พูดคุยกับ ทาเคชิ ปีเตอร์ และ จีจินฮี จาก Perhaps Love
ภาพยนตร์เรื่อง "Perhaps Love" ที่มีชื่อภาษาไทยว่า "อยากร้องบอกโลกว่ารัก" ผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวฮ่องกงซึ่งพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำอย่าง "ปีเตอร์ ชาน" ซึ่งมีผลงานที่ผ่านมาอย่าง "Three" หรือ อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต และ "Comrades: Almost a Love Story" หรือ เถียนมีมี่ 3650 วัน....รักเธอคนเดียว
Perhaps Love ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของปีเตอร์ ได้นักแสดงชื่อดังทั้งจาก ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และเกาหลีมาร่วมแสดง ได้แก่ "จางเซียะโหย่ว" หรือ "แจ๊กกี้ จาง" จากฮ่องกง "ทาเคชิ คาเนชิโร" หรือ "จินเฉินอู่" หนุ่มหล่อลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไต้หวัน "โจวซวิ่น" นางเอกสาวชาวจีน และ "จีจินฮี" นักแสดงหนุ่มชาวเกาหลี ที่คนไทยคุ้นหน้าจากละครแดจังกึมอันโด่งดัง
เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา นักแสดงนำของเรื่องอย่าง ทาเคชิ คาเนชิโร และ จีจินฮี ได้เดินทางมาร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Perhaps Love ที่เมืองไทย พร้อมกับผู้กำกับ ปีเตอร์ ชาน ที่โรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ให้สาวไทยได้กรี๊ดกันเสียงแหบเสียงแห้งในความหล่อและน่ารักเป็นกันเองของทั้งคู่ ก่อนที่ทั้งสามคนนี้จะได้บอกเล่าถึงการทำงานและความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ อีกครั้งวันรุ่งขึ้น
ทาเคชิ กับบท หลินเจียนถง ชายหนุ่มที่หลงทางอยู่ในวังวนแห่งรัก
มาเมืองไทยเป็นครั้งแรกหรือเปล่า
"ไม่ใช่ครั้งแรกครับ แต่เป็นครั้งแรกที่มาโปรโมตหนัง ก่อนหน้านั้นจะมาทำงานอื่นๆ ก็มาประมาณ 5 ครั้งแล้วครับ เลยยังไม่เข้าใจเมืองไทยเท่าไร สำหรับอะไรในเมืองไทยที่ผมชอบ คงจะเป็นอาหารไทยครับ"
การร่วมงานกับนักแสดงท่านอื่นๆ
"กับจินฮี จริงๆ ในเรื่องผมกับเค้าจะไม่ได้เข้าฉากด้วยกัน แล้วยังมีปัญหาเรื่องภาษาที่เวลาคุยกันก็ต้องใช้ล่ามช่วย เวลาเจอกันที่โลเกชั่นก็ได้ทักทายกันบ้าง ซึ่งเราได้มาเจอกันบ่อยก็ช่วงโปรโมตหนัง คือเวลาโปรโมตได้นั่งสัมภาษณ์ด้วยกัน พอเสร็จจากงานก็ไปทานข้าวกันด้วย ช่วงที่ว่างจากนั้นถึงได้คุยกัน ส่วนจางเซียะโหย่วนั้น ปกติผมจะชอบเพลงของเค้ามาก ก็ดีใจที่ได้มาร่วมงานกัน ได้ใช้เพลงในการแสดงความรู้สึกของตัวละคร
ส่วน โจวซวิ่น เป็นผู้หญิงที่ขยัน จิตใจดี เรียบง่าย ตอนไปถ่ายหนังที่ปักกิ่ง ซึ่งผมไม่เคยไป โจวซวิ่น เธอเป็นคนที่นั่น เลยเป็นคนพาไปเที่ยวที่ต่างๆ ไปกินข้าว ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ การทำงานเธอก็มีฝีมือ ขยัน เข้าฉากร่วมกันก็สื่อถึงกันได้ดี โจวซวิ่น เธอจะแสดงบทที่ให้อารมณ์ได้ดี ทำให้ผมอินกับบทได้ง่ายขึ้นด้วยครับ"
