แคลช เปิดใจถึงอัลบั้มสุดท้าย ก่อนแยกย้ายกันไปทำตามฝัน

"แคลช" (Clash) วงร็อกที่เริ่มต้นจากการประกวด จนเป็นที่รู้จัก มีแฟนคลับมากมาย และมีผลงานมายาวนาน แถลงข่าวเปิดใจถึงการทำอัลบั้มสุดท้ายในนามวง แคลช ที่มีชื่ออัลบั้มว่า "Nine Miss 2 U" ก่อนสมาชิกแต่ละคนจะอำลาไปทำงานเพลงในแบบของตัวเอง โดยสมาชิกที่มาร่วมแถลงข่าว ได้แก่ "แบงค์ - ปรีติ บารมีอนันต์" (ร้องนำ) "สุ่ม - สุกฤษณ์ ศรีเปารยะ" (เบส) "ยักษ์ - อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์" (กลอง) และ "พล - ธนะพล ฤกษ์สมผุส" (กีตาร์) ขาดก็แต่เพียง "แฮ็ค - ฐาปนา ณ บางช้าง" มือกีตาร์ที่ไม่สบาย จึงไม่สามารถมาร่วมพูดคุยในวันนี้ด้วยได้

พล เริ่มกล่าวก่อนถึงกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่มีหลายคนพูดว่า แคลช กำลังจะแยกวง "ก็คือวันนี้ผมคิดว่าพี่ๆ ทุกคนก็คงได้ข่าวว่าพวกผมกำลังจะเลิก ซึ่งพวกเราก็ต้องขอบอกเลยว่าเป็นเรื่องจริง แล้วก็เราไม่ได้ทะเลาะกันแล้วมาเลิกเล่นกับวงแคลช คือวันนี้เราถึงจุดที่เรียกว่าจะเรียกว่าอิ่มตัวก็คงไม่ใช่ แต่ว่าเรามีความฝันต่อที่เราอยากจะเดินต่อไป แล้วเราก็คิดว่าตรงนี้ก็คงต้องหยุดไว้เท่านี้ แล้วก็แยกย้ายกันไปเดินตามหาความฝันที่เราวางไว้ในอนาคต

ซึ่งทุกวันนี้จริงๆ แล้วก็ต้องบอกเลยว่า เรื่องที่เราจะหยุดวงเนี่ยเราคุยกันมาแล้วประมาณ 2-3 ปี จริงๆ เราจะหยุดตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว แต่ว่าผู้ใหญ่ก็เรียกไปคุยว่าทำไมใจร้ายอย่างนี้ ถ้านึกถึงคนเป็นแฟนกัน วันหนึ่งถ้าบอกเลิกยังตัดใจง่ายกว่า แต่แบบคุณหายไปเลยแล้วให้เขาไปคิดเอาเองเหรออะไรอย่างนี้ เราก็เลยคิดว่าเราควรทำอีกอัลบั้มหนึ่งแล้วก็บอกกับทุกคนตรงๆ ว่าเรากำลังจะเลิก แต่เราเลิกไปเพื่อทำอะไร ทุกคนจะได้เข้าใจ"

เมื่อยุติ แคลช แล้วแต่ละคนจะไปทำอะไรกันบ้างนั้น สุ่ม ตอบว่า ณ ตอนนี้ก็เป็นงานเบื้องหลังอย่างที่ทุกๆ คนทราบกัน "คือจริงๆ ตอนนี้พวกเราก็มีเหมือนเป็นงานที่ทำเบื้องหลังครับ อย่างเช่นโปรดิวเซอร์อย่างพี่พลก็ที่ผ่านมาก็คืองาน น้องตีน่า (พิมพ์รดาภา ไรท์) แล้วก็อย่างตอนนี้ก็มีที่เริ่มทำคนใหม่ขึ้นมาแล้ว" พล ก็เสริมต่อว่างานปั้นศิลปินนี้ กำลังจะมีมาต่อเนื่องอีกเรื่อยๆ "ผมมองว่าตอนนี้คือพวกเราก็ย้ายเพียงจากเบื้องหน้าไปอยู่เบื้องหลัง แล้วก็ทำเป็นทีมโปรดักชันหนึ่งที่สามารถที่จะสร้างศิลปินได้ มองเห็นว่าน้องคนไหนที่เขามีความสามารถแล้วเราก็อยากจะช่วยให้โอกาส"

