อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์เล่าขานรักอบอุ่น พรจากฟ้า
ค่ายจีดีเอช ห้าห้าเก้า เตรียมส่งภาพยนตร์รักอบอุ่นที่ตั้งใจทำขึ้น ด้วยน้อมรำลึกและร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อมอบให้เป็นของขวัญแด่ผู้ชม กับภาพยนตร์เรื่อง "พรจากฟ้า" เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว 3 คู่ โดยในเรื่องจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ที่มีความร้อยเรียงกัน ทั้งยังนำบทเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลง มาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินเรื่อง ได้แก่เพลง "พรปีใหม่" กำกับโดย "เก้ง - จิระ มะลิกุล" ได้ "เต๋อ - ฉันทวิชช์ ธนะเสวี" และ "หนูนา - หนึ่งธิดา โสภณ" พระนางคู่ขวัญจากเรื่อง "กวน มึน โฮ" ที่โคจรมาเจอกันอีกครั้ง เพลง "Still on My Mind" ผู้กำกับ "ต้น - นิธิวัฒน์ ธราธร" พร้อมดึงตัว "มิว - นิษฐา จิรยั่งยืน" ประกบคู่กับ "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์" และเพลง "ยามเย็น" โดย 2 ผู้กำกับ "หมู - ชยนพ บุญประกอบ" และ "ปิง - เกรียงไกร วชิรธรรมพร" คว้าหนุ่มมากเสน่ห์ "นาย - ณภัทร เสียงสมบุญ" กับสาว "วี - วิโอเลต วอเทียร์" มารับบทคู่กัน โดยมีการจัดงานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ณ เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โปรดิวเซอร์สาว "วรรณ - วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์" แง้มถึงแรงบันดาลใจของภาพยนตร์รักเรื่องนี้ว่า "แรงบันดาลใจที่เราเริ่มทำโปรเจกต์นี้กันน่ะค่ะ ก็คือมาจากพี่เก้ง ที่พอพี่เก้งได้ไปพบข้อมูลเรื่องว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์เพลง พรปีใหม่ ให้เป็นของขวัญกับประชาชนคนไทย ซึ่งจริงๆ แล้วส่วนใหญ่จะทราบนะคะว่าเพลง พรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ แต่ว่าเราอาจจะไม่เคยรู้ว่าพระองค์ท่านทรงประทานให้เป็นของขวัญกับประชาชน ซึ่งพอพี่เก้งทราบไอเดียนี้ก็รู้สึกประทับใจมากๆ แล้วก็รู้สึกว่าอยากทำหนังเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราก็คิดว่ากำลังเท่าที่คนทำหนังตัวเล็กๆ บริษัทหนึ่งเท่าที่เราจะทำได้ เราก็คิดว่าเราทำหนังแบบเรานี่แหละ เป็นหนังรักแบบจีดีเอชปกตินี่แหละ แต่ว่าเราก็จะอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์มาผ่านเรื่องราว ผ่านตัวละครที่เป็น 3 คู่รัก แล้วก็ทำสิ่งที่คล้ายๆ กับการให้ของขวัญกันด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ เราก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นหนังรักที่สร้างความประทับใจ แล้วก็ทำให้ประชาชนคนดูคนไทย รู้สึกใกล้ชิดกับเพลงพระราชนิพนธ์"
ผู้กำกับ เก้ง เผยความประทับใจที่เลือกเพลง พรปีใหม่ มาถ่ายทอดว่า "ผมรู้สึกว่าเพลงนี้ในหลวงท่านทรงแต่งให้กับประชาชนเลยนะฮะ ในเวิร์สที่สองท่านเขียนไว้ว่า ข้าวิงวรขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย คือมีทั้งข้า ซึ่งหมายถึงในหลวง แล้วก็มีทั้งประชาชนชาวไทย ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ผมอยากจะถ่ายทอดฮะ แล้วก็โดยเนื้อเรื่องก็เป็นกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่ในออฟฟิศ คือเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป เขาก็อยากเล่นดนตรี