คิดอย่างไรที่เหมือนบทนางเอกจะเด่นกว่าตัวเอง
"เห็นด้วยเลยครับ เพราะในเรื่องเธอจะต้องมีความรักกับผู้ชายสองคน กว่าตัวละครจะไต่เต้ามาถึงการเป็นนางเอกในเรื่องได้ ก็ต้องมีฉากที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นบทที่หนักทีเดียว ขณะที่จุดเด่นของผม เป็นบทที่รักนางเอกมายาวนาน เป็นสิบปี ซึ่งยังไงผมก็เห็นด้วยว่าเธอมีฝีมือมาก และมีบทบาทที่เด่นมากในเนื้อเรื่อง"
คุณแสดงฉากร้องไห้ในน้ำได้ดีมาก ตอนถ่ายคิดเรื่องอะไรอยู่
"ขอบคุณมากครับ ซึ่งไม่ใช่ตัวผมที่ดีคนเดียว เป็นเพราะหลายๆ อย่างเลย แต่ว่าในเวลาถ่ายเนี่ย ผมจะนึกถึงความรู้สึกที่อยู่ในบทในฉากนั้น แต่ก็รู้สึกดีใจมากที่ทุกคนจะชอบและพูดถึงฉากนี้กันมาก เพราะว่าผมได้พยายามอย่างเต็มที่ในฉากนั้น ก็ดีที่ได้มาแสดงในน้ำ เพราะว่าเวลาถ่ายจะมีกล้องมีแสงประกอบ ขณะถ่ายก็จะใช้สระว่ายน้ำที่เช่าเอาไว้
ก่อนที่จะถ่ายทำ ก็มีการจัดกล้องจัดแสง แล้วผมก็จะลงไปถ่ายในน้ำ โดยที่ผู้กำกับไม่มีการฟิกซ์อะไร แสดงได้อิสระ อย่างที่ผมนึกเอาไว้ ซึ่งประทับใจตรงที่ผมเป็นคนที่ชอบว่ายน้ำอยู่แล้ว แต่มีจุดเดียวที่ไม่ดีเลย คือว่าน้ำสกปรกมาก เพราะว่าตอนที่ผมลืมตาขึ้นมา (หัวเราะ) ก็เห็นว่าพวกทีมงานนี่ใส่รองเท้าอยู่ใต้น้ำกันหมดเลย
ส่วนการเตรียมตัวก่อนถ่าย ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร เพราะว่าปกติก็ชอบว่ายน้ำ ชอบดำน้ำอยู่แล้ว แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งในฉากใต้น้ำ ซึ่งเป็นฉากที่ถ่ายแล้วอินมากๆ จนเกือบขาดอ๊อกซิเจน ก็ยังดีที่ไม่เป็นไร เวลาอยู่ในน้ำผมจะนึกบทตลอดจนลืมไปว่าตัวเองอยู่ในน้ำ"
ความแตกต่างระหว่างผู้กำกับ หว่องกาไว จางอี้โหมว และ ปีเตอร์
"ขณะที่นักแสดงจะมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ซึ่งผู้กำกับก็เช่นกัน จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ซึ่งถึงแม้พวกเขาจะมาจากประเทศเดียวกัน ก็ยังเทียบกันไม่ได้อยู่ดี อย่างหว่องกาไวเวลาทำงานจะไม่มีบท ซึ่งท้าทายและยากมาก ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมเข้ามาเล่นหนังใหม่ๆ เลยชอบครับ เหมือนกับการแสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะศึกษาให้มากยิ่งขึ้น
ส่วนจางอี้โหมวจะเล่าบท จะบอกนักแสดงว่าควรจะแสดงยังไง ทำให้เกิดความเข้าใจ แล้วจางอี้โหมวนี่จะเป็นคนที่รักหนังมาก ซึ่งหนังของจางอี้โหมว ผมได้เล่นบทแบบย้อนยุคที่ไม่ค่อยได้เล่น เลยยากด้วย ผมก็ได้บอกให้ผู้กำกับลองแสดงให้ดู ซึ่งเค้าก็ทำให้ดูจริงๆ ผมเลยชอบเค้าตรงนั้นด้วย
