บทสัมภาษณ์ ทาเคชิ คิทาโน่ กับผลงานภาพยนตร์ ซาโตอิจิ
เป็นเวลากว่า 6 ปีมาแล้วนับตั้งแต่ผู้กำกับ ทาเคชิ คิทาโน่ ได้จุดประกายความสว่างไสวให้กับวงการภาพยนตร์ด้วยผลงานอย่าง Hana-Bi (Firework) ในปี 1997
กับผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่เป็นแนวย้อนยุค Zatoichi เรื่องราวเกี่ยวของปรมาจารย์ซามูไรที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพของหมอนวด-เซียนพนัน และที่สำคัญเขายังเป็นชายตาบอด ซึ่งเป็นบทบาทที่ท้าทายสำหรับคิทาโน่ ด้วยการเดินตามรอยของนักแสดงมากประสบการณ์อย่าง ชินทาโร่ คัทสึ ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีของยุค 60-70 รวมแล้วมีผลงานที่เกี่ยวกับปรมาจารย์ซามูไรตาบอดออกมาถึง 27 เรื่อง ซึ่งผลงานในปี 1989 ก่อนหน้าฉบับของคิทาโน่ในปี 2003 นั้นก็เป็นผลงานของคัทสึด้วยเช่นกัน
Zatoichi เป็นอีกหนึ่งผลงานของคิทาโน่ที่สามารถประสบความสำเร็จกับกลุ่มอาร์ตเฮ้าส์ในต่างประเทศ ซึ่งพิสูจน์ได้จากรางวัล Silver Lion Award for Director จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส ปี 2003 ซึ่งที่เวทีเดียวกันนี้เองที่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Lion Award ในปี 1997 หลังจากนั้น ก็คว้ารางวัล People's Choice Audience Award จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองโตรอนโต้ครั้งที่ 28 มาครองอีกหนึ่งรางวัล
ดูเหมือนว่ากระแสของภาพยนตร์ Jidai-Gekei (ดรามาย้อนยุค) ได้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นผลงาน Twilight Samurai ของโยจิ ยามาดะ และ Last Sword is Dawn ของ โยจิโร่ ทากิตะ แม้ว่าจะไม่ได้รับความนิยมมากนักจากผู้ชมสมัยใหม่
ทั้งนี้คิทาโน่ก็กล่าวว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์ Zatoichi แต่อย่างใด และเหตุผลเริ่มต้นของโครงการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เกิดมาจาก ชิเอโกะ ไซโต้ ผู้เป็นเจ้าของโรงละครมากมายทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาเสนอโอกาสให้กับเขาพร้อมทั้งยืนกรานให้เขามารับบทปรมาจารย์ดาบตาบอดคนนี้ด้วยตัวเธอเอง และเธอก็เป็นผู้ออกเงินลงทุน 15% ของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
ด้วยการตีความใหม่ของซาโตอิจิในยุค 2003 ด้วยผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ และส่วนผสมสมัยใหม่อื่นๆ ด้วยเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย ที่บอกเล่าเรื่องราวของความยุติธรรมและการแก้แค้น ตัวละครหลักของเรื่องเดินทางตุปัดตุเป๋ไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองที่ฉ้อโกง ณ เมืองแห่งนี้ เขาเผชิญหน้าเข้ากับซามูไรร่อนเร่นาม ฮัตโตริ (อาซาโน่) ที่ในที่สุดก็กลายมาเป็นสมาชิกแก๊งมาเฟีย แลกกับการรักษาเมียที่กำลังป่วยของเขา นอกจากนี้เขาบังเอิญเข้าร่วมทีมกับ 2 เกอิชาสาวผู้เดินทางตามล้างแค้นให้กับพ่อแม่ที่ถูกฆ่าตาย