เขาก็เล่นกันแล้วเขาก็เล่นเพลงนี้" ด้าน ต้น หยิบยกเพลงที่ไม่คุ้นหู แต่แฝงด้วยความไพเราะในท่วงทำนองและเนื้อหา "จริงๆ เพลง Still on My Mind เป็นเพลงที่ไพเราะมากครับ เมโลดีเพราะมาก แล้วก็อาจจะเป็นเพลงที่คนยังไม่ค่อยคุ้นหู ตอนแรกที่ผมเลือกก็รู้สึกว่าพอไปฟังแล้วแบบเพราะ แล้วก็เนื้อหาดีมากๆ เป็นเพลงที่พระองค์ท่านประพันธ์เนื้อร้องเองด้วย แล้วก็ตัวเนื้อหาของเพลง พูดถึงการคิดถึงใครบางคน โดยที่เราไม่สามารถที่จะลืมเขาไปได้จากหัวใจของเรา เลยรู้สึกว่าเพลงโรแมนติกขนาดนี้ถ้ามันเป็นหนังรักสักเรื่องหนึ่งคงจะดีมากๆ"
ทางด้าน 2 ผู้กำกับหนุ่มที่จับมือกันมาเล่าเรื่องบทเพลง ยามเย็น หมู บอกว่าทั้งคู่เลือกเพลงตรงกันพอดิบพอดี "เป็นเพลงที่เราเลือกด้วยกันฮะ ก็เลือกตรงกันเลยครับ คือเป็นเพลงที่เราคุ้นหูมานาน เรียกว่าเป็นเพลงฮิตในบรรดาเพลงพระราชนิพนธ์อ่ะครับ แต่ว่าเราไม่เคยมานั่งตั้งใจฟังเนื้อจริงๆ ครับ แล้วพอมานั่งฟังแล้วพบว่าเนื้อโรแมนติกมาก มีการเปรียบเทียบว่าแบบช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกยามเย็น เปรียบเหมือนการจากลากับคนรัก รู้สึกปิ๊งถึงพล็อตหนังรัก" ปิง กล่าวเสริมว่า "ในขณะที่นั่งฟังมันเหมือนเราคิดภาพไปพร้อมๆ กับเพลงด้วย ตอนเด็กๆ เราไม่เข้าใจคำว่า ทินกร (คำที่อยู่ในบทเพลง ยามเย็น) พอมาโตแล้วเราก็ฟังมันเห็นภาพชัดขึ้นครับว่ามันพูดถึงความรู้สึกแบบไหน แล้วมันเหมาะกับพล็อตของเราที่พูดถึงความรักที่มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว"
การได้กลับมาพบอีกครั้งระหว่าง เต๋อ และ หนูนา แถมยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับมาฝีมือ ทำเอาพระเอกมาดกวนปลื้มไม่เบา "รู้สึกปลื้มใจมากครับ เพราะผมก็เป็นแฟนคลับพี่เก้งเหมือนกันครับ แล้วก็ที่สำคัญที่สุดคือในงานของพี่เก้งนี้ผมก็ได้ร่วมงานกับหนูนาด้วย สิ่งที่ดีคือเหมือนแบบตอนร่วมงานกับหนูนาตั้งแต่ กวน มึน โฮ สนุกมาก แล้วก็หลังจากนั้นไม่ได้ร่วมงานอะไรกันอีกเท่าไร ก็จะเจอกันผ่านๆ ก็จะนึกถึงช่วงเวลานั้นเยอะ ดีใจมากครับ" ฟาก หนูนา กล่าวความรู้สึกว่า "ดีใจค่ะ ดีใจมากเลยเพราะว่าก็เหมือนไปทำอะไรอื่นๆ หลายๆ อย่างอ่ะค่ะ ไม่ได้กลับมาเล่นหนังเลย แล้วก็เหมือนได้กลับมาเล่นอีก ก็ได้เจอพี่เต๋อด้วยเหมือนเดิม ก็ดีใจ แล้วก็ได้เจอกับพี่เก้งด้วยค่ะ" ในเรื่องเห็นว่าต้องเล่นดนตรีด้วย อย่างนี้แล้วมีประสบการณ์มาก่อนหรือเปล่า หนูนา ตอบว่า "ไม่มีเลย คือร้องเพลงได้อย่างเดียวค่ะ ไม่รู้โน้ตด้วย" เต๋อ ก็ไม่เคยเล่นดนตรีเช่นกัน "ไม่เคยเลยครับ เคยเห็น แต่ว่าไม่มีความรู้สึกว่าเราจะไปเล่นมันเลยครับ แม้แต่นิดเดียว"
เก้ง เผยถึงสาเหตุในการเลือกเครื่องดนตรี ทรัมเป็ตให้ หนูนา และแซ็กโซโฟนกับ เต๋อ ที่ทั้งสองคนต้องเล่นในเรื่องว่า "คือตามท้องเรื่องเนี่ยฮะ เป็นพวกคนทำงานในออฟฟิศเขามารวมตัวเล่นกัน คือเขาเล่นให้ตัวเองฟังนะฮะ ไม่ได้เล่นไปออกงาน เสร็จแล้วเวลามารวมๆ กัน คือใครเคยเล่นเป็นอะไรวงดุริยางค์เนี่ยก็มาหมดเลย เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเครื่องแปลกๆ แล้วก็ตามท้องเรื่อง 2 คนนี้ก็เลยเล่นเครื่องเป่า แต่ด้วยความตั้งใจลึกๆ ผมรู้สึกว่าเครื่อง 2 เครื่องนี้ เป็นเครื่องที่ในหลวงทรงเล่น เราจะเห็นภาพท่านเล่นทรัมเป็ต แล้วท่านก็เล่นแซ็กโซโฟน ผมก็เลยรู้สึกว่าผมอยากเห็นนักแสดงเนี่ยเล่นเครื่อง 2 เครื่องนี้ ซึ่งมันดันเป็นเครื่องที่ยากอ่ะฮะ 2 คนนี้ก็ต้องเข้าไปเรียนจริงๆ ฝึกจริงๆ เพื่อที่จะให้เป่าได้จริงๆ"