ส่วนปีเตอร์เค้าเป็นคนละเอียด เค้าจะเล่าถึงตัวละครทุกคน ทุกจุด เพื่อให้นักแสดงซาบซึ้งกับบท และเปิดโอกาสให้นักแสดงออกความคิดเห็นได้อีกด้วย ผมโชคดีที่ได้มาร่วมงานกับปีเตอร์ เพราะว่าเค้าเป็นผู้กำกับที่ชื่อดังมากทั้งในฮ่องกงและในเอเชีย เป็นผู้กำกับที่คอยฟังความคิดเห็นของนักแสดง มีการปรึกษากันระหว่างทำงาน ทำให้ครั้งนี้ผมชอบมากที่ได้ร่วมงานกับปีเตอร์"
รู้สึกอย่างไรกับบทบาทที่ตัวเองแสดง
"ตัวละครตัวนี้เหมือนกับตัวผมเองด้วย เพราะว่ามีอายุใกล้เคียงกับผม เลยค่อนข้างเข้าใจ ในด้านความคิดเกี่ยวกับความรักในสมัยก่อนกับปัจจุบันมันต่างกัน ช่วงยังเด็กด้านความรักก็เป็นแบบไม่ว่าเรารักใครก็ทุ่มเท พอหลังจากนั้นผ่านมาสิบปีมุมมองก็เปลี่ยนไป มีประสบการณ์ เหมือนกับการที่เราถอยหลังมาก้าวหนึ่ง ภาพที่มองเห็นก็จะกว้างขึ้น ได้มองเห็นอะไรมากขึ้น รู้จักการให้อภัย อยากเห็นคนที่รักมีความสุข จะต่างกันตรงการปล่อยวาง ที่อันนี้เหมือนกับตัวผม ซึ่งปีเตอร์ก็กำกับได้ดี ในการแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวพระเอก เกี่ยวกับความรักในอดีตกับในปัจจุบันครับ"
ความน่าสนใจของภาพยนตร์
"ก็อยากจะให้ทุกคนมาดู ดูแล้วให้เข้าใจ สัมผัสได้ถึงบทบาทที่เขาแสดง ดูแล้วรู้จักการปล่อยวาง"
ถ้ามีผู้กำกับไทยติดต่อให้แสดงด้วยสนใจจะเล่นไหม
"ที่ผ่านมา ผมมาทำงานในเมืองไทยหลายครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่หนังไทย แต่ว่าก็ได้เห็น คนที่มาร่วมงาน อุปกรณ์ต่างๆ ก็ดี ทีมงานต่างๆ ก็เป็นคนมีฝีมือ แล้วผมก็เคยเข้าเว็บไซต์เพื่อดูโฆษณาไทย แล้วรู้สึกว่ามีไอเดียที่ดีมาก มีฝีมือมาก ก็เลยคิดว่าคงมีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนไทยบ้าง"
จีจินฮี กับบท มอนตี้ เทวดาผู้นำแสงสว่างสู่มนุษย์ที่หลงทางในรัก
ทำไมถึงรับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้
"ทีแรกทางผู้กำกับก็ได้ติดต่อผมมา แต่ว่าด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งภาษาจีน ทั้งเรื่องร้องเพลงและเรื่องเต้น แล้วเวลาที่เตรียมการมีแค่หนึ่งอาทิตย์ ฉะนั้นผมจึงคิดว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทางผู้กำกับก็พยายามชวนผมว่าลองสักครั้งหนึ่งเถอะน่า ก็เลยตัดสินใจตกลง เพราะว่าตัวมอนตี้เอง ต้องแสดงเป็นหนึ่งคนที่ต้องเล่นเป็นอีกห้าคน เพราะฉะนั้นจึงน่าสนใจ ตัวบทเองก็มีความน่าสนใจก็เลยรับ กับตัวผู้กำกับผมก็เคยดูหนังของเขาอยู่ 2-3 เรื่อง แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากครับ ปีเตอร์เค้าทำหนังได้ดี แล้วในจำนวนหนังที่ปีเตอร์ทำ ในเกาหลีก็มีบางเรื่องที่เป็นที่สนใจเหมือนกัน"
การร่วมงานกับนักแสดงท่านอื่นๆ
