จา พนม สานต่อความบู๊ระห่ำในแบบนาฏยุทธกับ องค์บาก 3
เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วสำหรับภาพยนตร์ที่ทั้งคนไทยและต่างชาติจับตามอง ไม่ว่าจะตั้งแต่ภาคแรกหรือภาคสอง จนมาถึงในวันนี้กับภาพยนตร์ "องค์บาก 3" ที่ทุ่มทุนสร้างอีกเช่นเคยของ สหมงคลฟิล์ม โดยนักแสดงนำหลักตัวสำคัญของเรื่องที่ขาดไม่ได้ คือ "จา พนม" หรือ "ทัชชกร ยีรัมย์" ยังคงสานต่อความมันกันเช่นเคย และนางเอกของเรื่องก็ยังคงเป็นสาว "จ๊ะจ๋า - พริมรตา เดชอุดม" จาก "องค์บาก 2" ส่วนอีกหนึ่งนักแสดงที่ปรากฏตัวในภาคก่อนอย่าง "เดี่ยว - ชูพงษ์ ช่างปรุง" นั้น ก็กลับมาช่วยเพิ่มสีสันความบู๊ในภาคนี้เช่นเดียวกัน
บรรยากาศภายในงานนั้นเต็มไปด้วยคนในวงการบันเทิงมากมาย อาทิ "จิก - ประภาส ชลศรานนท์" "สน - ยุกต์ ส่งไพศาล" "พิง ลำพระเพลิง" รวมถึงนักแสดงจากภาคก่อนอย่าง "สุเชาว์ พงษ์วิไล" "เอก - สรพงษ์ ชาตรี" ผู้กำกับจากภาคแรก "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" ต่างก็มาร่วมกันปิดตำนาน องค์บาก ในครั้งนี้ด้วย ณ เอสเอฟเอ็กซ์ ซีเนม่า เซ็นทรัล ลาดพร้าว
เริ่มงานด้วยการแสดงนาฏลีลา ซึ่งเป็นศิลปะที่นำมาประยุกต์กับการต่อสู้ในภาคนี้ จากนั้น นักแสดงหลักทั้งสามคน คือ จา จ๊ะจ๋า และ เดี่ยว รวมไปถึง "พันนา ฤทธิไกร" ผู้ดูแลฉากการต่อสู้ต่างๆ ก็ได้มาร่วมพูดคุยกันถึงภาพยนตร์เรื่องนี้กัน เริ่มจาก จา ที่เผยถึงความรู้สึกในวันนี้ว่า ตื่นเต้นมาก พร้อมกับกล่าวถึงที่มาที่ไปและความพิเศษของนาฏยุทธ์ ศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองคิดเพิ่มขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ท่าที่เคยมีอยู่จากภาคอื่นๆ รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง "ต้มยำกุ้ง"
"การที่ผมชอบโขนตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้ไปเจอกับครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน นี่เป็นการหาข้อมูลไปถึงประเทศกัมพูชาเลยนะฮะ ไปดูศิลปะโขนว่าเขาเป็นยังไงบ้าง แล้วของไทยบ้าง เอามาเปรียบเทียบกัน สิ่งที่ได้คือมันเป็นความดิบ มันจะมีความดิบที่มันแตกต่างกัน อย่างของไทยเรานี่ก็จะมีความสวยงามมาก ผมได้ภาพลักษณ์มา ภาพของไทยนี่เป็นความสวย พลิ้ว นะครับ ถ้าเปรียบมวยจีนก็คือไทเก็กนั่นเอง เงียบเป็นน้ำ นั่นก็คือท่ารำ พระรามมั่ง พระนารายณ์มั่ง และท่าลิงก็คือท่าหนุมาน ก็จะมีท่าแบบเร็ว เขาเรียกว่าเป็นหนุมานคลุกฝุ่น หนุมานทะยานอะไรพวกนี้น่ะครับ แล้วก็ยังมีท่าที่มันดุดันนั่นก็คือท่ายักษ์"
หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลแล้ว จา ก็เลยนำศิลปะตรงนั้นมาผสมผสานกับการต่อสู้ "แล้วก็ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน คือเอาโขนเนี่ย ทำไมโขนคนไทยทำไมถึงคิดแบบ...ทำไมมันเท่ รูปร่างลักษณะทำไมมันอ่อนช้อย แล้วก็เลยมาบวกกับครูบาอาจารย์ที่เรียนเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ด้วย" จา บอกต่ออีกว่าแรงจูงใจครั้งแรกของตนเอง นั้นคือการที่อยากจะผสมผสานระหว่างศิลปะโขนและมวยไทย
ด้าน พันนา ก็กล่าวถึงการได้มีส่วนร่วมในการกำกับว่า "ก็จริงๆ แล้วส่วนใหญ่จะเป็นจานะครับ ภาคสนาม คุยบนโต๊ะ สรุป แล้วก็ให้โจทย์ไปทำงาน ผมว่าความใหม่ของ องค์บาก ความเป็น องค์บาก 1 ยิ่งใหญ่มาก ทีนี้ถ้าจะเดินต่อจาเขาก็บอกว่าทำเป็นพีเรียดดีกว่า นั่นคือเอาความเก่ามาทำเป็นความใหม่"