ต้น ออกปากว่าเรื่องส่วนที่ตนเองกำกับนั้นมีความครบรส "จริงๆ ต้องเรียกครบรสดีกว่าฮะ อาจจะไม่ใช่แค่รักอย่างเดียว ก็มีทั้งสนุก มีทั้งซาบซึ้ง ก็ถือว่าทุกๆ รสเลยดีกว่า" นักแสดงนำอย่าง ซันนี่ แง้มถึงเครื่องดนตรีที่ต้องเล่นในเรื่องว่า "อาชีพในเรื่องคือเป็นช่างจูนเปียโนครับ คือก็เล่นเปียโนเป็นด้วย สามารถจูนเปียโนได้ แล้วก็เล่นกีตาร์ได้ด้วย" ขณะที่ มิว ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ถึงกับต้องเคาะสนิมเรียนเปียโน "จริงๆ แล้วมิวเคยเรียนเปียโนตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่ว่าก็เลิกเรียนไปตอนครูให้เริ่มขึ้นเป็นสองมือ เพราะมันยากแล้วเราแยกประสาทไม่ออกก็เลยเลิกเล่นไป แล้วก็จนมาเรื่องนี้ พี่ต้นอยากให้เล่นเปียโน เราก็เลยมีความตั้งใจว่าเราอยากจะเล่นให้ได้จริงๆ ก็เลยไปเริ่มเรียนใหม่หมดเลย ก็ยากเหมือนกันค่ะ เพราะเหมือนเป็นอะไรที่เราหนีมาตอนเด็ก แล้วก็เราต้องมาฝึกฝน สองมือด้วย เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย ก็มีความกดดันเล็กๆ แต่ว่าเราก็มีความตั้งใจที่อยากจะเล่นให้ได้"
ส่วน นาย เล่าถึงการพลิกบทบาทมารับบทเป็นหนุ่มเจ้าชู้ว่า "เราก็ไปทำการบ้านมาครับ พี่หมู พี่ปิง ก็ให้การบ้านมาทำ ก็คือเหมือนไปหาเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน จากผู้ใหญ่ หรือว่าใครก็ได้ในเรื่องเกี่ยวกับการจีบสาว หรือว่าในเรื่องของมุมมองความรัก พี่ๆ เขามีอะไรก็แชร์กัน ก็ช่วยได้เยอะครับ" ฟาก วี เปรยถึงการที่ได้ร่วมงานกับหนุ่มคนนี้ว่า "คือตอนเข้าฉากไม่เขินแล้ว แต่ว่าตอนเขินตอนแรกคือตอนเวิร์กชอป ก็คือพี่หมูกับพี่ปิงก็ลองให้เล่นเป็นแฟนกัน เขาต้องบอกรักเราเลยเขิน" หมู เอ่ยถึงการที่เลือก วี มารับบทนี้ว่า "เราจะเห็นว่าในหนังจาก ฝากไว้ (ฝากไว้..ในกายเธอ) วีก็จะเป็นบทแบบดาร์กๆ จากเรื่อง ฟรีแลนซ์ (ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย..ห้ามพัก..ห้ามรักหมอ) ก็จะเป็นบทเจ้ๆ หน่อย แต่ตัวตนจริงๆ เขาจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ก็เลยรู้สึกอยากจะเห็นมุมมองที่ต่างไปบ้าง ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ ใกล้เคียงกับตัวจริงกว่าที่ผ่านๆ มาด้วย แล้วก็เหตุผลที่ควรจะเป็นวีเท่านั้นเลยก็คือในหนังอ่ะครับมีการร้องเพลง แล้วก็นอกเหนือไปจากนั้นมันจะมีบอดีเพอร์คัสชัน คือเป็นการตบมือประกอบจังหวะในระหว่างที่ร้องเพลงไปด้วยครับ ไม่น่าจะมีใครแยกโสตประสาทได้ขนาดวีแล้ว"
นอกจากนี้ภายในงาน ทีมนักแสดงและผู้กำกับต่างร่วมเล่นดนตรีและขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น ให้ฟังกัน ร่วมอิ่มเอมใจไปกับบทเพลงที่ส่งมอบให้เป็นของขวัญที่ เก้ง ได้ฝากถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า "ผมในฐานะตัวแทนผู้ทำงาน คณะทำงานทุกคนนะฮะ ผู้กำกับ ทีมงาน นักแสดง ทีมงานเบื้องหลังทุกคน แล้วก็ทีมผู้สนับสนุนการทำหนังเรื่องนี้นะครับ เราก็ขอเป็นตัวแทนฝากความหวังและความปรารถนาดีของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงแต่งเพลง พรปีใหม่ เมื่อ 60 กว่าปีที่แล้วนะฮะ มาสู่ประชาชนชาวไทยทุกคนนะครับ ในภาพยนตร์เรื่อง พรจากฟ้า ครับ" พบกับ พรจากฟ้า ได้ในโรงภาพยนตร์วันที่ 1 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป