บรรยากาศคอนเสิร์ต ทงบังชินกี ที่ไม่ทำให้เหล่าสาวกผิดหวัง
"Tong Vfang Xien Qi" (TVXQ) หรือที่แฟนๆ คุ้นเคยในชื่อ "ทงบังชินกี" (Dong Bang Shin Gi) ได้เปิดคอนเสิร์ต "TVXQ! Rising Sun Live in Bangkok 2006" ในเมืองไทย ซึ่งเพิ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ไม่ทำให้เหล่าสาวกของห้าหนุ่มหล่อจากแดนโสมนี้ต้องผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ด้วยคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและประทับใจในครั้งนี้
แค่การปรากฏตัวบนเวทีของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา เมื่อกระเช้าใส 5 ใบ ค่อยๆ หย่อนตัวลงมาจากเพดานฮอลล์อย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงพื้นเวที แล้ว "ยูโน" (U-Know) หรือ "ชองยุนโฮ" (Jung Yun Ho) "ฮีโร่" (Hero) หรือ "คิมแจจุง" (Kim Jae Joong) "เซีย" (Xiah) หรือ "คิมจุนซู" (Kim Jun Su) "มิกกี้" (Micky) หรือ "ปาร์กยูชอน" (Park Yoo Chun) และ "แม็กซ์" (Max) หรือ "ชิมชางมิน" (Shim Chang Min) ก็เผยโฉมอยู่ข้างในแบบทันใด ชนิดที่คนดูต้องงงว่าพวกเขาเข้าไปข้างในได้อย่างไรกันแน่ ถือเป็นเทคนิคการเปิดตัวที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากทีเดียว
เมื่อหนุ่มๆ ซึ่งคนนับหมื่นในฮอลล์รอคอยมาถึงแล้ว บทเพลงแรกที่ได้ยินคือ "Tonight" เพลงความหมายดีบ่งบอกถึงค่ำคืนพิเศษนี้ที่พวกเขากำลังจะมีกับแฟนเพลงชาวไทย ต่อด้วย "Hug" กับฉากหลังที่ตกแต่งเหมือนเป็นห้องนอน ซึ่งมีหนุ่มๆ ยืนร้องกันอยู่ภายในห้อง เข้ากับเพลงน่ารักๆ เพลงนี้ โดยเฉพาะ แจจุง ที่ดูจะคึกเป็นพิเศษ เมื่อมีการออกลีลาท่าเต้นซึ่งเน้นความฮามากกว่า เพราะไม่เข้ากับเพลงจังหวะกลางๆ นี้เลยนั่นเอง
เพลงช้ายังคงมีให้ฟังกันต่อด้วย "Nohidul Goshinikka" (I Wish...) และ "Whatever They Say" จบแล้วจึงเป็นการทักทายผู้ชมครั้งแรก แถมยังมีการแนะนำตัวเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ เรียกรอยยิ้มจากแฟนเพลงได้เช่นเคย อีกทั้งยังมีหยอดคำหวานด้วยว่าคอนเสิร์ตในวันนี้เต็มไปด้วยแฟนๆ มากมาย ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนเล่นอยู่ในบ้านเกิดประเทศเกาหลีเลย แล้วจบช่วงแรกด้วยเพลง "I Believe" ก่อนที่ทั้ง 5 คนในชุดขาวจะเข้าหลังเวทีไป
มาถึงช่วงที่อุณหภูมิในฮอลล์จะร้อนขึ้นบ้าง เมื่อ ทงบังชินกี กลับมาบนเวทีอีกครั้งในชุดดำ เป็นการเปลี่ยนอารมณ์เข้ากับเพลงเร็วๆ ที่จะร้องต่อไป ได้แก่ "Tri-Angle" "Free Your Mind" และ "Dangerous Mind" ที่มี 4 หนุ่มแสดงลีลาเต้นอย่างมีพลังเช่นเคย ขาดก็แต่ ชางมิน ซึ่งบาดเจ็บขณะฝึกซ้อมเพลงในอัลบั้มที่ 3 ดังนั้นจึงมีการแก้ปัญหาด้วยการให้แดนเซอร์สวมหน้ากากแล้วเต้นแทนเขา ส่วน ชางมิน นั้นก็เปลี่ยนไปยืนร้องอย่างเดียวแทน หรือบางเพลงยังมีการเข้าไปอยู่ในกระเช้าด้านข้างเวที เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ได้มากไม่แพ้สมาชิกคนอื่นเช่นกัน
