ธนกร เปิดใจ เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Fake โกหก...ทั้งเพ
ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Fake โกหก...ทั้งเพ เริ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อ 4-5 ปีก่อน โดยเริ่มแนวคิดของเรื่องมาจากนักแสดงนำในภาพยนตร์ รายชื่อของนักแสดง ได้แก่ เร แม๊คโดแนลด์, ลีโอ พุฒ และ เผ่าพล เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ต้า บาร์บี้) ถูกระบุไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม บทภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะแปลกตรงที่เริ่มวางโครงเรื่องจากนักแสดง เพราะธนกรอยากลองทำภาพยนตร์ที่ไม่ได้เน้นที่โครงเรื่อง แต่อยากลองสร้างเรื่องจากตัวละคร จากนี้ไป คือ บทสัมภาษณ์ ธนกร เกี่ยวกับเบื้องหลังการทำภาพยนตร์เรื่อง Fake
ผู้กำกับที่คุณเคยทำงานด้วยมาก่อนอย่าง อ๊อกไซด์ แปง และ กิตติกร เลียวศิริกุล มีอิทธิพลอะไรต่องานหรือวิธีคิดของคุณบ้าง
"ผมรู้สึกโชคดีที่ได้มีโอกาสทำงานกับผู้กำกับเก่งๆ หลายคน ผมเข้าทำงานในกองถ่ายเป็นเรื่องแรก คือ เกิดอีกที ต้องมีเธอ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วกับ พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ครับ ตอนนั้นผมทำตำแหน่งรีพอร์ตเตอร์ (จดบันทึกการถ่ายทำ) หลังจากที่ได้ทำหนังมาอีกหลายเรื่อง จึงได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับของพี่เรียว กิตติกร และ อ๊อกไซด์ แปง ในเวลาต่อมา ทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนเก่งของวงการเลยทีเดียว ซึ่งการทำงานในกองถ่ายดังกล่าวฝึกฝนผมในแง่ของงานผู้ช่วยผู้กำกับ ซึ่งเป็นงานที่หินมากๆ แต่สำหรับในเรื่องของอิทธิพลของการทำหนัง ทางด้านภาพ ทางด้านการกำกับ ผมไม่รู้ว่าผมได้รับอิทธิพลจากใครมาหรือเปล่า แต่ผมจะชื่นชอบในผลงานของผู้กำกับอย่าง เดวิด ฟินเชอร์, หว่องกาไว, ไมเคิล เบย์, เป็นเอก รัตนเรือง เป็นต้นครับ
ดูจากภาพบางส่วน มีความรู้สึกว่าคุณน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากมิวสิกวิดีโอบ้าง ไม่มากก็น้อย
" มยอมรับว่าผมชอบดูมิวสิกวิดีโอ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้จะดูมากเท่ากับการดูหนัง อาจเป็นได้ที่งานด้านภาพของผมดูคล้ายกับมิวสิกวิดีโอ ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องน่าอาย ถ้าเราจะยอมรับมัน เพราะว่าเราเติบโตขึ้นมาในยุคของมิวสิกวิดีโอจริงๆ
ผมยอมรับว่าผมได้รับอิทธิพลจากงานของหว่องบ้าง จากของฟินเชอร์บ้าง บางทีผมเรียกหนังตัวเองว่าเป็น หนังแบบฟินเชอร์อกหัก ซึ่งผมคิดในใจว่ามันอาจจะเป็นงานหว่องผสมกับฟินเชอร์อะไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องของเจนเนอเรชั่นครับ อย่างหว่องก็โตมากับการดูหนังอาร์ตของยุโรป ผมก็โตมากับงานของเขาเหมือนกัน ดังนั้นจะว่าไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องของการกลั่นและบ่มมาเป็นทอดๆ อีกที จากรุ่นปู่สู่รุ่นพ่อและมาถึงรุ่นลูกอย่างผม ผมว่าสุดท้ายมันเป็นเรื่องของ พันธุกรรมทางภาพยนตร์ ครั "
หนังของคุณเล่นกับสี 3 แบบอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ทราบว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Hero หรือเปล่า
" อเดียเรื่อง 3 สี 3 คาแร็กเตอร์นี้ ผมเคยคิดและเขียนไว้นานแล้วครับ ก่อนหน้าที่ผมจะได้ทำหนังเรื่องนี้กับสหมงคลฟิล์ม ผมเคยยื่นโปรเจ็กต์เรื่องนี้กับฟิล์มบางกอกไว้นานแล้ว ประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เขาเริ่มเปิดบริษัทใหม่ๆ ซึ่งใน Proposal ที่ผมเสนอไป ก็เป็นนักแสดง 3 คนนี้ เรื่องนี้และโปรดักชั่นดีไซน์นี้ (หนัง 3 สี) ตั้งแต่แรกแล้วครับ ที่ตั้งใจจะทำเป็น 3 สี และแต่ละพาร์ตก็จะมีแนวทางที่แตกต่างกันไป ส่วนเรื่อง Hero ผมเพิ่งได้ดูเมื่อกลางเดือนมกราคม ซึ่งหนังเราได้ถ่ายทำไป 90 % แล้วครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบเลยด้วยซ้ำว่าเขาเล่นสีกันขนาดนั้น มารู้เอาก็ตอนดูหนังตัวอย่าง Hero"