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากผลงานก่อนๆ ของคิทาโน่ คือ ตำแหน่งผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบจากที่เคยเป็น โจ ฮิซาอิชิ มาเป็น เคอิจิ ซูซุกิ จากคณะ Moonriders ผู้ที่อยู่เบื้องหลังผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ Uzumaki และเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี โดยท่วงทีของดนตรีของซูซูกินั้นได้สร้างมิติใหม่ให้กับภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นฟิล์ม ผสมผสานเสียงปะทะกันของดาบที่โรมรัน อาวุธแห่งบุรุษบูชิโด เสียงชาวนากับน้ำที่แตกกระจาย เสียงห่าฝนที่ซัดสาดลงสู่พื้นโลก จนถึงจุดสูงสุด ณ ฉากการเต้นแท็ป (โดยกลุ่ม The Stripes) ในตอนท้ายของเรื่อง
จากนี้ไป คือ บทสัมภาษณ์ ทาเคชิ คิทาโน่ ผู้กำกับภาพยนตร์ Zatoichi
เพราะอะไรจึงเปลี่ยนแปลงตัวละคร ซาโตอิจิ จากเดิมค่อนข้างมาก
"ผมเคารพตัวละครนี้นะ แต่ว่าความรู้สึกของผม คือ เราสามารถเพิ่มเติมองค์ประกอบใหม่ๆ ลงไปในภาพยนตร์ได้ และเพื่อเป็นการทำให้ประเพณีของตัวละครที่มีมาแล้วสามารถที่จะเดินต่อไปข้างหน้าได้ จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติมอะไรบางอย่างลงไปเพื่อให้มันดูสดใหม่อยู่เสมอ แล้วถ้าหากว่าการถ่ายทอดบทบาทซาโตอิจิของผม กลายเป็นว่าไปล้อเลียนเข้า ผมว่าอย่างน้อยก็เป็นความพยายามที่จะปรับให้เข้ายุคกับของเรา
" นตอนเริ่มแรก ซาโตอิจิ เป็นตัวละครรองของบทประพันธ์ และ ชินทาโร่ คัทสึ ก็เป็นคนที่ทำให้บทบาทนี้กลายเป็นที่รู้จัก ซึ่งก็มีบุคลิกลักษณะหลายอย่างที่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างการเป็นหมอนวด การเป็นคนตาบอด การมีดาบซ่อนอยู่ในไม้เท้า หรือการเป็นปรมาจารย์ทางดาบ แล้วเรื่องทั้งหมดก็อยู่ในยุคเอโดะ ซึ่งทุกอย่างนอกเหนือจากนั้น เป็นสิทธิของผมที่จะสร้างมันออกมาเป็นอย่างไรก็ได้ และผมก็ตัดสินใจที่จะให้ผมของซาโตอิจิออกมาเป็นสีบลอนด์ เพื่อให้คนดูสามารถแยกออกว่าคนไหนคือซาโตอิจิ และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลของฝักดาบสีแดงด้ว "
มีอะไรที่ทำให้คุณสร้างตัวละครที่ลึกลับอย่าง ซาโตอิจิ ขึ้นมา
" ริงอยู่ที่ผมไม่ได้ให้ภูมิหลังและเหตุผลของตัวละครนี้มากนัก เพราะผมไม่ได้คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ไปมีโอกาสฉายต่างประเทศ ซึ่งตัวละครนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ผมก็เลยคิดว่าคงไม่ต้องเพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้นลงไปด้วย ในภาพยนตร์คุณมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงในการเล่าเรื่อง ฉะนั้นคุณก็ต้องเลือกว่าจะเอาอะไรหรือไม่เอาอะไรไว้ ซึ่งมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าถ้าจะมี Zatoichi 2, Zatoichi 3 ออกมาเราก็คงสามารถใส่รายละเอียดลงไปในตัวละครได้มากขึ้ "
คุณได้รับแรงบันดาลใจจากการแสดงภาพยนตร์ซามูไรบ้างหรือไม่
" มรู้สึกว่าผมรวบรวมหลายๆ อย่างจากประสบการณ์มารวมกันเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ เราเคยเล่นซีนต่างๆ จากภาพยนตร์ชามบารากันแต่ว่านั่นก็เป็นการนำเอามาล้อเลียนเสียมากกว่า นอกจากนี้ผมยังเคยเต้นแท็ปมาก่อนด้วย ซึ่งผมก็เอามันใส่ลงไปในภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าภาพยนตร์เป็นเหมือนงานศิลป์ที่ผสมผสานศาสตร์แห่งศิลป์หลายๆ อย่างลงไป อย่างที่คุณทราบว่าผมเป็นทั้งพิธีกร ผมเขียนหนังสือ และผมยังเป็นจิตรกรด้วย ดังนั้นในการสร้างภาพยนตร์ผมก็เลยใส่กิจกรรมเหล่านี้ลงไป
มีคนถามผมมากเกี่ยวกับอิทธิพลจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ผมได้รับ ซึ่งความเป็นจริงแล้วผมก็ไม่ได้ดูหนังมามากพอที่จะมาใช้เป็นแรงบันดาลใจ มีคนกล่าวว่าผมได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์บอลลีวู้ด ซึ่งผมก็ยังไม่เคยได้ดูเลยสักครั้งเลย สำหรับการแสดงในฉากนั้นผมว่ามันคล้ายกับการแสดงคาบูกิมากกว่า สำหรับฉากต่อสู้ผมกลับไปหาพื้นฐานการต่อสู้แบบเคนโด "
ทำไมถึงไม่มีคุณแสดงอยู่ในฉากการเต้นแท็ปล่ะ
" ะมีแต่เฉพาะคนดีที่เข้าฉากนั้น ในความคิดของผม ผมคิดว่าซาโตอิจิเป็นพวกคนไม่ดีน "
คุณคิดจะทำภาพยนตร์ย้อนยุคอีกไหม
" มเริ่มมีไอเดียสำหรับภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่องต่อไปไว้บ้างแล้ว ผมอยากที่จะทำภาพยนตร์เกี่ยวกับ โชกุน ยกตัวอย่างนะมันอาจเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งมันคงต้องใช้ทีมงานที่ใหญ่มากๆ แต่ผมมองว่าตอนนี้ยังคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมมากนัก เพราะคงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งผมก็คงจะเขียนบทเตรียมเอาไว้เผื่อว่าสักวันที่โอกาสมาถึง ผมก็คงจะทำมันจริง "
ตัวละครที่ร่อนเร่และนักพนัน เป็นต้นกำเนิดของยากูซ่าหรือเปล่า
" ูกต้องเลย สำหรับคำว่า ยากูซ่า มาจาก 8, 9, 3 ที่เป็นเกมไพ่อย่างหนึ่งในอดีตก็คล้ายกับป๊อกเด้งนั่นแหละ ยากูซ่าก็เป็นกลุ่มคนที่พัวพันอยู่กับการพนัน ก็เลยอาจกล่าวได้ว่าตัวละครในภาพยนตร์เป็นเหมือนกับยากูซ่าในยุคแรก "
คุณคิดว่าดาบเป็นอาวุธที่ทรงเกียรติมากกว่าปืนหรือเปล่า
" นญี่ปุ่นสมัยศักดินา อาวุธปืนไม่ได้รับการยอมรับมากนัก และผู้ที่ใช้ในการต่อสู้ก็ถือว่าเป็นพวกขี้ขลาด ซึ่งผมก็ใช้อนี้เป็นการแสดงให้เห็นความขลาดของตัวละคร ในการดวลปืนคู่ต่อสู้สามารถที่จะยืนอยู่ในระยะห่างกันได้ แต่ในฉากการประลองดาบ คุณต้องอยู่ใกล้กันในระดับหนึ่ง จนมันดูเหมือนเป็นการเต้นรำ มันเป็นการยากที่แสดงการต่อสู้จริงๆ เมื่อคุณใช้ปื "
ช่วยอธิบายถึงการใช้ดิจิตอลเอ็ฟเฟ็กท์ในฉากการต่อสู้
ผมพยายามที่จะใช้ซีจีไอให้น้อยที่สุด และฉากที่ใช้มากๆ ก็เป็นฉากที่ต้องมีเลือดกระเซ็น แต่มันก็เป็นไปเพื่อทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดและรุนแรงอ่อนลง ผมแค่อยากให้มันออกมาดูแล้วนึกถึงวิดีโอเกมเท่านั้นเอง นอกจากนี้ผมยังใช้เทคนิคอื่นๆ เข้ามาช่วยด้วย เช่น การทำให้การแสดงออกมาดูเกินจริง อย่างเช่น การที่ซาโตอิจิกระโดดและม้วนตัว ทำให้การเคลื่อนไหวออกมาดูเกินจริง แต่ทั้งนี้ผมก็ไม่ได้อยากให้ภาพยนตร์ของผมออกมาดูเป็นภาพยนตร์กำลังภายในนะ
ทุกๆ ครั้งที่ผมได้รับการสัมภาษณ์ โดยเฉพาะจากสื่อต่างประเทศ ผมมักโดนถามเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรง ซึ่งผมว่าวิธีในการแสดงความรุนแรงของผมค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น เมื่องานมันโชว์ออกมา ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้น ผมไม่อยากให้คนคิดว่ามันเป็นแค่เกม เพราะว่าจริงๆ แล้วความรุนแรงเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด ผมมักถูกถามว่าผมชอบความรุนแรงหรือเปล่า ซึ่งผมมองว่ามันไม่ใช่ประเด็นเลย ถ้าคุณลองเทียบงานของผมกับภาพยนตร์อย่าง Die Hard คุณจะเห็นเลยว่าจำนวนคนที่ตายในภาพยนตร์ของผมค่อนข้างต่ำกว่ามาก"
ทำไมคุณตัดสินใจเลือก เคอิจิ ซูซุกิ สำหรับ Zatoichi
"ฉากเต้นแท็ปและฉากชาวนาในท้องทุ่งเป็นฉากที่ต้องการดนตรีแบบที่ให้จังหวะจะโคน ฉะนั้นดนตรีประกอบก็น่าที่จะมีส่วนผสมดังกล่าวอยู่ด้วย และคุณโจ ฮิซาอิชิก็ไม่ได้เป็นคนที่ยืดหยุ่นกับการทำดนตรีได้มากนัก ผมก็เลยตัดสินใจเลือกคนอื่นแทน"
ประหลาดใจไหมกับความสำเร็จของ Zatoichi
"พูดตามตรงแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกดีกับความสำเร็จของ Zatoichi มากนัก เพราะความสำเร็จอาจเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆ ได้ ในญี่ปุ่นผมไม่สามารถเดินตามถนนได้เป็นปกติอีกแล้ว เพราะว่าจะมีคนมาคอยทักผมและขอลายเซ็นอยู่ตลอดเวลา ผมก็เลยค่อนข้างชอบมากกว่าเวลาผมอยู่ในยุโรปหรืออเมริกา เพราะว่าไม่มีใครรู้จักผมที่นั่น ผมมั่นใจเลยว่าผู้อำนวยการสร้างคงรู้สึกดีมากๆ ที่มันประสบความสำเร็จ แต่ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ผมมีชีวิตที่สงบมากขึ้นเลย"
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งหรือเปล่าที่คุณไม่ค่อยถ่ายทำภาพยนตร์ในเมือง
"ใช่ ผมชอบที่จะถ่ายทำภาพยนตร์กับกลุ่มคนจำนวนไม่มากในที่เงียบๆ ห่างไกลๆ ในแง่หนึ่งตัวหนังก็ต้องการสถานที่ถ่ายทำดังกล่าว แต่ว่ามันก็จริงอยู่ที่ว่าถ้าหากผมถ่ายในโตเกียวแล้ว ผมคงไม่สามารถมีสมาธิกับงานของผมได้ เพราะจะต้องมีคนคอยทักและขอถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา"
ทำไมคุณถึงเลือก ทาดาโนบุ อาซาโน่ มารับบทเป็นคนคุ้มกัน
"อาซาโน่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชอบกับบทบาทต่างๆ ที่เขาได้รับ ผมคิดว่าเขาน่าจะได้ลองเล่นบทที่แตกต่างไป ผมก็เลยชวนเขามาลองอ่านบท และผมก็รู้สึกดีมากที่เขาก็ทำมันออกมาได้ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เอ่ยปาก แต่เขาก็ยังสามารถสื่อสารออกมาได้ คุณสามารถถ่ายโคลสอัพเขาได้นานถึง 2 เท่าเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับนักแสดงคนอื่นๆ"
คาซูโกะ ลูกสาวของคุโรซ่า รู้สึกอย่างไรบ้างบางฉากของ Zatoichi
"ตอนที่เราถ่ายฉากฝน ผมถามเธอว่า " ุณรู้สึกว่ามันเหมือนกับหนังของพ่อคุณบ้างไห " เธอก็ตอบว่า " ม่เล " จากนั้นตอนที่เราถ่ายฉากของเด็กโข่งที่เป็นบ้า ที่อยากเป็นซามูไร ผมก็ถามเธออีกว่า " ุณว่านี่มันเหมือนกับ Dodes'Kaden ไห " และเธอก็ตอบว่า " ม่เห็นจะเหมือนเล " (หัวเราะ) จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นการคารวะเขาหรอก เหมือนกับเป็นการอ้างอิงเล็กๆ เท่านั้น"