ปลุกกระแสรักชาติให้ลุกโชนกับภาพยนตร์ คนไททิ้งแผ่นดิน
ถือเป็นโอกาสดีที่ภาพยนตร์อิงกระแสรักชาติ "คนไททิ้งแผ่นดิน" จะลงโรงฉายในเร็ววันนี้ ท่ามกลางภาวะที่บ้านเมืองไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก โดยเรื่องนี้ก็เป็นการทุ่มทุนสร้างอีกครั้งของ กันตนา ซึ่งก็ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์ท่ามกลางสื่อมวลชนและดารานักแสดงมากมาย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ ลานอินฟินิซิตี้ พารากอน ซีนีเพล็กซ์
งานนี้นักแสดงนำ ได้แก่ "อานัส ฬาพานิช" "ธันน์ ธนากร" "ติ๊ก - ลลิสา สนธิรอด" "ซาร่า เล็กจ์" และผู้กำกับ "ต๊ะ - นิรัตติศัย กัลย์จาฤก" ก็ได้มาร่วมพูดคุยถึงบทบาทและความเป็นมาของภาพยนตร์เรื่องนี้
เริ่มจาก อานัส พูดถึงบทบาทของตัวเองในเรื่องนี้ว่า "ของผมรับบทเป็นกุมภวา เป็นคนที่อยู่ที่แคว้นธาไนย เป็นแคว้นๆ หนึ่ง แล้วก็เป็นคนที่รวมคนไทที่แตกแยกกันกลับมาสู้เพื่ออิสรภาพครับ" ด้าน ธันญ์ ได้รับบทเป็น ลำพูน "ในเรื่องรับบทเป็นลำพูนครับ ลำพูนจะเป็นคนปกติสามัญเลยครับ แล้วชีวิตเขาก็จะมีการเจริญเติบโตของตัวละครในบทบาทของเขาต่อไปเรื่อยๆ"
ส่วนนักแสดงฝ่ายหญิง ติ๊ก กับบทบาทของ บุญฉวี "เป็นคนไทในอยู่แคว้นเชียงแส เป็นคนที่รักในความเป็นไท รักอิสระ พร้อมลดเกียรติตัวเองต่อสู้เพื่อให้คนไทไม่เป็นทาสใครค่ะ" ด้าน ซาร่า รับบทเป็นหญิงสาวรักอิสระเช่นเดียวกัน "ก็รับบทเป็นบัวคำค่ะ ก็เล่นเป็นน้องสาวของพี่ธันญ์ในเรื่อง ก็จะเล่นเป็นคนไทที่อยู่ในเมืองหลวง ก็เป็นหญิงสาวที่รักอิสระ แล้วก็มีส่วนที่ทำให้คนไทลุกขึ้นมาสู้ แล้วก็ไม่ยอมแบบว่าก้มหัวเป็นทาสใคร"
อานัส บอกถึงความแตกต่างของการบู๊ในภาพยนตร์เรื่องนี้กับละครที่เคยแสดงมาว่า ยากตรงฉากที่ต้องขี่ม้า "มีอยู่อย่างที่ค่อนข้างจะยากครับ ก็มีการขี่ม้าซึ่งม้าเนี่ยเราจะต้องเทรนด้วยตัวเองด้วย เพราะเป็นม้าที่ฝึกใหม่ ก็อาจจะมีความยากตรงนี้นิดหน่อย" โดย อานัส บอกว่ามีอุบัติเหตุเพราะม้านี้ด้วย เนื่องจากต้องฝึกกันเอง อีกทั้งบังคับได้ยาก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจากการใช้มุมกล้องช่วย
ธันญ์ เผยถึงบทบาทนี้กับการแสดงที่ต้องใช้อารมณ์อยู่มากว่า "ในเรื่องจะมีทั้งหนักไปทางแอ็กชันและซีนอารมณ์ แต่ซีนอารมณ์นี่ผมคิดว่ามันจะหนักมากกว่า เพราะว่าอย่างที่บอกว่าพี่ต๊ะเป็นคนขยายอารมณ์ คือก่อนจะเล่นซีนอารมณ์ต่างๆ เราจะมีการเวิร์กช็อปกันก่อน มีการไปเล่นกันจริง รู้สึกจริง แล้วอีกอย่างพี่ต๊ะเป็นคนขยายอารมณ์แล้วทำให้เรารู้สึกว่ารู้สึกถึงตัวละครตัวนี้จริงๆ"
ด้าน ติ๊ก กับภาพยนตร์เรื่องแรกที่ต้องเจอทั้งฉากที่ต้องใช้อารมณ์ หรือไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำ ก็กล่าวถึงความรู้สึกว่า "ต้องขอขอบคุณพี่ต๊ะนะคะ ที่แบบว่าให้เป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ จริงๆ แล้วคือบู๊ค่ะติ๊กได้อยู่แล้ว แต่ว่าติ๊กจะหนักใจตรงซีนอารมณ์มากกว่า เพราะว่าการเรียนแอ็กติ้งน่ะค่ะ ติ๊กไม่มีการผ่านประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน" พร้อมทั้งบอกถึงความยากในการแสดงว่า "ยากที่สุดก็น่าจะเป็นตกสลิง ทำให้กระดูกข้อเท้าด้านขวาแตกร้าวน่ะค่ะ"