"ทั้งทาเคชิ หรือไม่ว่าจะเป็นคนอื่นๆ ที่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากที่ต่างๆ สำหรับตัวผมเองก็คิดว่าจะสู้ได้รึเปล่า ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้ร่วมงานกับทุกคน ส่วน โจวซวิ่น นางเอก ก็ดีใจ แล้วผมก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากเธอ เพราะเธอเป็นคนที่เก่ง บทที่ต้องแสดงในช่วงที่เป็นเด็กก็ทำให้ใสได้ บทที่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ก็ทำให้ดูเซ็กซี่ได้ เวลายิ้มก็ดูจริงใจ แสดงเก่งมากๆ เธอคงมีอนาคตที่ดี ภูมิใจที่ได้แสดงด้วยกันครับ"
ผู้กำกับฮ่องกงกับเกาหลีแตกต่างกันอย่างไร
"คงไม่แตกต่างเท่าไร เพราะว่าผู้กำกับที่ไหนก็เหมือนกัน จะต่างกันในอุปนิสัยส่วนบุคคลมากกว่า ส่วนจุดที่ผมประทับใจเกี่ยวกับปีเตอร์ คือไม่ว่าจะทำอะไรเค้าจะทำเงียบๆ จะพูดเงียบๆ แต่พูดครั้งเดียวทุกคนก็รู้เรื่องได้ทันที
ด้านการทำงานกับปีเตอร์ เค้าจะเป็นคนที่ใจกว้างมากทีเดียว ก็คือว่าไม่ได้ตีกรอบเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ๆ เช่น ในบทของมอนตี้เอง ผมก็นึกไม่ออกว่าต้องเล่นยังไงดี ก็เลยไปถามปีเตอร์ว่าควรจะทำแบบไหนดี ผมลองเสนอว่า เอางี้มั้ย ในเมื่อเป็นเทวดาก็ให้เป็นบุคลิกแบบใสๆ เป็นเหมือนเด็กที่ยังไม่ได้แปดเปื้อนอะไร ปีเตอร์ก็บอกว่าใช่ ถูกต้องแล้ว ก็เลยพยายามทำให้ออกมาในรูปนั้น ซึ่งตัวของปีเตอร์ไม่ได้ขีดอะไรไว้ แต่ว่าพอมีอะไร คำแนะนำดีๆ ก็จะบอก ให้ทุกคนทำตาม แต่ก็ไม่ได้ครอบงำเอาไว้ก่อน
ส่วนผลงานของปีเตอร์ที่ผ่านมา ผมเคยชมเถียนมี่มี่และเรื่องอื่นๆ อีก คิดว่าปีเตอร์มีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ มีการพัฒนาตลอด ทุกวันนี้พอกลับไปดูเถียนมี่มี่ก็ยังคิดว่าเค้าเก่งจริงๆ แล้วก็คิดว่าเรื่องนี้คงออกมาดีกว่าเรื่องก่อน เลยประทับใจมากครับ"
บทนี้วางตัวหลิวเต๋อหัวเอาไว้ก่อน คิดอย่างไรที่เหมือนเป็นตัวแทน
"ผมไม่ได้กังวลอะไรมากครับ ใครจะแทนไม่แทนผมก็ไม่ได้คิดตรงนั้น คือมันเป็นบทที่ต้องแสดงอยู่แล้ว ถึงจะไม่ใช่หลิวเต๋อหัวก็ตาม แล้วก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมหลิวเต๋อหัวถึงปฎิเสธบทนี้ไป แต่ที่ผู้กำกับบอกเพียงแค่ว่าบทของมอนตี้จะเป็นบทที่สั้นๆ แล้วก็คอยทำให้คนรักกัน แล้วทั้งร้องทั้งเต้น ขณะที่หลิวก็ร้องเต้นเก่งอยู่แล้ว ถ้าให้หลิวมาแสดงก็จะเป็นเหมือนคอนเสิร์ตของเขาไปรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะไม่ดีก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมได้ยินมาครับ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ติดว่าแทนหรือไม่แทนอยู่แล้ว"
อยากให้พูดถึงความรู้สึก ในฉากแรกที่ต้องทั้งร้องทั้งเต้น
"ก็โชคดีที่ในบทไม่ต้องทำให้ดีมากเกินไป แค่เอาให้เข้ากับคนอื่นได้ก็พอแล้ว ก็ต้องซ้อมอาทิตย์หนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะได้เล่นหนังที่มีฉากเต้นแบบนี้อีกรึเปล่า ก็คิดว่าไม่เอาแล้ว เพราะว่าผมก็อายเหมือนกัน"
