สาวน้อย ชารีซ เยือนไทย อวดเสียงทรงพลังอย่างมีความสุข
"ชารีซ เพ็มเพ็งโก" (Charice Pempengco) นักร้องสาวชาวฟิลิปปินส์ผู้แจ้งเกิดจากเว็บไซต์ยูทูบ และเป็นศิลปินเอเชียคนแรกที่ส่งอัลบั้มติดหนึ่งในสิบของบิลบอร์ดชาร์ตของอเมริกา เดินทางมาที่เมืองไทย เพื่อร่วมกิจกรรมกับแฟนคลับผู้โชคดี และเปิดมินิคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทย ภายใต้ชื่อ "Charice Dreams Come True Showcase" ณ แกรนด์ฮอลล์ สยามดิสคัฟเวอรี่ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ก่อนมินิคอนเสิร์ตก็ได้เปิดให้สื่อมวลชนได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเธอกันด้วย
รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นศิลปินเอเชียคนแรกที่มียอดขายอัลบั้มติดหนึ่งในสิบของบิลบอร์ด
"ฉันภูมิใจที่เกิดเป็นคนเอเชีย และก็เป็นที่ชัดเจนแล้วคนเอเชียก็สามารถทำได้ อย่างอัลบั้มของฉันก็สามารถขึ้นไปสูงสุดถึงอันดับที่ 8 ของบิลบอร์ด"
คุณหวังที่จะได้รางวัลแกรมมี่บ้างไหม
"แน่นอน (หัวเราะ) นั่นคือเป้าหมายอย่างหนึ่งของฉันเลยล่ะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะได้ แต่นั่นคืออย่างหนึ่งที่ฉันฝันไว้"
หลายคนเรียกคุณว่า เดอะ วอยซ์ คนใหม่ของวงการเพลง
"กดดันเหมือนกันนะ (หัวเราะ) สำหรับตัวฉันเองแล้วก็รักในสิ่งที่ทำ พยายามทำงานให้ดีขึ้น รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ จะพยายามทำงานให้เต็มที่ค่ะ"
ตอนนี้คุณก็มีอัลบั้มเป็นของตัวเองแล้ว มีอะไรที่คุณอยากได้อีกไหม
"ฉันก็หวังถึงความก้าวหน้าในการเป็นนักร้อง ได้ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ด ได้ร้องเพลงอีกเยอะๆ ออกอัลบั้มให้มากกว่านี้ และได้ร่วมงานกับศิลปินคนอื่นๆ ค่ะ"
มีข้อแนะนำอะไรบ้างสำหรับเด็กๆ ที่อยากเป็นเหมือนคุณ
"ฉันอยากจะบอกว่าคุณต้องมีความมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย จะมีความท้าทายมากมายเข้ามาหาคุณ อย่าเพิ่งยอมแพ้ คุณจะต้องรอคอยอย่างอดทน รักคุณพ่อคุณแม่ของคุณให้มากๆ เพราะพวกท่านจะเป็นแรงสนับสนุนอันดับหนึ่งตลอดชั่วชีวิตคุณ อยู่อย่างถ่อมตัวและจดจำคนที่ช่วยเหลือคุณตั้งแต่แรกเริ่มให้ได้เสมอ"
คุณคิดอย่างไรที่หลายคนอยากให้คุณร้องเพลงเหมือนศิลปินต้นฉบับ
"ฉันชอบร้องเพลงของศิลปินคนอื่น แต่ฉันก็ยังคงความเป็นตัวเอง ไม่ได้พยายามเลียนแบบการร้องของใคร ฉันอยากให้คนจำว่าได้ว่าฉันคือชารีซ ไม่ใช่คนอื่นและไม่ใช่เหมือนใคร ฉันจึงพยายามร้องเพลงในแบบของฉันเองให้ดีที่สุด"
เวลามีคนหลั่งน้ำตาไปกับเพลงของคุณ คุณรู้สึกอย่างไร
"ฉันร้องเพลงด้วยความรู้สึกถึงเพลงนั้น ฉันพยายามสื่อสารกับคนฟัง เพื่อให้เขารับรู้ได้เลยว่าฉันรู้สึกอย่างไร ฉันอยากให้พวกเขารับรู้ได้ผ่านเสียงเพลงของฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณกับความรู้สึกที่ได้กลับมา มันวิเศษสุดๆ"
