เอวัง ตีแผ่ความศรัทธา จากหัวใจอันบริสุทธิ์ 2 ดวง
"เอวัง" (So Be It) ภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยมโดย ทรู ออริจินัล พิคเจอร์ส ร่วมด้วย ซองซาวด์ โปรดักชั่น ผลงานการกำกับของ "คงเดช จาตุรันต์รัศมี" เจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีสุพรรณหงส์ จากเรื่อง "ตั้งวง" ถือเป็นการกำกับภาพยนตร์สารคดีครั้งแรกของผู้กำกับมือรางวัลคนนี้ ซึ่งได้คว้าตัว "สามเณรวิลเลี่ยม" หรือ "วิลเลี่ยม - สรวิชญ์ วิลเลี่ยม คอดุลโล" จากโครงการ "สามเณรปลูกปัญญาธรรม ปี 2" เด็กชายลูกครึ่งไทยอเมริกันที่มีความสนใจ และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ร่วมด้วย "บัณฑิต เล่าเจริญสุข" เด็กชายอีกคนหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาด้วยความจำเป็น ถือเป็น 2 แง่มุมจากชีวิตเล็กๆ ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2557 ผู้กำกับ คงเดช รวมถึง วิลเลี่ยมและ "บอย - อรรถพล ณ บางช้าง" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ได้มาร่วมพูดคุยกันในงานเปิดตัวภาพยนตร์ เอวัง ที่จัดขึ้น ณ โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ โดย บอย กล่าวถึง โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมว่า "ตอนแรกเราก็มองว่าการทำรายการเรียลลิตีโชว์ที่เอาเด็กมาอยู่ในวัดเป็นเวลา 1 เดือนเนี่ย มันเป็นเรื่องแปลกใช่ไหมครับ แต่ทีนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือว่าคนที่เขาติดตามดูเรา เขาก็ดูน้องๆ น้องวิลเลี่ยมอย่างนี้ เขาจะอยู่ได้ไหมในระยะเวลา 1 เดือน ทีนี้พอเรามานึกถึงในความเป็นจริง ก็คือว่าการทำรายการลักษณะแบบนี้มันมีที่เดียวในโลกเลยนะ มันจะไม่มีที่อื่นเลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจสำหรับเรา แล้วก็มีคนที่ติดตามดูเยอะแยะ มันเป็นเรื่องคัลเจอร์ของเราด้วยนะ วัฒนธรรมของเรา"
ต่อมา บอย จึงเกิดความคิดที่จะสร้างให้เป็นภาพยนตร์สารคดี "ก็เลยมาเจอคุณคงเดชครับ ก็คุยกันว่าจริงๆ คัลเจอร์แบบนี้ ถ้าเราทำออกมาเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ดีๆ มันก็สามารถจะเผยแพร่ความเป็นพระพุทธศาสนา แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ซึ่งมันมีแง่คิดต่างๆ ที่น่าสนใจนะครับ ก็เลยไปปรึกษากัน ทีนี้ก็ปล่อยเรื่องให้คุณคงเดชไปดูว่าการทำเรียลลิตีโชว์ปี 1 ปี 2 มันเป็นยังไง ปรากฏว่ามันก็ออกมาเป็นเรื่องของ เอวัง นะครับ" ด้านผู้กำกับ คงเดช เผยถึงแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ว่า "พอได้โจทย์เกี่ยวกับสามเณร เราก็ไปนั่งดู แล้วก็พบน้องวิลเลี่ยมเนี่ยแหละ เหมือนกับการเจอน้องวิลเลี่ยมปุ๊บกลายเป็นอินสไปร์ในการทำโปรเจกต์นี้ เพราะว่าในปีนั้นน้องวิลเลี่ยมอายุน้อยสุด แล้วว่าน้องวิลเลี่ยมเป็นฝรั่ง จะบวชทำไม วัยอย่างน้องวิลเลี่ยมทำไมไม่ดูการ์ตูนอยู่บ้าน หรือว่าไม่เล่นเกมอยู่ที่บ้าน"
