ฟ็อกซ์ รับช่วง ดิสนีย์ สร้างภาคต่อ The Chronicles of Narnia
เมื่อช่วงปลายปี 2008 ที่ผ่านมา บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ ออกมาประกาศลอยแพ ยกเลิกการสร้างภาพยนตร์ชุดว่าด้วยดินแดน นาร์เนีย ภาค 3 ที่มีชื่อภาคว่า "The Voyage of the Dawn Treader" เนื่องจากภาคก่อนหน้าทำรายได้ไม่ดีพอ แต่แล้วในที่สุด ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ บริษัทสร้างภาพยนตร์รายใหญ่ ก็ตอบตกลงจะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท วอลเดน มีเดีย ช่วยต่อลมหายใจภาพยนตร์ชุดเรื่องนี้ต่อไป
วอลเดน มีเดีย ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นวนิยายเด็กชุดนี้ของนักเขียน "ซี. เอส. ลิวอิส" (C.S. Lewis) ร่วมกับ วอลท์ ดิสนีย์ สร้าง "The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe" ด้วยงบประมาณเพียง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สามารถกวาดรายได้สุดหรู 745 ล้านเหรียญสหรัฐจากทั่วโลก จากนั้นพวกเขาเพิ่มงบให้ภาค 2 "The Chronicles of Narnia: Prince Caspian" เป็นเงิน 225 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับทำรายได้ได้เพียง 419 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น
นักวิจารณ์จำนวนมากเชื่อว่าสาเหตุของรายได้ที่ตกลงฮวบฮาบนี้ เป็นเพราะ ดิสนีย์ ไม่ทำการตลาดเจาะกลุ่มชาวคริสต์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของภาคแรกและของนวนิยายต้นฉบับ แต่พวกเขากลับสร้างเนื้อหาที่หม่นมืดขึ้นเพื่อเอาใจวัยรุ่น และปล่อยภาพยนตร์ออกฉายในเดือนพฤษภาคม แทนที่จะเป็นช่วงคริสต์มาสที่ภาพยนตร์สำหรับครอบครัวกำลังโกยเงิน
ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่สร้างโดย วอลเดน มีเดีย ในนาม ฟ็อกซ์ วอลเดน อยู่แล้ว ตัดสินใจยื่นมือเข้ามาสานต่อภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชุด 7 เล่มจบเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าเทพนิยายผจญภัยสำหรับเด็กเรื่องนี้ยังคงขายได้ และสามารถเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของภาพยนตร์เด็กที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้อย่าง "Harry Potter" ของบริษัท วอร์เนอร์ บราเธอร์ส
คาดว่าภาค 3 ที่คอภาพยนตร์รอคอยนี้ จะออกฉายช่วงวันหยุดท้ายปี 2010 โดย "เบน บาร์นส์" (Ben Barnes) "สกันดาร์ คีย์เนส" (Skandar Keynes) และ "จอร์จี เฮนลีย์" (Georgie Henley) จะกลับมารับบทเดิมเป็น แคสเปี้ยน เอ๊ดมันด์ และ ลูซี่ ตามลำดับ ร่วมด้วย "วิลล์ โพลเตอร์" (Will Poulter) ในบท ยูซดาส สครับบ์ ตัวละครใหม่ของภาคนี้