ได้เวลาขาร็อกรุ่นใหญ่ย้อนวัยร่ำไรไปกับ อัสนี และ วสันต์
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่การจราจรบนถนนรามคำแหงติดขัดมากทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด เนื่องจากบรรดาขาร็อกรุ่นใหญ่ต่างนัดรวมพลกันเพื่อไปร่วมคอนเสิร์ตของคู่ศิลปินร็อกระดับตำนานอย่าง "ป้อม - อัสนี โชติกุล" และ "โต๊ะ - วสันต์ โชติกุล" ใน "อัสนี - วสันต์ ร่ำไร คอนเสิร์ต" โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ที่จัดแสดงคอนเสิร์ต ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งสามารถจุคนดูได้กว่า 40,000 คน
เริ่มเปิดคอนเสิร์ตแบบไม่เหมือนใคร ด้วยวง "ดรัม ไลน์" (Drum Line) จากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ซึ่งเป็นวงโยธวาทิตขนาดใหญ่ มีนักดนตรีร่วมแสดงกว่า 50 ชีวิต ออกมาบรรเลงเพลงของ ป้อม และ โต๊ะ แถมด้วยการเป่าเครื่องเป่า ตีกลอง พร้อมทั้งแปรขบวนกันอย่างพร้อมเพรียงอีกด้วย
แล้วในที่สุดเสียงแฟนเพลงก็กระหึ่มลั่นสนาม เมื่อ 2 ร็อกผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัว งานนี้มาถึงไม่พูดพร่ำอันใดกระหน่ำกันทีเดียว 6 เพลงรวด เริ่มจาก "ยินดีไม่มีปัญหา" "ไม่เกี่ยวกัน" "สุขใจ" "เกี่ยวก้อย" "เบื๊อก" จนมาถึง "วัวลืมตัว" จากนั้น ป้อม กล่าวทักทายคนดู ซึ่งแน่นอนว่ายังมาพร้อมคำทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่าง "วู่ๆๆ" และ "โย๊โยๆๆ" อีกเช่นเคย จากนั้น ป้อม ถามแฟนๆ ว่า "อยากฟังเสียง วสันต์ ไหมครับ" ซึ่งคนดูก็พร้อมใจกันตอบว่าอยาก จึงเข้าเพลงซึ้งอย่าง "แทนคำนั้น" ที่ โต๊ะ เป็นคนร้อง
กลับมาที่ ป้อม อีกครั้ง กับเพลง "เธอปันใจ" ซึ่งได้มือขวาจากคนดูที่ชูและร่วมร้องกันใหญ่ ก่อนจะมันต่อกับเมดเล่ย์เพลง "บ้าหอบฟาง" "กระดี่ได้น้ำ" และ "กรุงเทพมหานคร" หลังจบได้เวลาแจกปิ๊กศักดิ์สิทธิ์กำนัลคนดูแถวหน้า ตามด้วยลูกโป่งที่เขียนว่า "ปิ๊กเธอเสมอ" แต่งานนี้คนดูแย่งกันสนุกไปหน่อยจนแจกไปกี่ใบก็แตกหมดซะอย่างนั้น
พักเหนื่อยจากการเก็บปิ๊กเก็บลูกโป่ง ด้วยเมดเล่ย์รวมเพลงอกหัก ทั้ง "หัวใจสะออน" "สิทธิ์ของเธอ" และ "อยากจะลืม" ก่อนจะต่อด้วย เมดเล่ย์จิ๊กโก๋ม่วนอย่าง "บังอรเอาแต่นอน" "I Love You" "ตาอยู่" "ทุกข์ไม่เว้นวันราชการ" และ "ข้าวเย็น" ซึ่งเรียกเหงื่อจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋วัยดึกทั้งหลายไปได้มากทีเดียว
มาที่เพลงฉายเดี่ยวของ โต๊ะ อีกรอบใน "หนึ่งมิตรชิดใกล้" จบแล้ว ป้อม ออกมารับหน้าที่ร้องนำอีกครั้งกับเพลง "ฟักทอง" และ "ลงเอย" จากนั้นก็ถึงเวลาสาดปิ๊กแจกคนดูแถวหน้ากันอีกครา โดยไม่ปล่อยให้แถวหลังต้องน้อยใจอีกต่อไป เพราะมีปิ๊กโปรยปรายลงมาจากหลังคาอัฒจรรย์ด้วยเช่นกัน ก่อนจะกลับมาที่อีกหนึ่งเพลงช้าๆ ของ โต๊ะ ใน "ให้เธอ" และไปชูมือขวากันสูงๆ ต่อกับ "ก็เคยสัญญา" "สายล่อฟ้า" และ "พบกันครึ่งทาง"
