พูดคุยเผยเบื้องหลังการทำงานกับผู้กำกับจาก โอปปาติกฯ
ใกล้ลงจอแล้วสำหรับภาพยนตร์ "โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) เกิดอมตะ" ที่หลายคนรอคอยเพื่อจะได้ชมเรื่องราวในแบบแอ็กชั่น-แฟนตาซี ซึ่งหาดูได้น้อยในภาพยนตร์ไทย กับการรวมตัวของนักแสดงชั้นนำ 8 คน ได้แก่ "เต๋า - สมชาย เข็มกลัด" "ชาคริต แย้มนาม" "ลีโอ พุฒ" "บอล - อธิป นานา" "เร แม๊คโดแนลด์" "เชอร์รี่ - เข็มอัปสร สิริสุขะ" "หนิง - นิรุตติ์ ศิริจรรยา" และ "อ๊อฟ - พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง"
ผู้กำกับของเรื่อง "อั๋น - ธนกร พงษ์สุวรรณ" ที่เคยฝากผลงานสะท้อนภาพชีวิต ที่ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวของหนุ่มสาวยุคใหม่ในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์เรื่อง "โกหก...ทั้งเพ" ผลงานการกำกับเรื่องแรกเมื่อปี 2546 จนถึงภาพยนตร์ตีแผ่มุมมืดของสังคมในเรื่องราวของอาชญากรรมทางเพศที่อยู่ใกล้ตัวในภาพยนตร์เรื่อง "เอ็กซ์แมน แฟนพันธุ์เอ็กซ์" เมื่อปี 2547 โดย อั๋น จะมาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังในการทำงานให้ฟังกันก่อน ในช่วงรอภาพยนตร์เข้าฉายวันที่ 25 ตุลาคม ที่จะถึงนี้
แรงบันดาลใจหรือจุดเริ่มต้นในการสร้างเรื่องนี้คืออะไร
"แรงบันดาลใจในการทำเรื่อง โอปปาติก คือตอนที่ผมทำเรื่อง Fake โกหก...ทั้งเพ ผมมีไอเดียและสคริปต์หลายเรื่อง ผมเขียนไว้อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งก็คือเรื่อง อวตาร ช่วงนั้นผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาค่อนข้างเยอะ แต่หนังเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด โลกคู่ขนานของคน และสิ่งที่ไร้วิญญาณต่างๆ ซึ่งผมก็จินตนาการไปถึงสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงพุทธศาสนาที่เป็นเรื่องของคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เป็นเรื่องของภูติผีปีศาจเทวดา สัมภเวสีอะไรอย่างนี้
ทีนี้พอมาเจอคำๆ หนึ่งอย่าง โอปปาติก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งตามหลักพุทธศาสนา คือพุทธศาสนามีมาเป็นสองพันกว่าปี มีมานานมาก ซึ่งเค้าได้จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 4 แบบ แต่ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์จะแยกเป็น 3 แบบ พุทธศาสนาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 4 แบบ อันแรกคือ สังเสทชะ หมายถึง สัตว์เซลล์เดียว สัตว์ที่เกิดในไคล อย่างเช่นพวกหนอน อันที่สองคือ อัณฑชะ คือพวกสัตว์ที่เกิดจากไข่อย่างเช่น นก เป็ด จระเข้ แล้วก็อันที่สามคือ ชลาพุชะ คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดหรือผุดขึ้นมาเต็มตัว อย่าง คน หมา อะไรอย่างนี้ และสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่งก็คือ โอปปาติก ความหมายของมันก็คือ ผุดและเกิดขึ้นมาทันที โตเต็มวัยขึ้นมาทันที อันนี้ก็จะรวมเรียกพวกภูติผีปีศาจ เทวดา เทพยดา สัมภเวสี อสูรกายต่างๆ ตามความเชื่อของคนไทยแล้วแต่จะเรียก ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ
บวกกับโดยส่วนตัวผมเองชอบทำหนังที่เน้นในเรื่องของคาแร็กเตอร์อยู่แล้ว และก็อยากจะลองทำหนังแอ็กชั่นในแบบที่ผมอยากทำบ้าง ผสมกับการที่ถ้าหากจะมีหนังไทยซักเรื่องที่รวบรวมนักแสดงชั้นนำ ซึ่งมีคาแร็กเตอร์ที่แปลกใหม่ให้มาอยู่ในเรื่องเดียวกันก็คงจะน่าสนใจดี อันนี้เป็นที่มานะครับ หลังจากนั้นผมจึงคิดพล็อตขึ้นมาสนับสนุนไอเดียนี้อีกทีหนึ่ง ก็เลยออกมาเป็นเรื่องราวของเหล่าโอปปาติก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษ นอกจากที่พวกเขาต้องต่อสู้กันเองแล้ว พวกเขายังต้องต่อสู้กับตัวเองอีกด้วย"
ขั้นตอนการเขียนบทเรื่องนี้มีความยากง่ายยังไง
"ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ใช้เวลานานพอสมควรครับ เพราะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสตร์หลายเล่ม เป็นการรีเสิร์ชข้อมูลในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือหลายเล่มมาก และก็คิดว่าจะทำหนังเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างสองโลก โลกปัจจุบันกับโลกหลังความตาย ผมก็คิดถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกเขา คือ พวกเขาเป็นโอปปาติก บางคนก็เข้าใจว่าเป็นผี แต่ตามตำราที่อ่านมา แปลได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่อุบัติขึ้นมาได้เอง
ผมก็เลยเริ่มโยงเข้ากับเรื่องว่าถ้าคนเราฆ่าตัวตาย แล้วอาจจะกลายเป็นโอปปาติก ทีนี้พอได้เป็นแล้ว อาจจะมีอำนาจหรือพลังพิเศษ แต่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ คุณได้ความพิเศษแต่อาจจะต้องแลกกับคำสาป หรือความวิบัติบางอย่าง เหมือนกับว่ามีพลังพิเศษ แต่เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องแลกกับคำสาปที่ตามมาเป็นการแลกเปลี่ยน อันนี้ก็คือที่มาของการนำตัวละครไปสู่สถานการณ์แอ็กชั่นและก็จุดขัดแย้งของตัวละครแต่ละตัวด้วย อะไรประมาณนี้ครับ"
ใช้เวลานานไหมในการรวบรวมข้อมูลในการเขียนบท
"ไม่ได้นานมากครับ เพราะจริงๆ แล้ว เราเปิดหนังสือพุทธศาสนาแล้วไปเจอคำที่น่าสนใจอย่าง โอปปาติก ที่หมายถึงสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง แต่ผมนำมาตีความในแบบที่จะนำมาทำเป็นหนังแอ็กชั่นแฟนตาซีได้ ถ้าเกิดคำว่าภูติผีปีศาจเทวดา ที่รวมเรียกว่า โอปปาติก นำมาตีความเป็นมนุษย์ ซึ่งพอตายไปแล้วมีพลังพิเศษเนี่ย พอได้คอนเซ็ปต์เรื่องพลังพิเศษและมีคำสาปตามมาเนี่ย รู้สึกน่าสนใจนะ ถ้ามาอยู่ในหนังแอ็กชั่น และถ้าเค้าต้องต่อสู้กันด้วยคาแร็กเตอร์ต่างๆ กัน น่าสนุกที่คนที่มีคาแร็กเตอร์พิเศษเหล่านี้มาสู้กัน พอใช้พลังไปแล้วก็จะมีคำสาปตามมาเป็นจุดอ่อน"
สัดส่วนระหว่างเนื้อหาพุทธศาสนาและแอ็กชั่นแฟนตาซีในเรื่องนี้