ฟากนางเอกของเรื่องอย่าง จ๊ะจ๋า ที่เคยผ่านองค์บาก 2 มาแล้วนั้นก็บอกว่ารู้สึกภูมิใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ "ก็ต้องบอกก่อนเลยนะคะว่ารู้สึกภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในการเล่นภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 3 ด้วยความที่พี่จาเองเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากจะร่วมงานด้วย ใครๆ ก็อยากจะมาสัมผัสตัวจริงว่าเป็นยังไง วันนี้จ๋าเองได้สัมผัสในบทบาทของนักแสดงรวมถึงบทบาทของผู้กำกับ รู้สึกทึ่งค่ะ แล้วก็ขอบคุณมากค่ะที่เลือกจ๊ะจ๋าให้มารับเล่นบท พิม"
สำหรับอีกหนึ่งนักแสดงนำที่ภาคนี้จะมาร่วมสร้างความมันให้เพิ่มมากขึ้นอย่าง เดี่ยว ก็เผยถึงความรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาแสดงในครั้งนี้ "มันพูดไม่ออก จริงๆ แล้วก็คือแบบ มันเป็นโอกาสหรือว่าโชคด้วยครับ ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่จา เพราะว่าก็เคยทำงานกับพี่จาตั้งแต่ องค์บาก ภาคแรก มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเป็นนักแสดงแอ็กชันครับที่ได้ร่วมงานกับพี่จา เพราะว่าคนทั่วโลกก็อยากจะร่วมงานกับพี่จาแต่ยังไม่มีโอกาส แต่เราได้มีโอกาสตรงนี้เราก็ภูมิใจมากครับ"
เดี่ยว ยังบอกด้วยว่าตนเองนั้นได้เรียนรู้อะไรจาก จา มากมาย และได้ จา เป็นแบบอย่างมาตลอดในการทำงาน "ก็คือผมยึดพี่จาเป็นแบบอย่างมาตั้งแต่สมัยหัดฝึกสตันต์ฮะ ดูพี่จา ตามพี่จามาตลอด ก็คือเป็นไอดอลของเราอยู่แล้ว ก็ยิ่งได้มาร่วมงานใน องค์บาก 3 ได้เห็นประสบการณ์ชีวิตไหม เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานในกองถ่าย ก็รู้สึกว่าพี่จาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง โอกาสตรงนี้ที่ได้มา"
นอกจากนี้ พันนา ได้พูดถึงรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นว่า "โดยเนื้อเรื่องเนี่ยครับ เป็นบทสรุปว่าพระหน้าบากมีที่มาที่ไปยังไง ส่วนแอ็กชันนี่คือเรามีสิ่งใหม่ๆ ก็คือเรื่องของฉาก เรื่องขององค์ประกอบแอ็กชัน แล้วก็เรื่องของมาร์เชียลอาร์ตใหม่ในเรื่องราวการต่อสู้ มันจะมีสิ่งใหม่เข้ามา นั่นคือความใหม่"
ทั้งนี้ จา ก็ได้กล่าวขอบคุณผู้ที่อยู่เบื้องหลังและได้ให้โอกาสตนเองสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ "14 ปีครับ ความฝันนะครับ ความฝันที่จะนำตัวโขน นาฏยุทธ์เนี่ยมานำเสนอ ณ วันนี้ผมได้มีโอกาส คือเป็นผู้กำกับด้วย ก็ต้องขอขอบคุณ เสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) นะฮะ ผู้อำนวยการสร้าง แล้วก็ อาจารย์พันนา ฤทธิไกร ที่เป็นแบ็กอัป แล้วก็เป็นครูที่ให้คำแนะนำ แล้วก็ พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้เลยครับที่ให้คำปรึกษานะครับผม แล้วก็ทีมงานอีกหลายๆ ชีวิตที่ทำให้เราได้สร้างตำนานนี้ เขาเรียกว่าเป็นตำนานที่ปิดตำนานองค์บากจริงๆ ปิดรอยบาก"
ท้ายสุด พระเอกนักบู๊ชื่อดังของเมืองไทยก็ได้ฝากถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมไปถึงให้ฝากให้คนไทยนั้นชมภาพยนตร์ของไทยกันด้วย "ก็ภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก ภาค 3 นะครับ เป็นภาพยนตร์ที่ผมต้องบอกเลยว่าของคนไทยแน่นอน คนไทยทำครับ ไทยทำ ไทยใช้ ไทยผลิต แล้วก็อยากจะบอกว่าอุดหนุนหนังไทยกัน การที่เราทำหนังไทยออกมาตรงนี้เนี่ย อยากให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปนะฮะ แล้วก็อยากให้ภาพความเป็นไทยนี้ยังคงอยู่ และชาวต่างชาติได้ดู ได้เห็นสิ่งที่ดีๆ มุมมองที่ดีๆ บ้าง ประชาชนคนไทยครับร่วมแรงร่วมใจกัน อย่างน้อยคือเรามาดูหนังไทยกันให้กระแสมันเกิดขึ้น"
คอแอ็กชันหรือแฟนๆ ของ จา พนม ติดตามภาพยนตร์ฝีมือคนไทย องค์บาก 3 ได้แล้วตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2553 ในโรงภาพยนตร์