นักแสดงหญิงอีกคนอย่าง ซาร่า ก็กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "รู้สึกภูมิใจมากค่ะ เพราะว่าเหมือนเป็นโอกาสที่ดีมากที่พี่ต๊ะและกันตนามอบให้ เพราะว่ามันค่อนข้างท้าทายความสามารถ แล้วก็บทที่ได้รับก็เป็นบทที่ดีมากๆ แล้วก็สื่ออะไรให้กับคนดูได้เยอะมากค่ะ" โดย ซาร่า พูดถึงสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกกับคนไทยคือความสามัคคี ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
จากนั้น ผู้กำกับ ก็ได้เท้าความถึงที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า เริ่มมาจากการได้ไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พบกับหนังสือ คนไททิ้งแผ่นดิน "ได้เข้าไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับด้านทีวี ด้านสารคดีอะไรพวกนี้ครับ แล้วก็ไปเจอคนที่พูดภาษาเดียวกับเราแต่ไม่ใช่คนไทย ระหว่างนั้นคือเราตกใจมากว่าคือเรานินทาเขาอยู่เนี่ย แต่เขาฟังภาษาเราออกแล้วเขาก็ด่าเรากลับคืนได้ อันนั้นคือเริ่มแรก เสร็จแล้วก็เลยกลายเป็นว่าเราก็ถามเขาว่าคุณเป็นคนไทยหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ใช่ แต่เมื่อสมัยต้นตระกูลเขาชาติที่แล้วเนี่ย เขามีเชื้อสายของพวกเรา ประเด็นนั้นเป็นประเด็นแรกที่เราได้มาคิดว่าเราอยากจะทำสารคดีก่อนตอนแรกอ่ะครับ
แล้วเราก็เลยไปค้นคว้า ปรากฏว่าเราได้รู้ว่าจริงๆ คนไทยเนี่ย ทั่วโลกเนี่ยมี 300 ล้านคน ซึ่งจากจุดตรงนั้นเรายิ่งพยายามเข้าไปให้ลึกจนไปถึงพันปี จนเจอหนังสือเล่มหนึ่งคือเล่มนี้อ่ะครับ มีคนบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก เราก็เลยเอามาอ่าน พอเราอ่านแล้วเนี่ย เราเลยรู้สึกว่าเราอยากทำภาพยนตร์เรื่องนี้มากเพราะว่ามันเป็นเรื่องของเมื่อพันปีที่แล้ว แล้วมันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ ไม่ใช่แค่คนไทยที่เราอยากให้มาจับมือกัน 300 ล้านคนครับ มันกลายเป็นว่าทั้งเอเซียเลย เพราะว่าพอเราค้นคว้าไปถึงตรงนั้นเนี่ย ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด" ต๊ะ ยังบอกอีกด้วยว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเป็นตัวแทนบอกกับคนทั้งเอเซียนี้ว่า จริงๆ แล้วเราเป็นสายเลือดเดียวกัน โดยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราว
นอกจากนี้ ผู้กำกับ ยังเล่าถึงเรื่องราวความยากของภาพยนตร์ที่ใช้เวลาในการถ่ายทำเพียง 3 เดือน แต่ใช้เวลาในการทำภาพต่างๆ นั้นถึง 3 ปีด้วยกัน เหตุเพราะว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ทำให้ต้องใช้จินตนาการอยู่มากในการทำภาพต่างๆ ขึ้นมา อีกทั้งยังต้องมีการทำวิจัยเกี่ยวกับฉากต่างๆ ที่ระบุไว้ในหนังสือ จึงทำให้เรื่องนี้ใช้เวลาในการผลิตยาวนาน
นักแสดงแต่ละคนก็กล่าวถึงความประทับใจในทีมงานและผู้กำกับ พร้อมกับฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าอยากให้ชมกัน อย่าง อานัส บอกว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เข้าฉายในช่วงที่สถานการณ์ตอนนี้ก็ค่อนข้างจะตึงเครียดนะครับ ก็อยากให้เราทุกคนเนี่ย ช่วยๆ กันมาดูหนัง แล้วก็กลับไปคิดด้วยว่า คนไทยกว่าจะมาเป็นผืนแผ่นดินไทยได้มันยากแค่ไหน แตกต่างได้ครับแต่อย่าแตกแยก" ด้าน ต๊ะ ก็ฝากว่า ขอร้องให้คนไทยไปดู เพื่อที่วันนี้ไม่ว่าจะสีไหนก็อยากให้กลับมาจับมือกันและกลับมาเป็นปึกแผ่นดังเดิมอีกครั้ง
คนไทยที่มีใจรักในภาพยนตร์ไทยสามารถติดตามชม คนไททิ้งแผ่นดิน ภาพยนตร์ที่คาดหวังอยากจะให้คนไทยนั้นหันมารักและสามัคคีกัน ได้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน นี้ ในโรงภาพยนตร์