"ผมไม่อยากจะไปเน้นว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามากแค่ไหน เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่าเป็นหนังดูยาก ก็เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้ผมได้ไอเดียจากพุทธศาสนามาเป็นจุดกำเนิด แต่ก็ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งหมดนะครับ จากนั้นผมก็มาต่อเติมไอเดียจากคำว่า โอปปาติก ให้ผสมผสานกันได้กับความเป็นแอ็กชั่นแฟนตาซี
ดังนั้นถ้าจะถามเรื่องสัดส่วนความเป็นหนังเรื่องนี้ บอกได้เลยว่าในส่วนของแอ็กชั่นแฟนตาซีจะมีมากกว่าเนื้อหาทางด้านศาสนาพุทธ และที่สำคัญผมอยากขับเน้นคาแร็กเตอร์ของตัวละครเป็นหลักด้วยครับ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า พวกโอปปาติกในเรื่องนี้จะมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกในด้านต่างๆ ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาไม่ต่างจากมนุษย์อย่างเราๆ เลยครับ"
โอปปาติก เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
"เป็นเรื่องของโอปปาติก 5 ตน ซึ่งจริงๆ แล้ว จะมีโอปปาติกอยู่มากมายในโลกนี้ แต่ทีนี้พอมาทำเป็นหนัง ผมก็เลยต้องตั้งขอบเขตที่จะเล่าเรื่องโอปปาติก 5 ตน ซึ่งมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันออกไปตามแต่ละคาแร็กเตอร์นะครับ อย่างตัวละครของ เต๋า ก็จะเป็นอมตะ ชาคริต ก็จะรู้จุดตายของคู่ต่อสู้ พุฒ จะอ่านความคิดอ่านใจของคนอื่นได้ บอล จะมีร่างเจตภูติคอยช่วยเหลือ ส่วน เร ก็จะเป็นคนสองร่างสองบุคลิก
ทันทีที่โอปปาติกเหล่านี้ใช้ความสามารถพิเศษไปแล้ว จะมีคำสาปตามมาแตกต่างกันไป ยิ่งพวกเค้าต่อสู้มากเท่าไหร่ คำสาปเหล่านั้นก็จะยิ่งย้อนกลับมาเป็นจุดอ่อนหรือเป็นความวิบัติให้กับตัวเค้าเอง ซึ่งนอกจากโอปปาติก 5 ตนนี้แล้ว ก็ยังมีตัวละครของ อาหนิง ที่เหมือนเป็นตัวบงการคนอื่นๆ ตัวละครของ พี่อ๊อฟ ก็จะเป็นคนตามล่าพวกโอปปาติกเหล่านี้ตามคำสั่งของ อาหนิง ส่วนผู้หญิงคนเดียวในเรื่องอย่าง เชอร์รี่ จะเป็นผู้หญิงลึกลับที่คอยเชื่อมโยงทุกตัวละครเข้ามาปะทะกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งก็จะไปคลายปมของเรื่องในตอนท้ายถึงการกระทำของคาแร็กเตอร์ต่างๆ ครับ"
ภาพรวมของเรื่องนี้เป็นยังไงและต้องการจะสื่ออะไรผ่านเรื่องนี้
"ภาพรวมของหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นหนังดราม่าแอ็กชั่นแฟนตาซีนะครับ จริงๆ ผมต้องการจะทำหนังแอ็กชั่นแฟนตาซีซักเรื่องนึง เป็นเรื่องการขับเน้นตัวละคร ซึ่งเป็นแอ็กชั่นในแบบของผม และเรื่องแบบนี้น่าสนใจมากที่จะนำไปผูกสร้างให้เป็นหนังแอ็กชั่นแฟนตาซีที่น่าสนใจได้ครับ
ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้จะมีปมอยู่ ถึงคุณจะมีพลังพิเศษ แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียบางอย่าง ตอนที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณก็มีปม มีปัญหา แต่พอคุณมาอยู่ในโลกหลังความตาย คุณก็ยังมีปัญหา ไม่หลุดพ้น ดิ้นไม่หลุดเหมือนกับตอนที่ยังเป็นมนุษย์นั่นแหละ ความจริงแล้วโลกของโอปปาติกในหนังของผม ก็ไม่ต่างจากโลกมนุษย์นัก ตัวละครก็ยังมีกิเลสตัณหา ดิ้นไม่หลุด อยากได้ อยากมี และสุดท้ายทุกคนก็ล้วนมีความโดดเดี่ยวเป็นสรณะ"
