แอนดรูว์ เลา ชี้วงการภาพยนตร์เอเชียก้าวไกลสำคัญที่บท
เป็นผู้กำกับชาวฮ่องกงที่ดังในระดับเอเชียยังไม่พอ "แอนดรูว์ เลา" (Andrew Lau) ที่แฟนๆ ชาวไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีกับการกำกับภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง เช่น ''The Storm Riders" "Initial D" รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง "Infernal Affairs" ผลงานสร้างชื่อทั้ง 3 ภาค ที่ทำให้ฝีมือของเขาก้าวไกลไปในระดับฮอลลีวูด จนมีผลงานการกำกับเรื่องแรกออกมาแล้วกับ "The Flock" และในฐานะผู้กำกับคนนี้เดินทางร่วมงานเปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ กรุงเทพฯ ครั้งที่ 6 เขาก็มาร่วมแสดงทัศนคติเกี่ยวแวดวงภาพยนตร์ให้ฟังกัน
ไปร่วมงานกับฮอลลีวูดได้ยังไง
"ทางฮอลลีวูดติดต่อมาหลังจากเห็นผลงานเรื่อง Infernal Affairs ส่วนใหญ่ผู้กำกับเอเชียที่จะก้าวไปฮอลลีวูดประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์จะไปเป็นผู้กำกับหนังแนวแอ็กชั่นหมดเลย ผมชอบที่จะกำกับหนังแนวดรามา ถ้าจะไปเริ่มกำกับหนังฮอลลีวูดจะต้องไม่ใช่หนังแอ็กชั่น ตอนทำหนังเรื่อง The Flock ได้ทำงานกับ ริชาร์ด เกียร์ (Richard Gere) ซึ่งทำให้การทำงานทำได้ง่ายมาก แล้วตอนนี้ก็มีทำธุรกิจในฮอลลีวูดร่วมกับพาร์ทเนอร์เปิดบริษัท ทำซีรีส์ หนังฮอลลีวูดบ้าง และผลิตหนังเป็นดีวีดีบ้าง"
การทำงานในระดับฮอลลีวูดแตกต่างกันไหม
"การทำงานยากกว่ามาก ทำงานที่ฮอลลีวูดมีโปรเจกต์ มีคนร่วมงานเยอะ ต้องทำงานเป็นระบบ อย่างที่เมืองไทย ฮ่องกง ก็ตามใจผู้กำกับได้ คิดอะไรไม่ออกก็กลับไปคิดก่อนได้ หลังจากที่ไปทำงานที่ฮอลลีวูดก็มีเปลี่ยนสไตล์ไปนิดนึง อาจจะต้องมีสคริปต์ก่อน"
รู้สึกยังไงกับ The Departed ที่ดัดแปลงมาจาก Infernal Affairs
"ตอนทำ Infernal Affairs ก็ทำภาคแรกก่อน แล้วค่อยทำภาค 2 กับ 3 คู่กัน เพราะไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จรึเปล่า ส่วน The Departed ที่ฮอลลีวูดนำมารีเมกก็ดีสำหรับตัวเอง เพราะทำให้หนังเรื่องนี้มีชื่อเสียง และชื่อเสียงของผมก็ดังขึ้นด้วยเหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องอาจจะดูงงๆ นิดนึง ด้วยวัฒนธรรมที่ต่างกัน"
คิดยังไงบ้างที่ตอนนี้ฮอลลีวูดนำภาพยนตร์ของเอเชียไปดัดแปลงใหม่
"บางทีสคริปต์ที่อเมริกาก็ยังไม่มีที่ดีมากๆ เขาก็เลยมาเลือกของดีๆ จากเอเชียไป"
ภาพยนตร์เรื่องต่อไป
"ก็มีเรื่อง The Water Margin อยู่ในช่วงตรวจสอบบทอยู่ อยากให้บทออกมาดี ปีหน้าก็อาจจะยังไม่เริ่มถ่าย ส่วนนักแสดงก็ยังเป็นความลับอยู่ ยังบอกไม่ได้"
เวลาทำภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีแนวคิดอย่างไรบ้าง
"เวลาทำหนังก็อยากให้หนังประสบความสำเร็จ ก็เน้นการตลาดนิดนึง แต่ว่าอยากให้คนชอบ เข้าใจในที่สิ่งทำออกมา อย่างตอนนี้หนังของฮอลลีวูดดังมาก ใช้เงินทุนสูง สเปเชียลเอฟเฟกต์เยอะแล้วคนดูดูแล้วก็จะติดใจชอบ เวลาทำหนังเอเชียก็ต้องหาอะไรที่แตกต่าง หาจุดที่จะดึงคนดู อย่างผมก็จะเลือกดาราที่มาแสดงเป็นจุดดึงดูด แต่ก็ไม่ได้แค่มีดาราที่ดีกับสคริปต์ที่ดีแล้วจะพอ ต้องคิดเยอะมาก แล้วแต่โปรดักชั่น เพลง ทุกอย่าง เมื่อก่อนเป็นผู้กำกับอย่างเดียวก็ไม่ต้องคิดอะไร แต่เดี๋ยวต้องนึกถึงการตลาด บางทีก็ต้องพึ่งสื่อเพื่อให้เขาจำหน้าเราได้ แล้วก็ต้องพยายามเจาะเข้าไปในกลุ่มคนดูให้มากขึ้นต้องรู้ว่าเขาชอบอะไร เทรนด์เป็นแบบไหน"
รู้สึกกดดันไหมที่ต้องทำภาพยนตร์ทั้งที่ฮ่องกงและฮอลลีวูด