เมื่อคนดูแถวหน้าเรียกร้องอยากฟังเพลง "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง" มีหรือที่พวกเขาจะปฏิเสธ ป้อม จึงจัดเพลงนี้ในแบบอคูสติกกีตาร์ให้ฟังกันสดๆ เสียเลย ก่อนจะกลับมาที่เพลงต่อไป คือ "น้ำเอยน้ำใจ" ตามด้วย "เลยตามเลย" ซึ่งช่วงท้ายเพลงทั้ง ป้อม และ โต๊ะ ต่างเดี่ยวกีตาร์แสดงความเก๋ากันอย่างเมามันก่อนจะนำเข้าเพลง "วณิพก" โดยมีเจ้าของเพลงตัวจริงอย่าง "ยืนยง โอภากุล" หรือ "แอ๊ด คาราบาว" ออกมาร่วมครวญเพลงและดวลกีตาร์กันด้วย
หลังจบเพลง แอ๊ด กล่าวทักทายคนดูว่า "สวัสดีครับพี่น้อง ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งนะครับที่ คุณโต๊ะ คุณป้อม ชวนผมมาคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ผมเคยเล่น คนเยอะมากเลย และผมเองก็ตั้งใจจะมาร้องเพลงนี้ร่วมกับ คุณป้อม เพลงที่เราทำด้วยกัน คือเพลง ชีวิตสัมพันธ์" จากนั้น แอ๊ด และ ป้อม จึงร่วมร้องเพลงดังกล่าวด้วยกัน
จากนั้น ป้อม กล่าวว่า "ในวาระโอกาสนี้นะครับ ได้ร่วมกันแต่ง และขับร้องบทเพลงเนื่องในปีมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ชื่อเพลง ทรงพระเจริญ นะครับ และในช่วงต่อไปนี้ ในนามของพสกนิกรชาวไทย ขอเชิญทุกคนร่วมกันยืนขึ้นร้องเพลงนี้ เพื่อร่วมกันถวายพระพรขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญตลอดกาล ตลอดไป" เหล่าผู้ชมในสนามจึงลุกขึ้นและร้องเพลง "ทรงพระเจริญ" ร่วมกันจนจบ
ปิดท้ายโดยมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์และพลุถูกจุดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่ ป้อม จะนำทีมกล่าวถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" เป็นเวลา 3 ครั้ง และผู้ชมกล่าวตามอย่างพร้อมเพรียงจนกึกก้องไปทั้งสนาม
มาถึงช่วงท้ายของคอนเสิร์ตเริ่มด้วยเพลง "ยินยอม" ตามด้วยเมดเล่ย์ชุดใหญ่ให้ได้เต้นกันอีกรอบกับ "บังเอิญติดดิน" "ลักไก่" "ลูกผู้ชาย" "บางอ้อ" "กุ้มใจ" และ "ยินดีไม่มีปัญหา" จากนั้นจึงเป็นการจุดพลุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะไปต่อด้วยเพลงที่ ป้อม กล่าวว่า "ขอมอบเพลงนี้ให้กับคนที่มีแต่ความทุกข์ความระทม ขอให้มีแต่ความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ" และชวนแฟนเพลงให้ร่วมร้องเพลงไปด้วยกันใน "รักเธอเสมอ" ตามด้วย "ได้อย่างเสียอย่าง" และ "ร่ำไร"
ชั่วโมงแห่งการย้อนเวลายังไม่ยอมจบลงง่ายๆ เมื่อ ป้อม ถามคนดูว่าเหนื่อยหรือยัง และกว่าค่อนสนามตอบว่ายัง จึงแถมให้อีก 3 เพลง ได้แก่ "ทำดีได้ดี" "คนสุดท้าย" ก่อนจะลากันด้วยเพลง "ลาก่อน"