องค์ประกอบที่ทำให้เลือกนักแสดงนำทั้ง 8 คน มาร่วมงาน
"จริงๆ แล้วในบ้านเรามีนักแสดงที่มีความสามารถ มีฝีไม้ลายมือ และความน่าสนใจมากๆ ซึ่งการคัดเลือกนักแสดงชั้นนำทั้ง 8 คนสำหรับหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากพอสมควรนะครับ ซึ่งการคัดเลือกแต่ละคน ผมก็ดูจากความเหมาะสมของคาแร็กเตอร์ที่เข้ากับบทเป็นหลัก และส่วนหนึ่งก็เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่อยากจะรวบรวมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการแสดง
หลังจากที่ผมพยายามลองแคสติ้งหลายๆ คนในหัวดูให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ รวมถึงลองคัดเลือกกับทีมงานอยู่นาน สุดท้ายด้วยความเหมาะสมหลายๆ อย่างก็มาลงตัวที่นักแสดงนำทั้ง 8 คนนี้ครับ ทั้ง เต๋า คริต พุฒ บอล เร เชอรี่ พี่อ๊อฟ และ อาหนิง ทุกคนในเรื่องนี้ก็จะพลิกบทบาทในคาแร็กเตอร์ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน จะเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นๆ ครับ"
การทำงานร่วมกับนักแสดงแต่ละคนเป็นอย่างไร
"การร่วมงานกับนักแสดงชุดนี้ก็ราบรื่นดีครับ เพราะทุกคนให้ใจและทุ่มเทให้กับการแสดงเรื่องนี้มากๆ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนเป็นนักแสดงที่มีฝีมือมากอยู่แล้ว อันนี้ไม่ต้องพูดถึง เลยทำให้สามารถเข้าใจและตีความลงไปในคาแร็กเตอร์แต่ละตัวได้อย่างเข้าถึงบทบาทอย่างครบถ้วน ผมต้องขอบคุณนักแสดงทุกคนที่ให้ใจและเข้าใจจุดประสงค์ในการทำงานของผม แล้วต้องขอบคุณอีกหลายๆ อย่างในกระบวนการทำงานที่ทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงออกมาได้"
บทบาทของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง
"คาแร็กเตอร์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัดนะครับ เริ่มจาก เต๋า รับบทเป็น จิรัสย์ มีความหมายว่า ตลอดกาลหรือนิรันดร ซึ่งก็ตรงกับคาแร็กเตอร์โอปปาติกของเค้าก็คือมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ อยู่ยืนยาวนาน เห็นโลกมาเยอะ และใช้ชีวิตอย่างคนที่ผ่านโลกมาเยอะ ชาคริต รับบทเป็น ไปศล เป็นโอปปาติกที่สามารถมองเห็นจุดตายของคู่ต่อสู้ มีความแม่นยำในการสังหารคู่ต่อสู้ แต่ทันทีที่เล่นงานคู่ต่อสู้กลับไป คำสาปที่เค้าได้รับตามมาก็จะเป็นแผลตรงจุดๆ นั้น และความเจ็บปวดของคนที่เค้าทำร้ายไปนั้นน่ะก็จะย้อนกลับมาเป็นแผลเป็นและความทุกข์ทรมานที่ไม่ต่างอะไรกับที่คู่ต่อสู้ได้รับ
พุฒ จะรับบทเป็น เตชิต ที่แปลว่า ฉลาด เฉียบแหลม เป็นโอปปาติกที่สามารถอ่านใจคนแล้วก็หยั่งรู้ภายในจิตใจของคนอื่นๆ แต่ว่าคำสาปที่ได้รับตามมาก็คือการสูญเสียสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์เรา ก็ได้แก่ สัมผัสการพูด การมองเห็น การหายใจ การฟัง และกายสัมผัส ทันทีที่อ่านใจคน รู้จิตใจผู้อื่น เค้าก็จะเริ่มสูญเสียสัมผัสต่างๆ ไป ซึ่งอาจจะทำให้การแสดงค่อนข้างยาก เพราะทันทีที่ใช้พลังพิเศษไปเรื่อยๆ เค้าก็จะสูญเสียประสาทสัมผัสไปทีละอย่าง อย่างเช่น ไม่ได้กลิ่น ตาบอด พูดไม่ได้ ไม่ได้ยิน ไปจนถึงสุดท้ายคือสัมผัสอะไรไม่ได้เลย