"ไม่เลย เพราะว่าเป็นคนที่มีพลังอยู่ตลอดเวลา ชอบทำหนังเยอะๆ หลายๆ เรื่อง ไม่เหนื่อยตราบใดที่ยังมีแรงก็จะกำกับต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็พยายามหาผู้กำกับหน้าใหม่ที่มีความสามารถ อยากช่วยสนับสนุนเพราะว่าตอนนี้คนวงการหนังอาจจะขาดคนคุณภาพไปบ้าง"
รู้สึกยังไงที่โดนวิจารณ์เยอะมากจากเรื่อง The Flock
"(ยิ้ม) ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่บางคนที่ติเยอะๆ ก็บอกว่าให้เขาลองมากำกับเองแล้วกัน แล้วก็ทำเงินให้ด้วย แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำให้ได้ประสบการณ์เยอะมาก ได้ทีมโปรดักชัน ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานในฮอลลีวูด ได้ตั้งบริษัทของตัวเองแค่นี้ก็ดีแล้ว ในฮ่องกงผู้กำกับจะเป็นทีมสั่งได้ คิดได้ อยากเปลี่ยนอะไรก็ได้ แต่ที่ฮอลลีวูดเหมือนคุณเป็นส่วนหนึ่งของหนัง บางครั้งก็เอาระบบการทำงานในฮ่องกงมาใช้ หรือถ้าได้สคริปต์ก็พยายามเปลี่ยนโลเกชั่น เพื่อที่จะได้ใช้สถานที่ในเอเชียในการถ่ายทำบ้าง"
มีความคิดเห็นอย่างไรกับปัญหาการดาวน์โหลดภาพยนตร์
"ในฮ่องกงเกิดปัญหานี้มา 10 ปีแล้ว ก็พยายามดึงคนให้เข้าไปดูหนังในโรงหนังให้มากที่สุด อยากให้คนรู้ว่ารู้สึกว่าดูในโรงมันต่างกัน โรงหนังที่เมืองไทย โซฟาก็ดี เสียงก็ดี แม้แต่พรมยังดีเลย อย่างเมื่อก่อนวันศุกร์ที่ฮ่องกงคนก็จะไปทานข้าว ไปเที่ยว ไปดูหนัง เมืองไทยตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เห็นเด็กๆ วัยรุ่นพอวันศุกร์ วันเสาร์ไปดูหนัง ก็อยากให้คนเป็นแบบนี้อยู่ อยากให้รู้ว่าดูหนังที่บ้าน หนังที่โหลดมา กับหนังที่ดูในโรงมันแตกต่างกันมากๆ ส่วนเรื่องแผ่นผีต้องได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากรัฐบาล ต้องช่วยกันปกป้อง เพราะว่าถ้าไม่ช่วยกันแล้วต่อไปก็จะไม่มีวงการหนังแล้วในทุกๆ ที่เลย"
คิดว่าธุรกิจภาพยนตร์ของไทยจะสามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้ไหม
"ถ้าเป็นหนังดีก็สามารถไปที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่แค่ฮอลลีวูด เมืองจีนก็เป็นตลาดที่ใหญ่เหมือนกัน"
มองศักยภาพของภาพยนตร์ไทย นักแสดงไทยอย่างไรบ้าง
"เห็นนักแสดงที่มีสามารถหลายคนเหมือนกัน แต่ถ้าจะดึงไปเล่นหนังด้วย ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาในเรื่องของภาษา อย่างหนังฮ่องกงที่ทำร่วมกับจีนก็ต้องพูดภาษาจีน รู้จักดาราไทยหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งก็น่าที่จะมีโอกาสได้ไปฮอลลีวูด คิดว่าดาราที่อยากจะโกอินเตอร์ อยากก้าวไกลควรจะเริ่มเรียนภาษาจีนแมนดาริน เพราะว่าต่อไปจะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เหมือนเมื่อก่อนนี้ดาราฮ่องกงอยากไปฮอลลีวูด เขาก็จะไปเรียนภาษาอังกฤษ แต่ก็เป็นเรื่องยาก คนผิวเหลืองผมดำก็น่าจะอยู่ในตลาดเอเชียมากกว่า"
คิดว่าวงการภาพยนตร์ไทยควรพัฒนาในจุดไหน
"หนังไทยยังต้องพัฒนาอีกเยอะ หนังในฮ่องกงมีมาตั้ง 105 ปีแล้ว เมืองไทยมีมาแค่ 70 กว่าปีเอง ตอนที่อยู่ที่ฮ่องกง หนังเรื่องแรกก็ตั้งใจไว้เลยว่าจะทำให้คนฮ่องกงชอบ จะได้เหมือนเป็นฐานในการทำหนังของตัวเอง ผู้กำกับไทยก็ควรจะทำหนังที่คนไทยชอบก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะไปโกอินเตอร์ที่ไหน ไปฮอลลีวูดไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าคุณมีสคริปต์ดีๆ ถ้าในปัจจุบันคุณทำหนังดีๆ เดี๋ยวคนที่ฮอลลีวูดก็จะเห็นและเรียกคุณไปทำงานเอง"
สำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์ของผู้กำกับ แอนดรูว์ เลา จะมีผลงานออกมาให้ดูเรื่อง The Water Margin แต่คงต้องติดตามรอลุ้นกันไปอีกพักใหญ่ๆ เพราะว่าเขาต้องการให้บทออกมาดีจริงๆ ซะก่อนถึงจะลงมือสร้าง