พูดถึงการทำงานกับโปรดิวเซอร์ เดวิด ฟอสเตอร์ (David Foster)
"เขาเป็นมืออาชีพมากๆ เขาเป็นคนที่เยี่ยมจริงๆ ตอนพบกันครั้งแรกฉันตื่นเต้นจนตัวสั่น ฉันบอกสวัสดีค่ะท่าน เขาบอกว่าท่านเทิ่นอะไร เรียกฉันว่าเดวิดสิ เขาเป็นคนใจดีมาก เป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ"
คุณมีส่วนร่วมเขียนเนื้อร้องและแร็ปในเพลง Reset ด้วย
"ฉันบอกกับเดวิดว่าเพลงนี้น่าจะมีภาษาตากาล็อกนะ เด็กๆ หลายคนต้องเล่นงานคุณแน่ ถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น (หัวเราะ)"
จะมีโอกาสได้เห็น ชารีซ แต่งเพลงอีกไหม
"แน่นอนว่าฉันรักในการแต่งเพลง แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้ อาจจะเป็นอัลบั้มถัดไปค่ะ"
คุณมีคนรักหรือยัง
"(หัวเราะ) ไม่ ฉันยังไม่พร้อมในตอนนี้ เพราะว่าฉันกำลังสนุกอยู่กับสิ่งที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้ ฉันรักมัน จริงๆ แล้วนั่นแหละคือคนรักของฉัน แม้ว่าบางทีทำให้อกหัก ช้ำใจ แต่ฉันก็ยังตกหลุมรักมัน"
อยากให้คุณพูดถึงแม่ของคุณ ผู้เป็นทั้งคนฝึกสอนและเพื่อนที่ดีที่สุด
"ฉันอยากจะขอบคุณเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีใครที่จะกล้าและพยายามที่จะทำให้ฉันล้มลงได้ หากฉันอยู่กับเธอ ฉันรู้สึกปลอดภัย หลายคนมักจะถามว่า หากฉันสามารถเปรียบเทียบเธอกับซูเปอร์ฮีโร่ ฉันจะตอบไปว่าเธอคือวันเดอร์วูแมน"
วันนี้คุณจะขึ้นร้อง 5-6 เพลง แล้วหลังจากนั้นล่ะ
"ตุลาคมนี้ฉันจะกลับมาที่กรุงเทพฯ อีกรอบ พร้อมกับ เดวิด ฟอสเตอร์ และเพื่อนๆ นอกจากฉันแล้ว ยังมีนักร้องคนอื่นๆ ด้วย จะมี นาตาลี โคล (Natalie Cole) ปีเตอร์ เซเทรา (Peter Cetera)"
ช่วยฝากอะไรหน่อย
"ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนฉันมาตลอด ขอบคุณที่ทำให้ทุกๆ แห่งที่ฉันไปเป็นที่พิเศษเสมอ ขอบคุณแฟนเพลงชาวไทย ฉันเองแทบจะรอการแสดงในวันนี้ไม่ไหวแล้ว มากันเยอะๆ นะ มาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงครั้งนี้"
มินิคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในช่วงเวลาเย็นมีศิลปินไทยมาร้องเปิดคอนเสิร์ตให้กับ ชารีซ ซึ่งได้แก่ นักล่าฝันผู้ชนะจากเวที ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 6 "ซานิ - นิภาภรณ์ ฐิติธนการ" โดยส่งเพลงแรก "I Hate Myself For Loving You" ของ โจน เจตต์ (Joan Jett) ต่อด้วยเพลง "Fair" จากอัลบั้ม The Winners Project และ "What's Up" ของ โฟร์ นอน บลอนด์ส (4 Non Blondes) หลังจากนั้น ซานิ และ ชารีซ ก็มาร่วมพูดคุยกันเกี่ยวกับ เส้นทางที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ของทั้งคู่