บอล รับบทเป็น รามิล ที่แปลว่า สง่างาม ซึ่งเป็นโอปปาติกที่มีสองร่าง สามารถแบ่งร่างที่เป็นเจตภูติออกมา ซึ่งเจตภูติจะมีร่างกายที่อัปลักษณ์ ยิ่งเค้าใช้พลังเจตภูติไปเท่าไหร่เนี่ย ร่างจริงของเค้าก็จะยิ่งอัปลักษณ์ตามไปด้วย ซึ่งมันก็จะขัดแย้งกับคำว่าสง่างาม เร รับบทเป็น อรุษ เป็นโอปปาติกที่มีสองร่างสองบุคลิก กลางวันกลางคืนเป็นคนละคนกัน กลางวันเนี่ยจะเป็นคนที่อ่อนโยน ส่วนกลางคืนจะเป็นคนที่โหดเหี้ยม ความสามารถในการต่อสู้ของเค้าจะรวดเร็ว เหมือนกับว่าแม้จะเร็วได้เหนือเวลา แต่เวลาที่ใช้กับชีวิตจริงๆ ก็จะน้อยลง ซึ่งก็เป็นคำสาปที่เค้าต้องแลกเปลี่ยนมากับพลังพิเศษที่เค้าได้รับ คือมีความสามารถที่เร็ว แต่กลับใช้เวลาได้น้อยลง และก็เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็น เร ในอีกแบบหนึ่ง คือ เป็น เร ที่โหดเหี้ยม
อาหนิง จะรับเป็น ศดก ซึ่งเป็นโอปปาติกที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของเรื่องที่ต้องการรวบรวมเหล่าโอปปาติกอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกันด้วยจุดประสงค์บางอย่าง โดยมี ธุวชิต ที่เป็นตัวละครของ พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ คอยช่วยเหลือ พี่อ๊อฟ ในเรื่องจะรับบทเป็น ธุวชิต ที่แปลว่า ผู้ชนะเสมอ คาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้ พี่อ๊อฟ จะเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่โอปปาติก แต่จะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องมาล่าเหล่าโอปปาติกะ ส่วน เชอรี่ รับบทเป็น ปราณ เป็นคาแร็กเตอร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องที่จะดึงเหล่าโอปปาติกะเข้ามาหากัน"
เรื่องนี้ก็ยังคงเล่าเรื่องผ่านมุมมองความคิดในแบบผู้ชายๆ
"สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนกับสองเรื่องที่ผ่านมาของผมนะครับ คือผมชอบมุ่งเน้นเกี่ยวกับคาแร็กเตอร์ของตัวละครผู้ชาย และเรื่องนี้น่าสนใจถ้าเป็นคาแร็กเตอร์ของตัวละครผู้ชายที่เป็นหนังแอ็กชั่นแฟนตาซี และเป็นหนังในแบบที่ผมอยากให้เป็น ฉะนั้นผมก็คงต้องตอบว่าเป็นทั้งความถนัดและความตั้งใจส่วนตัว ที่ยังคงเล่าเรื่องราวโดยผ่านมุมมองของตัวละครชายอยู่นะครับ"
ยกตัวอย่างฉากแอ็กชั่นที่มีความโดดเด่นของเรื่องนี้หน่อย
"ฉากแอ็กชั่นที่มีความโดดเด่นจริงๆ มีอยู่หลายฉากเลยนะครับ ซึ่งแต่ละฉากก็จะมีเอกลักษณ์ต่างกันออกไป อย่างฉากหนึ่งของเรื่อง คือฉากการต่อสู้ของ เต๋า กับ ชาคริต นะครับ ที่เป็นโอปปาติก 2 คาแร็กเตอร์ คนหนึ่งจะเป็นอมตะ ส่วนอีกคนมีความสามารถที่รู้จุดตายของคู่ต่อสู้ ที่นี้นึกถึงคาแร็กเตอร์ 2 ตัวที่จะต้องมาห้ำหั่นกัน ฉากนี้จะต้องถ่ายกันที่ทางแยกที่เป็นทางแพร่งขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องปิดถนน และถ่ายทำยากมากๆ เพราะว่าเป็นทางแยกขนาดใหญ่ที่มีการสัญจรไปมา