ความน่าสนใจของเรื่องนี้
"อันดับแรกคือฉากสวย แล้วก็มีบรรยากาศตะวันออก มีความเป็นเอเชีย และยังเป็นหนังรัก ที่พูดถึงในอดีต ความเจ็บปวดจากรักครั้งแรก ความทรงจำต่างๆ จุดเด่นของผม คือในบทของมอนตี้ที่แม้จะออกมาแค่สั้นๆ แต่ก็เล่นเป็นถึง 5 คน ซึ่งน่าสนใจมาก"
อยากให้พูดถึงบทของตัวเอง และประเด็นของความรักในเรื่อง
"ด้านการทำให้คนรักกัน ก็มีเหมือนกันที่มีคนมาเล่าให้ฟังอย่างนู้นอย่างนี้บ้าง ก็รับฟัง มันก็เพลินดี ก็คุยๆ กันไป ส่วนความรักในหนัง ก็เป็นความรักในวัยรุ่น ซึ่งทุกคนก็คงเคยมี ตัวผมเองก็เคยมีเหมือนกัน ทั้งเข้าใจ ทั้งน่าสงสาร ทั้งเสียดายปนๆ กันไป คำถามที่ว่าถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพระเอก คือ ทาเคชิ จะทำอย่างไรนั้น ผมคงไม่แก้แค้น คงไม่สะกดรอยตาม คงไม่รังควานครับ คือถ้าผู้หญิงเค้าอยากไป ก็คิดว่าคงจะมีเหตุผลอะไรซักอย่างที่ ก็ควรจะเข้าใจ แค่ความคิดที่ว่าเค้าคงจะมีเหตุผลซักอย่าง มันก็เพียงพอ แล้ว ดังนั้นก็คงไม่คิดจะรังควานอะไร"
สิ่งสำคัญในการเป็นนักแสดง
"ไม่มีอะไรพิเศษครับ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนการวาดภาพๆ หนึ่ง คนวาดภาพก็คือผู้กำกับ อุปกรณ์วาดภาพ พวกสีแล้วก็เฟรม พวกนี้ก็เป็นองค์ประกอบ เป็นทีมงาน ดาราในหนังเรื่องนั้น ความผสมกลมกลืนของภาพที่ได้เป็นผลงานที่ดี ทุกคนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ภาพนั้นออกมากลมกลืน ซึ่งการจะให้ดีแบบนั้นได้ ก็คือการนำเสนอที่ชัดเจน เช่น รับบทอะไร ก็ต้องตีบทให้แตก บทบาทที่แสดงในวันนี้ พออีก 10 ปี อีก 20 ปีมาดู ก็ยังรู้สึกประทับใจเหมือนเดิม นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับผมครับ"
งานละครกับภาพยนตร์ต่างกันตรงไหนบ้าง
"ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก เพียงแต่หนังเรื่องหนึ่งฉาย 2 ชั่วโมง แต่ใช้เวลาถ่ายทำ 6 เดือน แต่ละครซึ่งใช้เวลา 6 เดือนเหมือนกันแต่ออกอากาศได้แล้ว ทั้งสองอย่างจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป"
มาเมืองไทยครั้งแรกรู้สึกอย่างไร และคิดอย่างไรที่มีชื่อเสียงในไทย
"ขอบคุณทุกคนครับ แล้วก็ตกใจมาก เพราะอย่างแดจังกึมก็เป็นเหมือนเรื่องพื้นบ้านของเกาหลี ไม่นึกว่าจะดังได้ขนาดนี้ เป็นละครที่ต้องการสื่อให้คนสุขภาพดี จริงๆ อยากมาเมืองไทยนานแล้ว ได้ยินว่าเมืองไทยมีที่เที่ยวที่สวยงาม ไม่ฝันว่าจะได้มา แล้วก็เมื่อวานพอเสร็จงานจากสยามพารากอน พอไปทานข้าว ก็รู้สึกว่าอร่อยมากมาย พอตอนเช้าตื่นมา ก็ไปเดินเล่นรอบหนึ่ง ประมาณครึ่งชั่วโมง อยากไปหลายที่เลย อยากไปเที่ยวป่า อยากไปไนต์พลาซ่า ชอบเมืองไทย ขอบคุณเมืองไทย คนไทยใจดีและอ่อนโยนครับ"
วางอนาคตการแสดงไว้อย่างไร
"คงไม่ไปถึงฮอลลีวูดหรอกครับ คือพยายามไปเรื่อยๆ ให้ดีที่สุดก็พอ หนังที่เกาหลีคนก็ชอบ พอกลับไปก็ต้องไปทำงานในหนังอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนปีหน้าก็มีงานละคร แล้วมีบทไหนที่อยากเล่นรึเปล่า ผมเจอคำถามนี้บ่อยเหมือนกัน แต่ก็ตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะผมยังแสดงหนังไม่มากเท่าไร ถ้าบทถูกใจ มีความโดดเด่นมีจุดเด่น ก็โอเค ถ้าอนาคตเก่งกว่านี้แล้วค่อยตอบดีกว่า"
เชิญชวนให้คนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้
"อยากให้ชมกัน เพราะว่าหนังเรื่องนี้เป็นมิวสิกเคิลก็จริง แต่ก็เป็นแบบเอเชีย ก็จะจับใจคนเอเชียได้ดีมากกว่าหนังมิวสิกเคิลที่มาจากทางฮอลลีวูด แน่นอนว่าเราอาจจะติดภาพของฮอลลีวูด แต่เรื่องนี้คงเข้าถึงความเป็นเอเชียได้มากกว่า ก็อยากให้ไปชมกันครับ"
ปีเตอร์ ชาน ผู้กำกับผู้สร้างสรรค์ Perhaps Love
แรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
"ผมไม่ได้กำกับเกือบสิบปีมั้งครับ ก็คิดว่าผมลองพยายามหาว่าอะไรที่ไกลจากตัวผมที่สุด แล้วผมก็คิดว่าเป็นมิวสิกเคิลดีกว่า เพราะผมเป็นคนที่ชอบเพลงมาก แล้วก็ชอบดราม่ามาก แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบมิวสิกเคิล เพราะว่ามิวสิกเคิลทุกอันเนี่ย จะรวมความเป็นดราม่ากับเพลงยาก แล้วเวลาที่รวมได้เหมือนสมัยก่อนที่ฮอลลีวูดทำ จะเป็นแบบแสดงความรู้สึกมาก พยายามที่จะทำให้คนร้องไห้ คือมันต้องเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเรียบง่ายด้วย หรือถ้าไม่ร้องไห้ก็เป็นหนังแบบแฮปปี้ ซึ่งหนังผมส่วนมากจะเป็นหนังไม่ค่อยแฮปปี้ สองคือเป็นหนังที่ใกล้เคียงชีวิตจริงมาก แต่มิวสิกเคิลส่วนใหญ่จะไม่เรียลลิตี้จะแฟนตาซีมากกว่า เลยพยายามจะทำสองอย่างนี้ให้อยู่ด้วยกัน ผมว่าเป็นความท้าทายที่ใหญ่พอสมควรเลย
แล้วก็มีอีกเหตุผลหนึ่ง คือตอนนี้สถานการณ์ของหนังที่ฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขึ้นมากทีเดียว คือที่ฮ่องกงก็เป็นตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว คือตลาดเริ่มน้อยลงๆ คนที่ทำหนังยุคก่อนก็เริ่มแก่ขึ้นๆ คนยุคใหม่ก็ไม่ค่อยมีมา หนังดีมีน้อย แล้วตลาดมันเลยน้อย ส่วนจีนก็เริ่มเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร เริ่มมีหนังบล็อกบัสเตอร์ขึ้นมา แต่ปัญหาที่ว่าพอตลาดจีนเติบโตนี่ ปีหนึ่งมีแค่หนัง 5 เรื่อง ถึง 8 เรื่องมั้ง หมายความว่าปีหนึ่งคนเลือกไปดูหนังแค่ 5-6 เรื่อง แล้วทุกเรื่องจะเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ถึงขั้นที่ว่าต้องใหญ่มหาศาล คือคนจะไปดูหนังที่โรงหนัง เค้าก็เลือกแค่หนังใหญ่ เค้าไม่เลือกหนังดี เพราะหนังดีจะดูที่บ้าน ส่วนหนังใหญ่จะดูที่โรงหนัง ขอให้ดูหนังใหญ่ ดีไม่ดีไม่เป็นไร
เมืองจีนมีปัญหาอย่างหนึ่ง คือวีซีดีเถื่อน เพราะวีซีดีเถื่อนไม่มีเซ็นเซอร์ แล้วทุกคนชอบดู สองคือตั๋วหนังเค้าเนี่ยแพงกว่าฮ่องกงอีก แต่ว่าค่าครองชีพกลับต่ำมาก เงินเดือนอาจน้อยกว่าแบบหนึ่งส่วนสิบ แต่ว่าตั๋วหนังราคาเกือบสองเท่าของฮ่องกง หมายความว่าสี่เท่าของคนไทย คือไปดูหนังก็เหมือนไปดูคอนเสิร์ตที่ปีหนึ่งจะไปดูครั้งสองครั้ง จึงไปดูแค่หนังใหญ่ ถ้าเราจะทำตลาดในจีนนี่ ก็ต้องเป็นหนังใหญ่ หนังผมส่วนมากก็เป็นหนังเล็กๆ ก็เลยทำทำเป็นหนังเพลงที่ให้รู้สึกคุ้มให้ไปดูที่โรงหนังหน่อย ก็เป็นสองเหตุผลน่ะฮะ"
แสดงว่าต้องการจะจับตลาดเมืองจีน
"โดยตรงเลย เพราะผมรู้สึกว่าตั้งแต่ที่ผมทำเถียนมี่มี่เสร็จแล้วไปอเมริกาเลย ตามความคิดผมนี่ ตลาดฮ่องกงน่าสงสารมาก เป็นตลาดเล็กที่ผู้กำกับจะโดนบังคับมากทีเดียว ทำจนหนังทุกอย่างเป็นแนวเดียวกันไปหมด จนผู้กำกับทุกคนถูกต้อนไปอยู่มุมเดียวกันหมด ความรู้สึกอันนั้นไม่ดีมาก พอทำเถียนมี่มี่เสร็จเลยเลือกที่จะไปอเมริกา จะได้เป็นอีกช่องทางในการทำหนัง พอไปอเมริกา ก็รู้สึกว่าที่อเมริกาก็จะมีบังคับในแบบของเค้าอีก
กลับมาฮ่องกงอีกครั้ง ก็ได้ทำโคโปรดักชั่นกับไทยกับเกาหลี เหมือนบางทีเราทำหนังไม่เหมาะกับตลาดนี้ เราก็ไปทำกับตลาดนั้นแทน ส่วนที่ตลาดจีนนี่เป็นเรื่องแรกของผม ตลาดจีนไม่รู้จักหนังผมทั้งหมด ก็ได้ดูหนังของผมจากหนังเถื่อน เพราะตลาดที่นั่นก็โดนบังคับทุกอย่าง ถึงขั้นที่ว่าขนาดหนังสือพิมพ์ก็ลงหนังของผมทุกเรื่องทั้งที่ไม่ได้ฉาย เขียนเหมือนกับหนังมีที่เมืองจีนแต่ก็ไม่ใช่ เรื่องนี้ของผมจึงเป็นเรื่องแรกที่เจาะตลาดจีนครับ"
การเลือกนักแสดงแต่ละท่าน
"ทาเคชิเป็นนักแสดงที่ผมชอบคนหนึ่งมานานแล้ว เพียงแต่ว่าผมไม่ทำหนังวัยรุ่น แล้วตอนนั้นเค้าก็อายุน้อยอยู่ เลยหาโอกาสลำบาก แล้วครั้งนี้เค้าเริ่มมีอายุหน่อย แล้วมีเสน่ห์แบบแมนแทนที่จะเป็นบอย ตอนคิดเรื่องตอนแรกไม่ได้เป็นเค้านะ แต่พอเริ่มเขียนก็เริ่มเหมือนเค้า ไม่ได้เหมือนที่ตัวจริงนะ แต่ความคิดว่าเป็นเค้า แล้วก็ตาเค้า ผมรู้สึกว่าตาเค้ามีความเศร้ามากทีเดียว ผมชอบที่สุดในซีนที่เป็นงานแถลงข่าว แล้วเค้าโดนถามหลายคำ แล้วเค้ามองกลับไป ตาแบบนั้นผมชอบมาก คือมันทั้งดุแล้วก็เศร้าด้วย
จีจินฮี บทของเค้าตอนแรกวางไว้ให้เป็นหลิวเต๋อหัว แล้วเพราะปัญหาบางอย่างเลยไม่ได้ สุดท้ายสองอาทิตย์ก่อนถ่ายก็ยกเลิก ซึ่งถ้าเหลียงเฉาเหว่ยยังว่างอยู่ก็อาจเป็นเค้า หรือถ้าแอนนิต้าอยู่ คือเทวดาเป็นผู้หญิงก็ได้ ก็อาจเป็นแอนนิต้า ผมต้องหาคนที่ร้องได้เต้นได้ แล้วไม่ใช่ตัวนำในหนัง แต่ก็มีน้ำหนักในการเปิดหนัง ซึ่ง 10 นาทีแรก ยังไม่มีพระเอกนางเอก แต่จะมีคนหนึ่งที่เราต้องตามเค้า มันเลยลำบากสำหรับคนดูหนังฮ่องกง เลยไม่รู้จะหาใคร