ซานิ กล่าวถึงความฝันของการได้มาเป็นนักร้องว่า "หนูว่าความฝันของแต่ละคนมันไปทีละขั้นเลยค่ะ อย่างหนูเนี่ยคิดว่าแต่ก่อนเนี่ย อยากเป็นแค่นักร้องในผับอะไรอย่างนี้ ความฝันสำเร็จ ได้เป็น หลังจากได้ทำก็อยากมีอัลบั้ม ก็มาประกวด ก็ได้เป็น มันคือฝันมันไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ มันฝันเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้ ตอนนี้ก็ฝันว่าอยากจะให้คนร้องเพลงได้ อยากมีอัลบั้มต่อไป อยากจะทำเพลงเอง"
จากนั้นถึงคราวของ ชารีซ ที่ได้ทักทายกับแฟนๆ เป็นภาษาไทยว่า "สวัสดีค่ะ" พร้อมกับยกมือไหว้ หลังจากนั้นเมื่อถามว่ามาทัวร์ครั้งนี้ต้องไปในหลายๆ ที่ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ชารีซ กล่าวว่า "ในทีแรกรู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อได้เห็นคนที่มากันมากมายขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกมีพลังขึ้นมา ขอบคุณมากๆ"
ชารีซ บอกด้วยว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาเมืองไทย พร้อมกับกล่าวว่ารู้สึกเหมือนบ้าน "คุณรู้ไหม ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านเกิดของฉัน มันเหมือนกับว่าที่นี้เป็นฟิลิปปินส์ที่สองเลย มีอะไรคล้ายกันมาก เจ๋ง แล้วก็ชอบรถตุ๊กตุ๊ก (หัวเราะ) ดังนั้นฉันคิดว่ามันเหมือนบ้าน และฉันก็สามารถอยู่ที่นี่ได้"
พร้อมกับเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อแฟนๆ ว่า รู้สึกว่าเป็นคนพิเศษและขอบคุณมากๆ นอกจากนี้ก็ยังกล่าวถึงการเป็นศิลปินเอเชียคนแรกที่อัลบั้มติดหนึ่งในสิบของบิลบอร์ดชาร์ตว่า "มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าทุกคนไม่ได้ซื้ออัลบั้มของฉัน ขอบคุณมากๆ ที่หยิบอัลบั้มของฉันค่ะ"
เมื่อถามถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอคือใครนั้น ชารีซ กล่าวว่า "แน่นอนเลยว่าคือ ครอบครัวของฉัน แฟนๆ ขอบคุณมากๆ พวกคุณคือแรงบันดาลใจของฉันเหมือนกัน แล้วก็บุคคลหลายๆ คนที่คอยช่วยเหลือฉันตั้งแต่แรกเริ่ม เหล่านี้คือแรงบันดาลใจของฉันค่ะ"
ซานิ บอกถึงแรงบันดาลใจของตัวเองบ้างว่า "หนูมีความรู้สึกเหมือนชารีซพูดค่ะ เราเห็นคนเยอะๆ ที่ฟังเพลงของเรา แล้วก็ชื่นชมในผลงานของเรา เราก็รู้สึกตั้งใจที่อยากจะมีผลงานต่อ ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ยังอยากมีอัลบั้มของตัวเอง" พร้อมกันนี้ก็กล่าวด้วยว่า เรื่องความรู้สึกท้อนั้นมีกันทุกคน ทั้งนี้ก็ต้องรู้จักวิธีที่จะทำให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วย ชารีซ กล่าวว่า ตนเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับ ซานิ "ฉันไม่ได้หมายถึงว่าเราเหมือนกันที่ว่าเราอยู่ในจุดสูงสุด ไม่ใช่เลย ฉันแค่อยากจะบอกว่าเราทั้งคู่ทำงานหนักกันมากๆ มันไม่ง่ายที่จะมาถึงจุดนี้ได้ กับการเป็นนักร้องหรือศิลปิน มันไม่ง่ายเลย มันยากมาก"