กับหลายๆ คนมองว่าสาเหตุ คือไปด้วยกันไม่ได้ หรือมีความแตกแยก ขัดแย้งกัน แบงค์ กล่าวว่า ทุกคนอยู่ด้วยกันมานาน ทะเลาะกันแล้วแยกวงคงเป็นไปได้ยาก "คือจริงๆ เราอยู่กันมา 15 ปี แล้วก็ทะเลาะกันเนี่ยพรุ่งนี้เช้าก็หาย ซึ่งคือเราเป็นเด็กมัธยม เตะบอล ตัวดำๆ กินมาม่าหม้อเดียวกัน เหมือนญาติ เราไม่ใช่ถูกมาจับรวมกันในตึกนี้แล้วก็มาเขม่นกันเอง คงไม่มี"

นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้ต้องแยกกัน น่าจะเป็นเรื่องของการฟังเพลงของแต่ละคนที่เริ่มแตกต่างกัน บวกกับภาระหน้าที่ที่มี "ก็ด้วยทัศนคติทางการฟังเพลงมันเริ่มแตกต่าง แล้วด้วยภาระหน้าที่แต่ละคนเนี่ยก็ค่อนข้างที่จะค่อยๆ ถ่างออก มันจะไม่ค่อยคล้ายกัน ที่คล้ายกันคือเราเป็นทีมโปรดิวเซอร์กัน ผมก็อยู่ในนี้ด้วย ถึงแม้วงแคลชไม่มีแล้ว ก็ยังอยู่ ในกลุ่มก้อนนี้ ทำงานเพลงต่อไป"

แบงค์ กล่าวต่อเรื่องอัลบั้มนี้ที่จะได้เห็นตัวตนของแต่ละคนว่า "คือทุกคน คือผมคุยกันแล้วว่า เฮ้ย เราจะไปทำอาชีพอะไรได้ ขายหอยทอดก็คงขายไม่ดีหรอก ก็คงจะทำได้อาชีพนี้อาชีพเดียวเท่านั้น ก็คอยดูแล้วกันเพราะว่าอัลบั้มใหม่เนี่ย อัลบั้มสุดท้ายเนี่ย พาร์ตเอ เพลงที่ 1-5 เนี่ยจะเป็นเพลงของแคลช แล้วก็อีก 5 เพลงเนี่ยเป็นเพลงโซโลของแต่ละคนว่าแต่ละคนฟังเพลงแนวไหนอยู่ เขาก็จะทำแนวนั้น แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงจะคล้ายจากใน 5 แทร็กในแต่ละคน ของพล ของยักษ์ ของสุ่ม ของแฮ็ค"

แต่ละคนเริ่มมีแนวทางการฟังเพลงเป็นของตัวเอง "มันเปลี่ยนไปเองครับ โตขึ้นด้วย อย่างเมื่อก่อนเราอาจจะฟังเพลงเยอะ แต่พอเริ่มโตขึ้นเราอาจจะเริ่มตัดบางอย่างทิ้งออกไปบ้าง ซึ่งเหลือแต่สิ่งที่เราชอบอย่างเดียว พอมันเหลือสิ่งที่เราชอบอย่างเดียวเนี่ย เราก็อยากเป็นอย่างนั้น อย่างเดียวที่อยากจะเป็น แล้วด้วยทางพี่พล หรือยักษ์เอง อย่างยักษ์ตอนนี้เขาหนักเขียนเนื้อให้กับศิลปินต่างๆ พี่พลก็โปรดิวซ์จนหัวฟูทุกวัน นอนเช้าทุกวันเหนื่อยมาก" แบงค์ กล่าว ซึ่ง พล ก็บอกพร้อมกับหัวเราะว่า "เพื่อนผมทักว่าผมหน้าแก่"

ส่วนข่าวที่ว่า แบงค์ จะถูกทาบทามไปทำงานเพลงที่ต่างประเทศนั้น เจ้าตัวบอกว่าขอยังไม่พูดเรื่องนี้เพราะยังไม่แน่นอน "คือตอนนี้เนี่ยทางเรื่องนี้คือคงตอบตรงนี้ชัดเจนไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ในช่วงระหว่างการพูดคุยครับ มันบอกไปเดี๋ยวถ้าเกิดมันไม่ตรงกัน เดี๋ยวโดนวิพากษ์วิจารณ์อีก" นอกจากนี้ก็ยืนยันด้วยว่าไม่ใช่บริษัทที่นำนักร้องเกาหลีอย่าง เรน (Rain) ไปอเมริกา

