เดวิด และผองเพื่อน ขนเพลงเพราะมอบให้แฟนชาวไทย
"เดวิด ฟอสเตอร์" (David Foster) โปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังศิลปินดัง อาทิ ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) มาดอนน่า (Madonna) และ เซลีน ดิออน (Celine Dion) เดินทางเยือนไทยเพื่อเปิดคอนเสิร์ต "Hit Man David Foster And Friends Live In Bangkok" พร้อมชักชวนศิลปินดังทั้ง "นาตาลี โคล" (Natalie Cole) "ปีเตอร์ เซเทรา" (Peter Cetera) "ชารีซ เพ็มเพ็งโก" (Charice Pempengco) "รูเบน สตัดดาร์ด" (Ruben Studdard) และ "เดอะ แคนาเดียน เทเนอร์ส" (The Canadian Tenors) ร่วมขึ้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย
ก่อนเริ่มคอนเสิร์ตในวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เดวิด และศิลปินทั้งหมด ได้มาร่วมแถลงข่าวถึงคอนเสิร์ต และการมาเมืองไทยในครั้งนี้ เริ่มด้วย เดวิด กับการมาเมืองไทยครั้งแรกที่เจ้าตัวบอกว่าประทับใจมากๆ "ที่นี่ช่างเป็นเมืองที่สวยงามจริงๆ แม่น้ำ ร้านอาหาร ผมเคยได้ยินจากนาตาลีและปีเตอร์ที่พวกเขาเคยมาที่นี่แล้ว พอได้มาจริงๆ ผมชอบมากๆ ครับ"
ด้าน นาตาลี กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งว่า "มันเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ ฉันเคยมาที่นี่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว มันมหัศจรรย์มาก แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่ได้มาที่นี่อีกครั้ง" ส่วน ปีเตอร์ ก็ตอบคำถามที่ถามว่าครั้งล่าสุดที่มาเมืองไทยนั้นนานแค่ไหนแล้วแบบติดตลกว่า "เท่าที่ผมจำได้ก็ไม่นานมากนะครับ (หัวเราะ)"
สำหรับหนุ่ม รูเบน บอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มา รู้สึกชอบและดีใจที่ได้มา "ผมรู้สึกดีมากที่ได้มาที่กรุงเทพฯ ผมชอบท่องเที่ยว และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งที่ในเอเชียที่ผมจะกลับมาครับ" ส่วนหนุ่ม "เฟรเซอร์ วอลเทอร์ส" (Fraser Walters) จาก เดอะ แคนาเดียน เทเนอร์ส เป็นตัวแทนวงกล่าวว่า "เป็นครั้งแรกที่มา และเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ครับ ในตอนเช้าพวกเราได้ไปชมวัด วัง ซึ่งก็มีอยู่มากมายเลย แม่น้ำด้วย มีอยู่มากมายเช่นเดียวกันครับ (หัวเราะ) เป็นเมืองที่มีสีสันมากๆ"
ส่วนอีกหนึ่งสาวที่เคยมาเมืองไทยครั้งหนึ่งแล้วอย่าง ชารีซ กล่าวว่า "อย่างที่ฉันเคยบอกว่าที่นี่เป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองของฉัน เหมือนกับฟิลิปปินส์ สิ่งที่ฉันชอบมากก็คือ ตุ๊ก ตุ๊ก (หัวเราะ) ฉันมีความสุขมากค่ะที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง และอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะพบกับทุกคน ขอบคุณเดวิดที่ให้ฉันได้มาเป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตคืนนี้ค่ะ"
จากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. ก็ถึงช่วงเวลาของคอนเสิร์ตในครั้งนี้ โดยเริ่มจาก เดวิด ที่เดินทักทายแฟนๆ จากด้านล่างของเวที ก่อนเดินขึ้นสู่บนเวที และเริ่มบรรเลงเปียโนในเพลง "St Elmo's Fire Love Theme" ต่อด้วย "Winter Games" ก่อนที่จะทักทายแฟนๆ อย่างเป็นทางการเป็นภาษาไทยว่า "สวัสดีครับทุกคน ขอบคุณมากๆ ที่ได้มาที่นี่ แล้วผมหวังว่าทุกคนจะสนุก"