ไอเดียในการถ่ายทำฉากนี้ ก็คือทางแพร่งมันเป็นเหมือนทางที่ตามความเชื่อของคนไทยที่ว่าทางแพร่งจะเป็นที่วิญญาณมาสิงสถิตอยู่ ยังไม่รู้จะไปในทิศทางไหน ก็เหมือนกับโอปปาติก 2 ตนนี้ที่ยังต้องวนเวียนและต้องมาใช้ชีวิตต่อสู้กันในโลเกชั่นแห่งนี้"
พูดถึงการออกแบบงานสร้างและการเลือกสถานที่ถ่ายทำหน่อย
"ในการทำหนังทุกเรื่อง ขั้นตอนหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบมาก ก็คือการหาโลเกชั่นสถานที่ถ่ายทำ เพราะผมคิดว่าการตระเวนดูโลเกชั่นหาสถานที่ถ่ายทำ ไปในที่แปลกๆ ที่เราไม่เคยไป หรือบางครั้งเคยไปแต่ก็เป็นเพียงแค่ผ่านๆ ไม่ได้ลงลึกไปกับมันซักเท่าไหร่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการหาโลเกชั่นถ่ายทำในหนังเรื่องนี้ บางครั้งมันก็สามารถช่วยเหลือเราในแง่ของการเล่าเรื่องได้มากขึ้นด้วยครับ บางทีมันก็ทำให้มีไอเดียต่อยอดแตกออกมาได้อีกเยอะด้วยครับ
สำหรับเรื่องนี้ ผมก็ตระเวนหามันอยู่นานมาก และผมก็ใช้โลเกชั่นหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารเก่า เช่น วัด ตึกเก่า ตึกอนุรักษ์ บางแห่งก็เป็นสถานที่ราชการซึ่งมีอายุถึง 50-60 ปี และบางโลเกชั่นก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว เช่น กรมการค้าภายใน ที่ท่าเตียน ซึ่งผมรู้สึกดีใจมาก ที่ได้บันทึกสถานที่สวยงามแห่งนี้เอาไว้
ส่วนพวกวัดต่างๆ ก็เป็นวัดเก่า บางวัดก็มีอายุ 100 ปี เช่น วัดประยูรวงศาวาส ซึ่งผมรู้สึกชอบและหลงใหลในความสวยงามของวัด ผมไม่ค่อยได้เห็นวัดในหนังไทย ผมอยากถ่ายวัดออกมาให้สวย เพราะเราเป็นคนไทย ผมอยากถ่ายทอดในสิ่งที่บางคนอาจจะหลีกเลี่ยงที่จะถ่าย และที่สำคัญบังเอิญว่า เนื้อหาของหนังเกี่ยวข้องกับวิญญาณและโลกหลังความตาย ดังนั้นมันจึงเกี่ยวข้องกันไปโดยปริยายครับ นอกจากนี้ยังมีโลเกชั่นแปลกๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งไม่เคยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของหนังมาก่อน หรือแม้ว่าในบางสถานที่อาจจะเคยถูกใช้ในเรื่องอื่นมาก่อนก็จริง แต่พอมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาในแง่มุมที่ต่างกันออกไปครับ"
เสน่ห์หรือความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ตรงไหน
"เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ตัวผมเองก็บอกไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน อันนี้ก็แล้วแต่คนมองนะครับ ผมเองก็ตั้งใจและเอาใจใส่กับหนังเรื่องนี้ในทุกๆ ส่วนนะครับ ทั้งเรื่องบท การแสดง การตัดต่อ รวมถึงพิถีพิถันกับงานด้านภาพค่อนข้างมากด้วยครับ เหล่านี้ผมว่าน่าจะเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ครับ และเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นการที่เราจะได้ดูกลุ่มนักแสดงระดับแถวหน้าที่มากความสามารถมากฝีมือมารับบทในคาแร็กเตอร์ที่มีความสามารถพิเศษต่างๆ กัน แล้วก็ต้องมาต่อสู้ห้ำหั่นกันในแบบฉบับหนังแอ็กชั่นแฟนตาซีนี่ล่ะครับ ผมว่าผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะถูกใจกันนะครับ"