ชางดงกอน เยือนไทย พร้อมพูดคุยบทบาทใน The Promise
พระเอกหนุ่มรูปหล่อจากแดนกิมจิ "ชางดงกอน" ซึ่งมีบทบาทเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์จีนเรื่องยิ่งใหญ่ ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในไทยต้นปีหน้า คือ "The Promise" หรือ "คนม้าบิน" ได้เดินทางมาเยือนเมืองไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่โรงภาพยนตร์ SFX เซ็นทรัลลาดพร้าว
บรรยากาศของงานนั้นคึกคักตั้งแต่ ชางดงกอน ยังไม่ปรากฏตัว เนื่องมาจากแฟนๆ ของพระเอกหนุ่มพากันมาให้กำลังใจจนล้นหลาม ซึ่งเพียงไม่นานขวัญใจของพวกเขาก็ขึ้นเวที เรียกเสียงกรี๊ดได้อย่างกึกก้อง
จากการพูดคุยกันสั้นๆ ชางดงกอน เปิดเผยว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้มาเมืองไทย เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาได้มาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ไต้ฝุ่น (Typhoon) ที่เมืองไทยเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว แต่ถ้าเป็นการมาอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรก พอเห็นแฟนๆ มากันเยอะแบบนี้แล้วก็ดีใจมาก ซึ่ง ชางดงกอน ก็เอ่ยประโยคภาษาไทย ที่ทำเอาเสียงกรี๊ดกระหึ่มขึ้นอีกครั้งว่า "ขอบคุณครับ"
การร่วมงานกับผู้กำกับ "เฉินข่ายเก๋อ" ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยฝากผลงานอันโด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Farewell My Concubine ชางดงกอน เปิดเผยให้ฟังว่า "จริงๆ ที่เลือกหนังเรื่องนี้ก็เป็นเพราะผู้กำกับคนนี้นั่นเอง การได้ร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ ทำให้ได้ความรู้มากและยังเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกด้วย"
สำหรับคำพูดที่หนุ่มหล่อคนนี้ได้ฝากถึงแฟนๆ ชาวไทยนั่นก็คือ "เรื่องนี้ไม่ได้เน้นเป้าหมายแค่ในเอเชียเท่านั้น แต่ต้องการแสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงวัฒนธรรมเอเชีย จึงอยากให้ทุกๆ คนมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะหนังเรื่องนี้ น่าดูและสนุกมาก อยากให้แฟนๆ คนไทยทุกคนชอบหนังเรื่องนี้ครับ"
นอกจากการพบปะกับแฟนๆ ดังกล่าวแล้ว การมาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้ ชางดงกอน ยังมีนัดพูดคุยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกด้วย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา ด้วยท่าทางสบายๆ เป็นกันเอง กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา และคำตอบของคำถามที่จะทำให้ทุกคน ได้รู้จักความเป็น ชางดงกอน และภาพยนตร์เรื่อง The Promise มากยิ่งขึ้น
ก่อนจะมาเมืองไทย ไปประเทศไหนมาก่อนแล้วบ้าง
"ไปที่ โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ จีนปักกิ่ง เซียงไฮ้ ที่ ปักกิ่ง กับ เซียงไฮ้ อากาศหนาวมากๆ หนาวจนไปไหนไม่ได้เลย แต่เวลาถ่ายหนังเรื่องนี้ ก็เลยต้องอยู่ที่ประเทศจีนทั้งหมด 6 เดือน ก็เลยชินกับบรรยากาศเมืองจีนแล้ว ไปสิงคโปร์ก็รู้สึกว่าเมืองสะอาดมากๆ แล้วก็อบอุ่นดีด้วย
เมื่อสัก 4 ปีที่แล้วก็เคยไปฮ่องกง เพื่อโปรโมตหนังเกาหลีที่เล่น พอได้กลับไปอีกครั้ง ก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นเมืองที่วุ่นวายอยู่ตลอดเวลาเลย แต่เวลาไปประเทศไหนก็ไปได้แค่วัน 2 วันไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสชมและสัมผัสกับบรรยากาศมากเท่าไร มาเมืองไทยปีนี้ มาอยู่ 2 เดือน เพื่อถ่ายหนังเรื่องไต้ฝุ่น ก็ชินกับบรรยากาศเมืองไทยแล้ว อากาศที่เกาหลีจะหนาวมากๆ พอมาอยู่เมืองไทยรู้สึกว่าอากาศอบอุ่นมากๆ อากาศดีด้วย เมืองไทยก็เป็นประเทศที่น่าเที่ยว อันนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว อีกอย่างคือ คนไทยใจดี ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจมากๆ"
การทำงานกับผู้กำกับชาวจีน แตกต่างกับผู้กำกับชาวเกาหลีอย่างไร
"จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกันกับประเทศเท่าไร เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของแต่ละคนมากกว่า เพราะผู้กำกับคนนี้ก็ชอบคุยกับนักแสดง ก็จะมีการคุยกันนานๆ แล้วก็จะให้นักแสดงคิดกันเอาเองว่าต้องแสดงยังไงถึงจะดีที่สุด"
มีเกณฑ์ในการเลือกบทอย่างไร
"ตัวจริงจะไม่ใช่ลักษณะแบบในหนังที่โหดร้าย และเศร้าๆ นะครับ แต่ก็ชอบเล่นบทลักษณะแบบนี้มากกว่า เพราะว่าเวลาเล่นคาแรกเตอร์มันตรงข้ามกับตัวเอง ก็น่าสนุกด้วย แต่ช่วงนี้ก็เปลี่ยนไปนิดนึงว่าคุณผู้ชมเวลามาดูหนังของผมแล้ว เวลาหนังจบแล้วก็จะรู้สึกเศร้าๆ ก็เลยไม่อยากให้คนดูเศร้า อยากให้อบอุ่นใจมากกว่า"
อยากให้เล่าถึงบทบาทในเรื่องนี้
"ได้บทที่เป็นทาส ซึ่งใจดีแล้วก็บริสุทธิ์มากๆ ตัวผมเองไม่เคยเกิดเป็นทาสมาก่อน คุนหลุนก็จะเป็นตัวแทนของความรู้สึก ความรัก ความบริสุทธิ์"
ในชีวิตจริงเคยผิดคำสัญญากับใครบ้างรึเปล่า แล้วแก้ไขอย่างไร
"สัญญาก็เป็นสิ่งที่ต้องอยู่กับเราอยู่แล้ว คนเราก็ทำสัญญาทุกวันทุกเวลา สัญญามันสำคัญกับคนอื่นด้วย แต่สัญญากับตัวเองก็สำคัญมากกว่า ดังนั้นผมจะพยายามรักษาคำพูด รักษาสัญญามาตลอดเลย"
ในชีวิตจริงเคยหลงรักผู้หญิงคนเดียวกับคนอื่นเหมือนในเรื่องรึเปล่า
"ตอนเด็กๆ ประมาณม.ต้น ก็เคยหลงรักคุณครูที่สองภาษาเกาหลีอย่างจริงจังเลย แต่พอโตแล้ว ก็ยังไม่เคยหลงรักใครเลยเหมือนกัน"
บรรยากาศการถ่ายทำ
"เวลาถ่ายหนังเรื่องนี้ เรื่องที่ยากที่สุดและสนุกที่สุดก็คือเรื่องภาษา เพราะว่าเวลาเข้าฉากเดียวกันที่มีนักแสดงประเทศต่างๆ กัน เวลาผู้กำกับเล่าอะไรให้ฟัง ล่ามที่เป็นเกาหลีก็ต้องแปลมาเป็นเกาหลีให้ฟัง ล่ามภาษาญี่ปุ่นก็ต้องแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฟัง ก็ต้องพูดคุยปรึกษากันผ่านล่าม มันทั้งน่าสนุกและวุ่นวายมาก สนุกมากๆ เลย"
มีบทแบบไหนที่ยังไม่เคยได้รับและต้องการจะแสดงบ้างรึเปล่า
"ในตอนแรกๆ บทบาทส่วนใหญ่ที่ได้รับจะเป็นผู้ชายที่โรแมนติก อบอุ่นมากๆ แต่หลังๆ เวลามาเล่นหนังจะเป็นบทแมนมากๆ เข้มแข็งมากๆ เกือบดูว่าออกไปในทางโหดร้ายด้วยซ้ำ ยังไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องต่อไปจะคืออะไร แต่ก็อยากได้บทแบบน่ารักกว่าเดิมบ้าง"
มีปัญหาในการใช้ภาษาบ้างรึเปล่า
"แต่ละภาษาก็ยากเหมือนกัน แต่คิดว่าภาษาไทยยากที่สุด เพราะภาษาจีนมีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง แต่ภาษาไทยจะเพิ่มมาอีกเสียงหนึ่งเป็น 5 เสียง"
อยากให้ลองพูดภาษาไทยให้ฟัง
"คงถึงวันนั้นแล้วซินะ เป็นบทพูดจากเรื่องไต้ฝุ่นครับ"
ประเด็นที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้กับคนดูมากที่สุดคืออะไร
"หนังจะบอกว่าแต่ละตัวแสดง เป็นความรู้สึกของแต่ละคน ที่เราอาจจะมีได้ เช่นบทคุนหลุนที่ผมเล่น เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์แห่งความรัก ความบริสุทธิ์ใจ พอถ่ายหนังเรื่องนี้จบก็ได้เข้าใจว่าความรักไม่ต้องเก็บกับตัวเองก็ได้ ไม่ต้องเก็บเอาไว้ก็ได้ ความรักไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็ได้ ไม่ต้องเปิดเผย อันนี้เป็นการรักษาสัญญากับตัวเองมากกว่า"
เคยให้สัญญาอะไรกับตัวเองแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง
"ตอนแรกที่เล่นหนัง เล่นละคร เข้าวงการมาใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะต้องทำงานนี้ไปตลอดรึเปล่า ก็รู้สึกไม่ค่อยดี ไม่ค่อยพอใจกับตัวเองเท่าไร แล้วอยู่ๆ ผมก็ดังขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ โดยไม่รู้ตัว เรียกว่าบังเอิญดังขึ้นมา ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เลยตัดสินใจเข้าโรงเรียนภาพยนตร์ ก็ไม่ทำอะไร เรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คนรอบๆ ตัวก็พูดว่าไม่น่าไปเรียนต่อเลย แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว การที่ได้ไปเรียนก็เหมือนว่าได้รักษาสัญญากับตัวเอง ก็ภูมิใจในตัวเองมากๆ แต่สัญญาที่คิดว่าให้กับตัวเองแล้วยังทำไม่ได้ ก็คือ เลิกบุหรี่ ที่ยังทำไม่ได้เลย"
การรับบทเรื่องนี้พัฒนาทักษะการแสดงด้านไหนมากที่สุด
"ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าทักษะตรงไหนดีขึ้น พัฒนาขึ้น แต่เวลาที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไปเยอะ ถ้าในอนาคตได้เล่นหนังที่มีบทคล้ายๆ อย่างนี้อีก ก็คงจะทำได้ดีมากกว่านี้ เหมือนเป็นทักษะที่สะสมไว้ในตัว"
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ ชางดงกอน พูดคุยให้ฟังแล้วนั้น หลายๆ คนคงอยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมากทีเดียวว่าบทบาทการเป็นทาสของหนุ่มหล่อคนนี้ จะแตกต่างกับผลงานที่ผ่านๆ มาของเขาอย่างไรบ้าง ซึ่งสามารถพิสูจน์กันได้กับ The Promise กำหนดฉาย 5 มกราคม ทุกโรงภาพยนตร์