สุดท้ายถามเพื่อนที่เกาหลี ตอนนั้นผมยังไม่ได้ดูแดจังกึม แต่รู้ว่ามีคนหนึ่งจากแดจังกึมที่ดัง ต้องขอบคุณเค้ามาก ก่อนเปิดกล้องสองอาทิตย์เค้าบินมาเซี่ยงไฮ้ เพราะว่าผมยุ่งมากช่วงนั้น ก่อนเปิดกล้อง เค้าบินมา 2 วัน เพื่อมาเจอตัว ก็คุยกันว่าเหมาะมั้ย คือเค้ามีใบหน้าที่อินโนเซ้นต์ คือเค้าร้องเพลงและเต้นรำไม่เก่ง แต่บทที่เค้าเป็นเทวดา ก็เหมือนกับพอมายังโลกมนุษย์แล้วของทุกอย่างก็จะเป็นของใหม่ เวลาเต้นรำซีนแรกนี่เค้าเหมือนเด็กที่เต้นไม่เป็น พอเต้นได้แล้วเค้าก็ดีใจ ผมว่าก็ดีอีกแบบ มันเป็นอีกแบบ แทนที่จะเป็นดาราใหญ่มาเล่น มันอาจจะเหมือนโชว์ เหมือนบรอดเวย์ไปเลย ซึ่งผมไม่ค่อยชอบ"
ถูกเปรียบว่าเป็นชิคาโกเอเชีย รู้สึกอย่างไรบ้าง
"ตอนแรกที่เวนิซก็มีคนถาม แล้วผมแบบทีวีถ่ายออกมา แล้วเพื่อนดูอยู่ก็บอกว่า ยูดูหน้าเหมือนโมโหมากเลย แต่ว่าผมไม่เข้าใจ เพราะว่าเนื้อเรื่องไม่เหมือนกัน ทุกอย่างไม่เหมือนกัน ตอนแรกผมยังไม่ยอมรับ เพราะว่าตอนนั้นเพิ่งตัดหนังเสร็จใหม่ แล้วคนมาถามอย่างนี้ เราก็ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าในหัวผมไม่มีชิคาโกเลยสักนิดนึงเวลาถ่าย แต่ตอนหลังนี่ก็ครึ่งปีมาแล้ว ก็ดูๆ เอ๊ะบางอย่างก็เหมือน บางทีอาจจะไม่ได้มาจากหัวของผม อาจจะมาจากหัวของอาร์ตไดเร็กเตอร์ หรือว่าตากล้องก็ได้
ผมคิดอยู่อย่างที่ว่า การเล่าเรื่องการอะไร มันเป็นคนละเรื่องกันเลย เพราะชิคาโกเป็นแบบเป็นหนังเพลงจริงๆ ส่วนหนังของผมเป็นหนังชีวิตที่มีเพลงเข้าไป เป็นอะไรบางอย่างที่ผลักดันให้อีโมชั่นสูงขึ้น แต่จริงๆ ไม่ใช่หนังเพลง แล้วก็ผมคิดว่าไม่ควรเปรียบเทียบ แต่บางอย่างความแฟนตาซี บางอย่างก็อาจจะเหมือนครับ"
มีตัวละครตัวไหนที่เป็นชีวิตจริงของปีเตอร์เองรึเปล่า
"ทุกตัวนะผมว่า แต่ทุกคนจะนึกว่า จางเซียะโหย่ว เพราะเค้าเป็นผู้กำกับ ตรงที่เขาไปทำหนังเพลงแล้วเค้าไม่ค่อยมั่นใจ อันนั้นเหมือน แต่ค่อนข้างไปทางผู้กำกับจีนแผ่นดินใหญ่ จะมีฉากหนึ่งหลังจากที่จีจินฮีเต้น แล้วผู้กำกับเดินออกไป แล้วมองฟ้า จริงๆ ต้องมีคำพูดหนึ่ง คือ เฮ้ยทำไมต้องทำหนังเพลง ผมน่ะไม่ชอบทำหนังเพลงนะ ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นคำพูดของผมเองเลย เลยไม่ได้ใส่ไปในหนัง (หัวเราะ) ถ้าเรื่องของอาชีพก็เป็นมุมของผมนะ แต่เรื่องความสัมพันธ์กับนางเอกนี่ไม่นะ แล้วผมก็ไม่เคยอยู่กับผู้หญิงทีอายุน้อยกว่าผมเท่าหนึ่งนะ เพราะว่าที่จีนนี่ผู้กำกับจะมีภรรยาหรือแฟนที่อายุน้อยกว่าเค้าเท่าหนึ่ง แล้วก็เป็นนางเอกของตัวเองเกือบทุกคนเลย"
สำหรับใครที่อยากสัมผัสเรื่องราวรักสามเส้า วนเวียนอยู่ในวังวนของความรักในครั้งอดีตและปัจจุบัน ที่มีเสียงเพลงเพราะๆ ประกอบเรื่อง สามารถติดตามชม Perhaps Love ได้ 20 เมษายน นี้ เป็นต้นไป