การที่ต้องใช้เวลาอยู่แต่ในรถ ไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง เพราะต้องไปคอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ นั้น ชารีซ กล่าวว่า เธอไม่สนใจตรงจุดนั้นเลย เพราะเธอรักในการร้องเพลง "ฉันแค่อยากจะทำให้ทุกคนมีความสุข ฉันรักการร้องเพลง มันคือชีวิตของฉัน และฉันไม่สนใจผู้คนที่พยายามจะฉุดให้ฉันรู้สึกแย่ขนาดไหน ฉันสนแค่เพียงคนที่รักในเพลงของฉันเท่านั้น"
เมื่อถามถึงความฝันที่อยากจะทำที่ยังไม่ได้ทำนั้นแต่ละคนอยากทำอะไร ซานิ กล่าวว่า อยากเป็นเหมือนกับ ชารีซ ส่วน ชารีซ ก็ยิ้มด้วยความปลื้ม พร้อมกับบอกถึงสิ่งที่อยากทำหากไม่ได้เป็นนักร้องก็คือการเป็นทนายความ "นอกจากการมีเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของตัวเองนี้แล้ว ฉันก็มีอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นทนาย ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว (หัวเราะ) ฉันจะบอกว่าฉันยังคงมีเป้าหมายสำหรับชีวิตของตัวเองอยู่ แน่นอนว่าฉันรักการร้องเพลง ฉันรักที่ทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ฉันก็ยังคงมีเป้าหมายในชีวิตเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว ฉันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อเป็นความสำเร็จสุดท้ายของชีวิตค่ะ"
นอกจากนี้ก็มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ของ ชารีซ อีกก็คือ เธอบอกว่า จะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ "ฉันจะกลับมาที่นี่ในเดือนตุลาคม และแน่นอนจะพา เดวิด ฟอสเตอร์ มาด้วย พวกคุณควรจะไปและแสดงให้เห็นถึงแรงสนับสนุนที่พวกคุณมี อย่างที่บอกว่าทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีพวกคุณ ตุลาคมนี้ กับ เดอะ ฮิตแมน คอนเสิร์ต ฉันจะกลับมาพร้อมกับ เดวิด ฟอสเตอร์ ด้วย แล้วเจอกัน"
ชารีซ กล่าวทิ้งท้ายถึงแฟนๆ ด้วยภาษาไทยว่า "สวัสดีค่ะ" และ "ขอบคุณค่ะ" ก่อนพูดต่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "ฉันมีความสุขมากๆ กับการมาได้มาแสดงต่อหน้าพวกคุณครั้งแรกนี้ ขอบคุณมากๆ ขอบคุณที่เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน ราวกับเป็นจุดสูงสุดของปิรามิดเลย"
หลังจากสิ้นสุดการสัมภาษณ์ ชารีซ ก็ร้องสดให้แฟนๆ ที่มารอชมได้ฟังกัน เริ่มด้วยเพลง "I Love You (Remix)" และ "Reset" จากนั้น ชารีซ ก็แสดงพลังเสียงจากเมดเลย์ 2 เพลง คือ "I Have Nothing" และ "I Will Always Love You" พร้อมกับส่ง "In This Love" และเพลงดัง "Pyramid" และกลับหลังเวทีก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องจากแฟนๆ ปิดท้ายด้วย "Halo" ของต้นฉบับอย่าง บียอนเซ (Beyonce Knowles) เป็นการทิ้งท้ายการมาครั้งนี้อย่างสุดประทับใจ ทั้งการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นกันเองและเสียงร้องอันทรงพลังของเธอที่เรียกปรบมือได้อย่างท่วมท้น