หนังของคุณเป็นหนังแนวไหนกันแน่ เห็นมีทั้งฉากเหนือจริง โรแมนติก คอมิดี้ และยังมีแอ็กชั่นอีกด้วย
"หนังผมเป็นหนังโรแมนติกคอมิดี้ครับ ที่พูดถึงเรื่องของความรักของคนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นเป็นฉากเพียงส่วนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการเล่าเรื่องครับ"
หนังของคุณพูดถึงเรื่องอะไร เพราะจะว่าไปแล้ว มันเป็นหนังในตระกูลไร้โครงเรื่อง
"ผมเพียงแต่อยากจะเล่าถึงเรื่องของผู้ชาย 3 คนที่มีประสบการณ์ในด้านความรักที่แตกต่างกัน และนอกจากนี้ผมอยากจะเล่าถึงบรรยากาศของกรุงเทพฯ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ผมอยากจะพูดถึงมันแบบไม่ได้พูดตรงๆ อยากพูดถึงบรรยากาศของมันแบบที่มันเป็นจริงๆ และในแบบที่ผมรู้สึก มันอาจจะไม่ได้มีเนื้อหาอะไรที่ลึกซึ้งนัก เพราะผมไม่ได้ต้องการที่จะนำเสนอมันออกมาแบบซีเรียส จริงจัง กรุงเทพฯ อาจจะเป็นตัวละครตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้ นอกเหนือจาก เบ โป้ ซุง และปวีณา เป็นตัวละครที่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง และมันก็มีบทสนทนาของตัวมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปเขียนให้
ผมไม่อยากจะบอกเท่าไหร่นัก เพราะมันอาจจะจงใจเกินไปที่จะไปบอกกับคนดูหรือนักวิจารณ์ว่า ผมรู้สึกว่าปวีณา (นางเอก) ก็คือกรุงเทพฯ นั่นเอง เราอาจจะรักเธอและอยากให้เธอรักเรา บางทีเธอก็อาจจะรักเรา เอ๊ะ หรือไม่นะ แต่สุดท้ายแล้วเราไปกำหนดกฏเกณฑ์อะไรเธอไม่ได้ และที่สำคัญเรามีความหวังกับเมืองพอๆ กับที่พระเอกในหนังมีความหวังกับเธอ ถ้าคุณดูหนัง คุณจะเห็นว่าตัวละครทั้ง 3 คนเป็นคนหนุ่มวัย 20 ต้นๆ ซึ่งไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เป็นคนหนุ่มที่เรียนจบและอยู่ในวัยทำงาน แต่ทั้ง 3 คนก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตของตนจะดำเนินไปทางไหน ถึงแม้บางคนจะมีงานทำ แต่ก็ไม่มีความมั่นคงนัก คือมันมีทั้งความเคว้งคว้างและความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะตกงานเมื่อไหร่ พรุ่งนี้จะมีงานต่อไปมั้ย ผมเองก็กลัวเหมือนกัน มันเป็นความกลัวของคนรุ่นนี้นะผมว่า ทีนี้ถ้าเราไปเล่าตรงๆ มันก็จะแข็งและดูจงใจเกินไป ก็เลยเล่าอ้อมๆ เล่าผ่านบรรยากาศของเมืองและประสบการณ์ความรักของคนทั้ง 3
ผมไม่ได้อยากทำหนังเครียด ไม่ได้อยากทำหนังส่วนตัว ผมอยากทำหนังสนุก และก็หวังว่าคนอื่นจะสนุกไปกับผมได้ด้วย"
บทหนังเรื่องนี้ได้แนวคิดมาจากไหน
"ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ว่าอยากจะเล่าเรื่องของตัวละครชาย 3 ตัวนี้ เบ โป้ ซุง โดยที่ทั้ง 3 ตัวนี้จะต้องรับบทโดย เผ่าพล, ลีโอ พุฒ และ เร บางส่วนของบท ผมดัดแปลงจากคาแร็กเตอร์ของนักแสดงทั้ง 3 โดยที่ผมเก็บข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของพวกเขา ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างในหนังจะเป็นความจริงตรงตามชีวิตเขา เพียงแต่ว่าเราดัดแปลงมาว่าถ้าคาแร็กเตอร์จริงๆ เป็นแบบนี้แล้วเราหาเรื่องมาให้ ตัวละครในหนังมันน่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในหนังมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ สนุกๆ เบาๆ ที่อาจขึ้นในชีวิตประจำวันของใครก็ได้ แต่มันก็ไม่เหมือนชีวิตจริงเสียทีเดียว เพราะมันยังเป็นหนังครับ!"