เรื่องสัญญาของแต่ละคนที่เหลืออยู่นั้น พล บอกว่าเหลืออยู่ไม่เกิน 2 ปี และไม่ได้เป็นเรื่องที่แยกวงแล้วฉีกสัญญา "ปีครึ่ง สองปี ไม่เกินนี้ครับ แต่จริงแล้วเราเลิกเราไม่ได้ฉีกสัญญา คือต้องบอกก่อน เราเลิก ก็แมนๆ ว่า เออ เราไม่ทำอัลบั้มกับแคลชแล้ว แต่ว่าทุกคนก็ย้ายตัวเองไปทำงานเบื้องหลัง สร้างงานใหม่ๆ สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการเพลงอะไรอย่างนี้ครับผม" โดยสมาชิกแต่ละคนถึงแม้จะมีโครงการอะไร ก็ยังคงทำอยู่กับ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ แน่นอน

เมื่อถามว่ารู้สึกเสียใจไหม ที่จะไม่มี แคลช แล้ว แบงค์ กล่าวว่าก็รู้สึกเสียใจ แต่ที่สุดแล้วก็ต้องมีเวลานี้ที่ทุกคนต้องไปตามฝัน "ก็เสียใจ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เราคุยกันมา 3 ปีแล้ว เราไม่ได้ทะเลาะกันเมื่อวานนี้ แล้วก็มานั่งแถลงข่าว อันนั้นคืออาจจะเสียใจ แต่นี่คือเป็นเรื่องที่ตกลง แล้วก็วางแผนกันมาว่า เฮ้ย มันไทม์มิ่งไหนล่ะที่เราแยกย้ายไปทำตามฝันของตัวเองจริงๆ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับการบอกแฟนคลับแต่ละคน เพราะว่าบางคนเนี่ยรับไม่ได้เลย เขาบอกว่าบางทีหนูเพิ่งตามพี่มา 2 ปีเอง แล้วพี่ไปอย่างนี้ ทำไมพี่มาทำร้ายหนูอย่างนี้ บางคนก็เข้าใจ ก็ขอบคุณ บางคนด่าก็มี คือเขาแบบเขาเสียใจจนเขาโมโห ทำไมไม่เห็นใจเขาบ้าง"

แบงค์ เผยว่าอัลบั้มพิเศษหรือโครงการในอนาคตของ แคลช มีความเป็นไปได้ แต่ก็ต้องดูที่ภาระหน้าที่ของแต่ละคนด้วย ส่วนคอนเสิร์ตอำลานั้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2553 ที่ ยามาฮ่า สเตเดี้ยม และหลังจากคอนเสิร์ตนี้ แคลช ก็ยังคงร่วมกันในงานแสดงเพลงต่างๆ อีกประมาณ 50 ครั้งด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขา

ด้าน พล ก็เผยว่าจริงๆ แล้วอัลบั้มนี้ยังมีอะไรพิเศษๆ ที่ทุกคนจะได้เห็นกันอีก ซึ่งเป็นงานที่สมาชิกแต่ละคนรู้สึกสนุกกับมันมาก "เตรียมไว้นานครับ เพราะตอนนี้มีแค่เอ็มวีตัวที่ 2 เรายังมีชิ้นงานแบบที่ผมคิดว่าหลายๆ คนคงอาจจะตกใจกับชิ้นงานที่กำลังจะเกิดขึ้นอะไรอย่างนี้ครับ เพราะขนาดพวกเราคุยกันเองเรายังสนุกมากกับงานที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วผมคิดว่า เออ มันคงเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่เราและพี่ๆ หลายๆ คน ทีมงานทุกคนทำกันอย่างเต็มที่ ก็ยังไงก็เดี๋ยวรอดู ผมว่าสนุกแน่นอน แต่ก็ต้องบอกไว้เลยว่าจริงๆ แล้ว แคลชยังไงก็ยังเป็นแคลชนะครับ ถึงวันนี้เราแค่หยุดการทำงานเบื้องหน้า ก็ย้ายตัวเองไปอยู่เบื้องหลัง"

แบงค์ เล่าถึงเหตุการณ์วันถ่ายมิวสิกวิดีโอ "เพลงสุดท้าย" ที่มีแฟนคลับร่วมถ่ายมิวสิกวิดีโอนี้ และเป็นวันที่พวกเขาบอกข่าวกับแฟนคลับกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกว่าจะไม่มี แคลช อีกแล้ว "เอ่อ วันนั้นเนี่ยคือ มันเป็นนั่งร้านน่ะแหละ ชั้นเดียว ก็ขึ้นไปพูด แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากใจ เจอคนเป็นหมื่นบนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เนี่ย มันไม่ตื่นเต้นเท่านี้ มันสั่นไปหมด ผมก็บอกพี่พลบอกว่า พี่ พี่พูดล่ะกัน ผมไม่กล้าพูด"