บทเพลงซึ่งแฟนๆ คุ้นเคยและร้องตามกันได้เสียงดังยังคงถูกนำมาร้องอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ "Jigumchorom" (Like Now) "Yagsoghedon Guteye" (Always There...) "I Never Let Go" "I Wanna Hold You" และ "Mabobeui Seong" (Magic Castle)
ถึงเวลาสำหรับแขกรับเชิญพิเศษกันบ้างกับ "ซูเปอร์จูเนียร์" (Super Junior) ซึ่งยกพลกันมาเกือบครบทีมคือ 12 คน จะขาดก็แต่ "ฮีซอล" ซึ่งขายังไม่หายดีจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ว่าแค่นี้เสียงร้องเรียกหนุ่มๆ กลุ่มนี้ ที่มีเอกลักษณ์ตรงความน่ารักขี้เล่น ก็ดังอยู่ตลอดเวลาไม่แพ้เจ้าของงาน พร้อมกับบทเพลงแรกของพวกเขาที่ได้ฟังกันกับ "Dancing Out"
จากนั้นเป็นการแนะนำตัวและทักทายแฟนเพลง โดยพวกเขาได้บอกถึงความประทับใจจากการที่ได้มาเยือนเมืองไทยครั้งก่อน ซึ่งก็ดีใจมากที่ได้มาในครั้งนี้อีก แล้วยังมีการพูดทักทายสวัสดีกับแฟนๆ ในหลายๆ ภาษาทั้ง จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และปิดท้ายด้วยภาษาไทย ต่อกันด้วยบทเพลงดังอื่นๆ ของพวกเขา คือ "Miracle" และ "U" ก่อนจะร่ำลาแฟนเพลงแล้วกลับเข้าหลังเวทีกันไป
เมื่อ ทงบังชินกี กลับมาพบคนดูอีกครั้ง พวกเขาก็พาทุกคนให้คึกคักกันต่อกับเพลงเร็ว "The Way U Are" และ "Rising Sun" จบแล้วห้าหนุ่มก็เข้าหลังเวทีเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแบบสบายๆ และที่พิเศษคือ พวกเขามาพร้อมสายรัดข้อมือเรารักในหลวง ซึ่งสวมกันไว้ทุกคน และยังคำพูดหวานๆ ว่า คนไทยทุกคนน่ารักเหมือนกับความงดงามของประเทศไทย
ส่วนบทเพลงที่นำมาฝากกันในช่วงนี้ คือ "One" และ "My Little Princess" กับความพิเศษในบทเพลงนี้เมื่อทั้ง 5 ได้แสดงกลถูฝ่ามือตรงดอกกุหลาบสีแดงซึ่งติดอยู่ตรงขาตั้งไมค์ แล้วจากนั้นกลีบดอกไม้สีแดงมากมายก็ฟุ้งกระจายออกมาจากตรงดอกกุหลาบ กลายเป็นภาพสวยงามชวนประทับใจอีกภาพหนึ่ง
มาถึงบทเพลงสุดท้าย "Drive" กับสัญลักษณ์การจบงานด้วยกระดาษสีเงินซึ่งถูกโปรยลงมาทั่วทั้งฮอลล์ รวมทั้งหนุ่มๆ ที่สาดน้ำเล่นกับคนดู และคำพูดที่พวกเขากล่าวด้วยภาษาไทยกับผู้ชมที่มากันเต็มฮอลล์ว่า "ขอบคุณครับ" ภายใต้สีหน้าและรอยยิ้มซึ่งสื่อความหมายเดียวกันกับคำพูดที่เอ่ยออกมา
จบคอนเสิร์ตกันไปด้วยความประทับใจ เพราะว่าหลังจากงานเลิกไม่ว่ามองไปทางไหน ก็จะเจอแต่รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของเหล่าผู้ชมในวันนั้น สมกับเป็นคอนเสิร์ตของกลุ่มนักร้องชื่อ ทงบังชินกี ซึ่งมีที่มาจากภาษาจีนโบราณแปลว่า เทพเจ้าที่เติบโตจากโลกตะวันออก จริงๆ