คงเดช พูดถึง วิลเลี่ยม เพิ่มเติมว่า "คือเรารู้มาด้วยว่าเขาขอพ่อแม่มาบวชเอง เป็นคนขอพ่อแม่มาบวชเอง แล้วก็เลยเหมือนมีคำถามว่า เอ๊ะ วิลเลี่ยมทำไมถึงอยากมาบวช วิลเลี่ยมต้องการอะไรจากการบวชครั้งนี้ ใช่ไหมฮะ เด็กๆ เวลาอยากจะไปทำอะไรเขาก็คงจะมีโจทย์อยู่ในใจ แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นคือตอนที่เราดู ก็คือว่ารายการจบซีซันไปแล้วนะ เราก็เลยรู้สึกสนใจในตัววิลเลี่ยม แล้วเราก็คิดว่าถ้าติดตามชีวิตหลังจากนั้นของวิลเลี่ยมจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วก็เลยเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้" จากนั้นก็ตามหาตัวตนของเด็กที่น่าสนใจอีกคนหนึ่ง เพื่อมาสร้างเป็นเรื่องราว และก็ได้มาซึ่ง บัณฑิต "คืออย่างที่บอกครับพอเราได้วิลเลี่ยมปุ๊บเนี่ยนะฮะ วิลเลี่ยมคือคนที่วิ่งเข้ามาหาพุทธศาสนาเอง เราก็เลยเหมือนมองเล็งอีกด้านหนึ่ง พยายามมองหาอีกซับเจกต์หนึ่ง ก็คือคนที่ต้องอยู่ใกล้ศาสนา แต่ว่าอยู่เพราะความจำเป็นบางอย่าง"
ผู้กำกับมือรางวัลบอกเหตุผลที่เลือก บัณฑิต ว่า "พอเราได้ดูคลิปของน้องบัณฑิตเราก็ลืมไม่ลงเลย เพราะว่าเขาตาแข็งมาก แล้วเขาก็ไม่พูดเลยนะฮะ เราก็รู้สึกคนๆ นี้ต้องน่าสนใจแน่ๆ แล้วพอมารู้ว่าเขาตั้งแต่มาเรียนที่วัดสระแก้ว เขายังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้ง 5 ปีแล้ว เราก็รู้สึกว่าคนนี้แหละๆ ไม่ได้กลับบ้าน จริงๆ แล้วเขาเป็นม้งไงฮะ แล้วเขาอยู่จังหวัดตาก อยู่ไกลมาก อยู่บนภูเขาเลย แต่ว่าการเดินทางมา พอมาที่นี่ปุ๊บจะกลับไปอีกครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ดังนั้นเราก็เลยเหมือนแบบเอาล่ะ เรารู้ล่ะเราจะได้เหรียญ 2 ด้าน ตอนที่เลือกบัณฑิต ก็มีคนเตือนอยู่ว่าเด็กคนนี้ไม่พูดเลยนะ เราอาจจะถ่ายเขายากนะ แต่เราก็หน้ามืดเลือกไป แต่ว่ากลายเป็นว่าดีไปอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าบัณฑิตเขาถ่ายทอดด้วยสายตา ด้วยท่าทางได้เอง"
ส่วนความยากของการถ่ายทำ คงเดช เล่าว่า "เราค้นพบว่าเราเล่นของยากซะแล้ว ไม่เคยทำสารคดีแต่ว่าพอทำเรื่องแรกแล้วเป็นเรื่องของเด็ก เป็นเด็กทั้งคู่ คอนโทรลไม่ได้เลย บางวันถ่ายไปก็ไม่ได้ แบบเอามาใช้อะไรไม่ได้เลยก็มีเหมือนกันฮะ บางทีคุยกันว่า เอ๊ะ วันนี้จะไปอย่างนี้ รู้แล้วเดี๋ยววันนี้จะไปอย่างนี้ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ไป มันคอนโทรลไม่ได้ หรือแม้กระทั่งว่าเราอยากจะได้เฟรมสวยๆ หน่อยอย่างนี้ฮะ เห็นสารคดีสมัยนี้เขาสวยๆ กัน แต่ปรากฏว่าพอเป็นเด็กปุ๊บเราก็คอนโทรลไม่ได้ เราจะเตรียมไม่ได้ว่าเดี๋ยวค่อยๆ เดินมานะ เดี๋ยวจะตั้งกล้องตรงนี้ไว้สวยๆ แล้วให้เขาเดินเข้ามา ไม่ได้"
