นำธรรมะกลับคืนสู่หัวใจด้วย นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย
"นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย" เป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้โครงการบวชพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน โดย เสถียรธรรมสถาน และสร้างขึ้นในโอกาสฉลองปีพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรม โดยมีการถ่ายทำใน 3 ประเทศคือ ไทย อินเดีย และเนปาล เป็นผลงานของ 2 ผู้กำกับ คือ "นาย - สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร" และ "โน้ต - พรรณพันธ์ ทรงขำ" ส่วนผู้ที่รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ คือ "เจี๊ยบ - วรรธนา วีรยวรรธน" นักร้องและนักแต่งเพลงมากฝีมือ นำแสดงโดย "ออม - สุชาร์ มานะยิ่ง" ร่วมด้วยนักแสดง อาทิ " " ันน์ ธนาก " " ร - อรอนงค์ ปัญญาวงศ " " อปอ - สาธิมา อุดมเวศย " " ีระ - วชิระ ค่ายค " " ้อง - วรินกร ปลื้มจิ " และ " กน - ณัฐนา คูวงษ์วัฒนาเสร " ซึ่งล้วนมาทำงานด้วยใจกุศลไม่มีค่าตัว
งานเปิดตัวภาพยนตร์ นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย มีขึ้นที่ โรงภาพยนตร์ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 ภายในงานได้รับเกียรติจาก " ม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุ " มาร่วมพูดคุย โดย แม่ชีศันสนีย์ เผยถึงชื่อภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานระหว่างคำว่า นมัสเต ซึ่งเป็นคำทักทายในภาษาอินเดีย กับคำว่า จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย ว่า " รรมสวัสดีนะคะ คุณยายคิดว่าหลานๆ ต้องเป็นคนที่อยู่บนโลกได้อย่างคนที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อ เหยื่อที่น่ากลัวที่สุดคือเหยื่อของอารมณ์ ถ้าอารมณ์มา ก็แค่จ๊ะเอ๋ คือเห็นมัน แล้วก็บ๊ายบา " สำหรับที่มาที่ไปของภาพยนตร์ นาย ผู้กำกับเล่าว่า " ริงๆ โปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์ที่พวกเรารวมตัวกันมาร่วมงานบุญค่ะ แล้วก็ร่วมกันโดยการใช้ธีมที่ทำยังไงที่เราจะไปที่อินเดียกับการแสวงบุญของทางแม่ชีน่ะค่ะ แล้วก็ร่วมกันเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งขึ้นมาค่ " ส่วนใช้เวลาถ่ายทำที่อินเดียนานเท่าไรนั้น นาย แง้มว่า "15 วันที่อินเดียค่ะ แล้วก็ที่ไทยอีกค่ะ" ส่วนการร่วมงานกับ ออม นั้น นาย บอกว่า "จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นน้องออมมาตั้งแต่ต้นโปรเจ็กต์เลยค่ะ เพราะว่าน้องออมเป็นคนขอคุณยายมาเล่นเรื่องนี้"
แม่ชีศันสนีย์ แสดงความคิดเห็นถึงการดูแลปัญหาวัยรุ่นว่า "พวกเกรียนเนี่ยเราจะสอนเขาแบบจ้ำจี้จ้ำไชไม่ได้ แต่คุณยายมั่นใจว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเนี่ยเขาสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องมั่นใจว่าวิธีการ เทคนิค ที่จะทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นวรรณะเนี่ยนะคะ เข้าถึงธรรมะมีหลากหลายมาก ภาพยนตร์เป็นหนึ่งเทคนิค เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เด็กวัยรุ่นสามารถที่จะเข้าไปเรียนรู้กับฟิล์มหรืออะไรที่เกิดขึ้นในฟิล์มนั้น แล้วเขาสามารถที่จะเห็นตัวเขา เห็นเรื่องราวของเขา เห็นวิธีการเปลี่ยนแปลงของเขาด้วยตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้นเราคิดว่าการใช้ภาพยนตร์หรือการใช้ฟิล์มเพื่อจะบอกกล่าวเรื่องราวของการจัดการกับอารมณ์เนี่ยมันก็เป็นอีกหนึ่งศิลปะชั้นยอดที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์ นี่ก็ถือเป็นการศึกษาที่กระทรวงศึกษาฯ (กระทรวงศึกษาธิการ) หรือ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เองให้การสนับสนุนพวกเราด้วยนะ"