ถัดมา เดอะ แคนาเดียน เทเนอร์ส ออกมามอบเพลงให้ได้ฟังกันกับ "Because We Believe" โดยหลังจากจบเพลง "เรมิจิโอ เปไรรา" (Remigio Pereira) หนึ่งในสมาชิกก็ขอแนะนำตัวเป็นภาษาไทยด้วยว่า "ผมเป็นคนโปรตุเกสที่สูงที่สุดของโลก" จากนั้นทั้ง 4 คนส่งอีก 2 เพลงคือ "Hallelujah" และ "The Prayer"
ต่อมาถึงคราวของสาวเสียงดีผู้เคยมาเยือนเมืองไทยแล้วอย่าง นาตาลี ที่ขอเริ่มด้วยเพลง "Fever" ที่เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมและคำชมจาก เดวิด ว่าสุดยอดและน่าทึ่งมากๆ ก่อนที่ นาตาลี จะกล่าวขอบคุณและกล่าวว่า "ฉันเคยมาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว และมันช่างเป็นเมืองที่สวยงามมากๆ ขอบคุณเดวิดมากๆ ที่ทำให้ฉันมาอยู่ที่นี่ค่ะ" ถัดมา นาตาลี มอบอีก 3 เพลงด้วยกันทั้งเพลงซึ้ง "Miss You Like Crazy" หรือจะเป็นเพลง "Unforgettable" ของ แนต คิง โคล (Nat King Cole) ผู้เป็นคุณพ่อ รวมไปถึงเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ "This Will Be"
ต่อด้วย รูเบน หนุ่มร่างท้วมผู้ชนะจากเวทีประกวดร้องเพลงอเมริกันไอดอล มากับเมดเลย์เพลง "Mornin" และ "I Swear" ถัดมาเป็นเพลงที่ เดวิด กล่าวว่าเป็นหนึ่งเพลงที่สำคัญต่ออาชีพของเขา ซึ่งก็คือเพลง "After The Love Has Gone" ของ เอิร์ธ วินด์ แอนด์ไฟร์ (Earth Wind & Fire) ที่หนุ่ม รูเบน ถ่ายทอดออกมาได้อย่างไพเราะเรียกเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี ก่อนส่งเพลง "Home" ของ ไมเคิล บูเบล (Michael Buble) และ "When I Fall In Love" ของ เซลีน ดิออน (Celine Dion) ที่ นาตาลี มาร่วมร้องด้วยในเพลงนี้
จากนั้น เดวิด ขอลงจากเวทีไปตามหาผู้ชมเสียงดี ซึ่งก็มีหลายคนที่ได้ร้องเพลงสดๆ ให้ เดวิด ฟัง หนึ่งในนั้นเป็นนักร้องสาวของไทยที่รู้จักกันดีอย่าง "ทาทา ยัง" (Tata Young) ก็ได้ร้องหนึ่งท่อนจากเพลง "Because You Loved Me" ให้ เดวิด ได้ฟังด้วย โดยหลังจากที่ได้ร่วมสนุกกับแฟนๆ เดวิด ก็กล่าวว่าเขารู้สึกมีความสุขมากๆ
ส่งต่อเวทีให้กับเพื่อนอีกคนของ เดวิด อย่าง ปีเตอร์ ได้ขึ้นมามอบเสียงเพลงเพราะๆ ให้ได้ฟังกัน โดย ปีเตอร์ ขนเพลงมาถึง 4 เพลงด้วยกัน เริ่มด้วยเพลงแรก "Hard To Say I'm Sorry" ถัดมาเป็น "You're The Inspiration" "If You Leave Me Now" และท้ายสุดกับ "Glory Of Love" หนึ่งเพลงที่ เดวิด กล่าวว่าแต่งขึ้นเพื่อนำไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง "The Karate Kid Part II"
ศิลปินคนสุดท้ายได้แก่สาวน้อยเสียงทรงพลัง ชารีซ ที่แค่ร้องเพลงแรก "The Power Of Love" ก็เรียกเสียงปรบมือได้มากมาย ก่อนส่งเพลงถัดมา "To Love You More" จากนั้น ชารีซ ก็ได้ร้องเพลงของตัวเองอย่าง "Pyramid" ให้ได้ฟังกัน ต่อด้วยเมดเลย์ "I Have Nothing" และ "I Will Always Love You" ที่ ชารีซ แสดงพลังเสียงให้ได้ฟังกันแบบเต็มๆ และส่งท้ายด้วยเพลง "All By Myself"
ปิดท้ายคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วยเพลง "Earth Song" ของราชาเพลงป๊อป ไมเคิล แจ็กสัน ที่ศิลปินทั้งหมดออกมาร้องร่วมกัน เป็นการจบคอนเสิร์ตในครั้งนี้ไปด้วยความประทับใจในความไพเราะของเสียงเพลง