่าจะฉายสักกี่ภาคเขาก็จะมาดู แล้วก็ไม่ว่าหนังจะทำมาแย่ ห่วยขนาดไหน เขาก็สนับสนุน นั่นหมายถึงว่าเรามีความเป็นเอกราชทางวัฒนธรรมครับ"
ฟาก ผู้พันต๊อด บอกว่า "ไม่ได้คาดหวังอะไรครับ เพียงแต่ว่าคนที่มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ก็ตั้งใจจะทำ เน้นถ่ายทอดเรื่องของพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ของไทย แล้วก็อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมเราตั้งแต่ 400 ปีที่แล้ว ในภาพยนตร์ก็จะสร้างอรรถรสให้กับผู้รับชมได้เพลิดเพลิน สนุกไปด้วย แล้วก็ได้ความรู้ ที่สำคัญอาจจะจูงใจในเรื่องของความรักความสามัคคีให้กับสังคมและประเทศชาติของเราได้ครับ"
ด้าน ตั๊ก กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพยนตร์ว่า "อย่ามาดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะว่าเพื่อนบอกว่าสนุก อย่ามาดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะว่าเขาบอกว่าฉากสวย แต่ขอให้มาดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะอยากให้รู้ว่าประเทศชาติของเรา มหากษัตริย์ของเราทรงมีพระปรีชาอย่างไร ท่านสืบทอดประเทศไทยมาให้เราทุกวันนี้ได้อย่างไร"
ส่วน แอฟ ฝากถึงภาพยนตร์ว่า "สำหรับแฟนๆ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็คงไม่พลาดกันอยู่แล้ว สำหรับภาคที่ 4 นะคะ แต่สำหรับใครที่พลาดไปเมื่อภาคที่แล้ว ไม่เป็นไรนะคะ มาเริ่มดูภาคนี้ก็รับรองว่าจะได้รับอรรถรสครบรสเหมือนเดิมค่ะ ยังไงก็อยากให้มาชมกันมากๆ ค่ะ"
เมื่อศึกทั้งจากภายในและภายนอกประเทศต่างรุมโจมตีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะมีกลยุทธจัดการอย่างไร ติดตามได้ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ศึกนันทบุเรง เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ วันที่ 11 สิงหาคม นี้