ด้าน โน้ต ผู้กำกับ มองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถบอกหนทางออกให้กับปัญหาได้ "จริงๆ แล้วในมุมมองของผม คือ นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย ผมไม่ได้ทำหนังสะท้อนสังคมแล้ว คือเราทำหนังทำละครสะท้อนปัญหาสังคมมาจะ 50 ปีแล้วมั้ง แต่เราไม่เคยบอกหนทางออก หนทางที่เราจะเดินก้าวต่อไปได้ยังไง เพราะฉะนั้นใน นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย จะเห็นเราทำหนังที่บอกทางออกให้กับทุกคนได้" ก่อนที่จะเผยถึงความหนักใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "ตอนได้โจทย์มาหนักใจเรื่องต้องไปถ่ายที่อินเดีย เพราะว่าต้องไปตามขบวนพุทธสาวิกา แล้วเราต้องลุยสด การถ่ายหนังทุกอย่างเราไม่สามารถเซ็ตได้ คือทุกอย่างของจริง เขาไปพุทธคยาเราก็ต้องไปพุทธคยา มีเวลาสองชั่วโมงถ่ายให้เสร็จสองชั่วโมงนี่คือเรื่องหนักใจที่สุด"
ฟาก นาย ผู้กำกับอีกคนเล่าถึงสิ่งที่สังคมจะได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "สิ่งแรกที่เราตั้งใจมากสุดคือมีเกิด มีดับ มีการไม่จีรังยั่งยืน ทุกๆ อย่างมีเกิดมีดับ เพียงแต่ว่าเราจะเรียนรู้ตรงนั้นได้ยังไง มีสติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เรารู้สึกว่าตัวละครเราทุกตัวได้คุยกับทาง พี่เจี๊ยบ วรรธนา ซึ่งเขียนบทว่าอยากให้ตัวละครทุกตัวมีเกิดมีดับ มีอารมณ์แปรปรวน และมีสติในการแก้ปัญหาทั้งหมด" ด้าน เจี๊ยบ ผู้มารับหน้าที่เขียนบท เผยว่า "คือจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดมาจากทางพี่นายอยู่แล้วค่ะ ขึ้นต้น ตรงกลาง ลงท้าย ทั้งหมดเลย แค่ให้เจี๊ยบเรียบเรียงออกมาเป็นบทให้ได้ แล้วก็อาจจะมีเงื่อนไขหนึ่งสองสามสี่ดั่งต่อไปนี้ ไม่ได้หนักใจอะไรเลยค่ะ เพราะว่าทีมงานเนี่ยเราสบายใจอยู่แล้ว นักแสดงเราสบายใจอยู่แล้ว แล้วก็ดารารับเชิญที่ร่วมมาเรารู้สึกว่าทุกคนเบอร์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย มากันด้วยแรงบุญอย่างเดียวเลย ก็อนุโมทนากับหนังเรื่องนี้ค่ะ"
ฟาก ปอปอ ที่รับบทแม่ชีน้อยในเรื่อง ชี้ให้เห็นข้อดีของการบวชว่า "ทำให้มีสมาธิมากขึ้นค่ะ" ส่วนนักแสดงสาวหน้าใส ออม แง้มให้ฟังถึงความอยากที่จะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "ออมคิดว่าการที่ออมเล่นหนังเรื่องนี้มันเหมือนกับการที่เราทำบุญด้วยอาชีพของเรา เราลงขันกัน ทีมงานทุกคนด้วยอาชีพของเราเอง สิ่งที่ได้กลับมามันมากมายแทบจะบอกไม่ได้เลย แต่ว่าเรารู้สึกกลับไปแล้วเราอิ่ม เรารู้สึกว่าชีวิตเราเปลี่ยน คือการไปครั้งนี้ออมก็ได้พาพ่อกับแม่ออมไปด้วย มันก็เหมือนกับเราได้ทำหน้าที่ลูกด้วย เรารู้สึกว่าเหมือนเรามีสติมากขึ้น กลับไปมีสติมากขึ้น มีสมาธิในการทำงานมากขึ้นค่ะ"