สุ่ม กล่าวเสริมว่า "คือมันเป็นอารมณ์ที่มันยากกว่าการที่เราเล่นเบส กีตาร์ หรือว่าซ้อมคอนเสิร์ตหลายเท่าครับ คือแบบเวลาเราเห็นแฟนเพลงเขาร้องไห้ พวกเราก็เศร้า คือตรงนั้นก็มีฉุกคิดเหมือนกันว่า เออ นี่มันจะดีหรือ แต่ว่าคือที่สุดแล้วมันเป็นสิ่งที่พวกเราตัดสินใจแล้วครับ คือเราไม่รู้หรอกว่าต่อไปมันจะดีจะร้าย แต่ว่ามติคือพวกเรา 5 คน เอาแค่ 5 คน ว่า 5 คนคิดเหมือนกัน แล้วก็โอเคพร้อม ลุยก็ลุย หยุดก็คือหยุด คือเอาแค่นี้ก่อน เรายังไม่อยากไปมองรอบข้างว่า เอ้ย คนนั้นไม่เห็นด้วย คนนี้ไม่อยากให้เลิกอะไรอย่างนี้ เอาแคลชก่อน เอาแค่แคลช 5 คน"

มือกลองของวงอย่าง ยักษ์ ที่นั่งเงียบมานาน ก็ขอบอกกับแฟนคลับว่า "ที่อยากบอกคือมันจะมีคำหนึ่งคือคำขอโทษที่เราตัดสินใจกันไปแบบนี้ แต่ว่าวันหนึ่งเราก็แบบว่าเราใช้เวลาเดินทางกันมาในเส้นทางนี้ก็คือ 9 ปี มันถึงจุดที่แบบว่าเราต้องการจะไปตามฝันของเราบ้าง ขอบคุณน้องหลายๆ คนที่เข้าใจ แต่เราก็ไม่ได้ไปไหน เราก็คือยังทำงานให้ทุกคนเห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็ เนี่ย คือในหัวเรา พวกเราทุกคนเนี่ย คิดไว้แล้วว่าวันข้างหน้าเราจะทำอะไรบ้าง แต่ก็วันนี้ก็คือเป็นวันที่บอกว่าแคลชจะขอหยุดการทำอัลบั้มไว้แต่เพียงเท่านี้"

หากอัลบั้มนี้ผลตอบรับดีมาก ทุกคนก็จะหยุด ถึงแม้จะเสียดายก็ตาม "ถามว่าเสียดายไหม ก็คงจะเสียดายแหละ แต่ว่าโลกมันหมุนไป แล้วเวลามันก็เปลี่ยน ถ้าจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยน เราก็ต้องไปทำในสิ่งที่ตรงกับทัศนคติของแต่ละคนดีกว่า เพราะว่าจริงๆ เราก็อยากจะเป็นวงหนึ่งที่แบบ 40 กว่ากลับมาแล้วก็ทุกคนยังสนใจอยู่ ก็อยากจะเป็น แต่ว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่แต่ละคนฟังเพลงไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร ไม่เหมือนกันเลย"

ท้ายสุด แบงค์ กล่าวฝากอัลบั้มสุดท้ายของ แคลช ว่า "เพลงสุดท้าย คงไม่ใช่เพลงสุดท้ายนะครับสำหรับอัลบั้มนี้ ก็มีหลายโปรเจ็กต์มากมายที่มันน่าสนุกแล้วก็แพลนของวงแคลชอัลบั้มนี้ก็ยังยาวยังไม่จบแค่เพลงสุดท้ายนี้ ก็ติดตามดูครับ หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะ 30 ตุลาฯ ที่ยามาฮ่า สเตเดี้ยมครับ"

คอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย วันที่ 30 ตุลาคม นี้ แคลช เผยว่า จะเป็นคอนเสิร์ตที่ไม่มีรูปแบบมากมายเหมือนคอนเสิร์ตที่ผ่านๆ มา แต่จะเป็นคอนเสิร์ตที่ แคลช จะตั้งใจเล่นที่สุด และเล่นเพลงให้มากที่สุด จะเศร้าจะซึ้งขนาดไหนเป็นเรื่องที่ไม่ได้กำหนดไว้ในคอนเสิร์ต แต่ปล่อยให้เป็นไปตามจังหวะของเพลง