ผู้กำกับพูดถึงเส้นทางของรายการสารคดีสู่ภาพยนตร์สารคดีว่า "คือตอนที่หนังยังไม่เสร็จเท่าไรนะครับ ก็ปรากฏว่าโปรเจกต์นี้มันไปเข้าเซกชันฮาฟที่เทศกาลหนังฮ่องกง ซึ่งเป็นการพบปะคุยกับดิสทริบิวเตอร์โน่นนี่นั่นนะฮะ ดังนั้นพอหนังเรื่องนี้เสร็จแล้วเราจะต้องไปฉายที่ฮ่องกงแบบอัตโนมัติที่เทศกาลหนังฮ่องกงนะครับ แล้วก็พอผ่านมาอีกสักหลายเดือน ตัวหนังมันเสร็จแล้วตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวหนังก็ได้ทุนเอซีเอฟ ที่เทศกาลหนังปูซาน คือเป็นทุนการทำโพสต์โปรดักชัน เป็นพวกแก้สี ไฟนอลเสียงทั้งหลาย มิกซ์เสียงทั้งหลาย แล้วก็สำเร็จกระบวนการไฟล์ดีซีพีสำหรับฉายโรงภาพยนตร์ได้ ดังนั้นจากที่ตอนแรกว่าจะทำแค่ป้อนทางทรูฯ เฉยๆ เราก็เลยคิดว่าจะทำเรื่องนี้เอาเข้าโรงภาพยนตร์ไปด้วย"
และกระแสตอบรับที่ได้จากผู้ชมชาวเกาหลี ผู้กำกับบอกว่า "ดีกว่าที่คิด มีพระมาดูทุกรอบ (หัวเราะ) ใช่ฮะ เป็นพระแต่ว่าเป็นนิกายของเกาหลีนะฮะ เขาเรียกมหายานใช่ไหมฮะ นั่นแหละฮะก็มาดูทุกรอบ แต่คือคงไม่ผิดกฏอะไรของนิกายเขานะครับ" ซึ่งเชื่อว่าภาษาของภาพยนตร์จะทำให้ผู้ชมเข้าใจตรงกันได้ แม้จะมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน "เข้าใจนะฮะ เพราะในที่สุดแล้วสิ่งที่เราถ่ายทอดมันเป็นเรื่องของชีวิต แล้วก็เรื่องของการตามหาความสุข เรื่องของการมีชีวิตกับพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ละคนมีเงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน แล้วก็มันก็เป็นเรื่องที่สากลอยู่เหมือนกัน แล้วปรากฏว่าเอาจริงๆ เนี่ยถูกใจป้าๆ มาก พวกป้าๆ ที่เกาหลีชอบมาก"
หนุ่มน้อย วิลเลี่ยม เอ่ยความรู้สึกที่ได้แสดงภาพยนตร์แบบสั้นๆ ว่า "ตื่นเต้นครับ" และกล่าวอย่างใสซื่อถึงเหตุผลที่อยากบวช ว่า "สบาย ไม่ค่อยได้ทำอะไร" สักพักคงคิดได้ว่าเหตุผลนี้ไม่น่าใช่ จึงบอกว่า "ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แค่อยากสบาย แต่อยากอยู่แบบคนธรรมดา" ทำให้ผู้คนภายในงานพากันขำไปกับความน่ารักน่าเอ็นดูของหนุ่มน้อยคนนี้ ส่วนผู้กำกับ คงเดช ก็ได้ฝากให้ชาวไทยได้มาชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้อีกด้วย "สารคดีก็จริงนะฮะ แต่ว่าเราเชื่อว่าคนดูจะรู้สึกไปกับมันไม่แพ้หนังฟิกชัน แล้วก็น่าจะมีคำถามหรือข้อคิดหรือสร้างอารมณ์และความรู้สึกใดๆ ก็ตามออกมาจากโรงฯ แล้วก็น่าจะรู้สึกดีมากๆ อยากให้ไปดูกันเยอะๆ ฉายโรงเดียว แต่ก็อยากให้ไปดูกันเยอะๆ"
สามารถติดตามเรื่องราวที่จะถ่ายทอดมุมมอง 2 ด้านของการดำเนินชีวิตกับพระพุทธศาสนาจากเด็กน้อย 2 คน ในภาพยนตร์เรื่อง เอวัง ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2557 ณ โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ที่เดียวเท่านั้น