ด้าน ธันน์ เล่าถึงการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ว่า "เรารู้จักพี่นายอยู่แล้ว แล้วพี่นายบอกว่าเรามาร่วมบุญกันไหม โอเคครับร่วมบุญครับ ตอนแรกไม่คิดว่าเป็นภาพยนตร์ คิดว่าคงพาผมไปตักบาตรที่ไหน หรือไปสร้างวัด หรืออะไรสักอย่าง เราก็โอเคครับพี่ เล่นภาพยนตร์นะ ผมเล่นแต่แอ็กชันมาตลอดเลยนะพี่ จะให้ผมไปตีลังกาเตะใครหรือเปล่าในเรื่อง เป็นบทบาทเล็กๆ ครับที่จะนำเสนอทำให้น้องออมต้องไปกับแม่ชี ก็ยินดีแล้วก็ดีใจที่เป็นส่วนร่วม อย่างที่บอกเราต้องมีสตินะครับ ภาพยนตร์นี่ก็ถือว่าเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นหันกลับมาชม แล้วก็อีกอย่างหนึ่งมีสอดแทรกเรื่องธรรมะ สอนเราให้มีสติ ในการเจอปัญหาแก้ปัญหาอยู่ที่จิตใจเรา"
อร นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ เปิดใจว่า "จริงๆ ต้องขอบคุณเพื่อนนะคะ จริงๆ แล้วการที่เราจะได้ร่วมบุญหรือว่าอนุโมทนาบุญกับใคร ก็ต้องเริ่มจากคนใกล้ตัว ขอบคุณพี่นายค่ะ คือเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เป็นคนที่บอกบุญเรา การได้ร่วมเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นการที่เราได้เปิดจิตใจเราเข้าสู่การที่เราจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งพี่อรเชื่อว่าในสังคมปัจจุบันการที่คนเราจะหันกลับมาแล้วตระหนักถึงการใช้หลักธรรมในชีวิตประจำวันหวังว่ายาก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ยาก เพราะเราคลุกคลีและอยู่กับมัน ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่จะทำให้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะ สว (สูงวัย) หรือไม่ สว ชมได้ คุณแม่พาลูกไปดูได้ ทุกคนสามารถ นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย ได้ ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ"
แม่ชีศันสนีย์ กล่าวฝากภาพยนตร์ว่า "เป็นภาพยนตร์ที่เราแสดงธรรมะโดยนำคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จากที่ยากมาเป็นเรื่องที่ง่ายๆ นะคะ มรรคง่ายมาก ไม่ใช่วัยรุ่นต้องมักง่ายนะ แต่มรรคคือหนทางง่ายสำหรับวัยรุ่น ไม่ยากอย่างที่คิด ทุกข์มีไว้ให้เห็นไม่ได้มีไว้ให้เป็น คุณยายต้องบอกว่าถ้าไม่มีพ่อแม่ของพวกเรา ไม่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีคำสอนดีๆ ที่ผ่านตัวพวกเรามา ก็จะไม่มีพวกเราในวันนี้ เพราะฉะนั้นบรรพบุรุษของเราสำคัญมาก เด็กวัยรุ่นต้องรู้ว่าถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้คุยกับพวกเราในภาษาเดียวกับเรา แต่พ่อแม่ให้ชีวิต ให้ทั้งหมดของชีวิตเรา มันจะเป็นหนังที่เด็กๆ กลับไปรักแม่มากขึ้น รักพ่อมากขึ้น แล้วก็ทำให้พวกเรารู้ว่าอีกหนึ่งเจเนอเรชันที่เราจะต้องส่งไม้ผลัดไปถึงเขาเนี่ยเราบ่นว่าเขาไม่ได้แล้ว แต่เราท้าทายเขาได้ เราบอกเขา เราให้เขาพิสูจน์ได้"
ติดตามเรื่องราวความสนุกสนานที่จะนำธรรมะกลับไปสู่หัวใจของเด็กและเยาวชนได้ในภาพยนตร์ นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย พร้อมให้ทุกคนอิ่มบุญกันถ้วนหน้าตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2556 เฉพาะเครือโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์เท่านั้น บัตรราคา 99 บาททุกที่นั่ง รายได้ทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในสาธารณกุศล