วิจารณ์ The Hurt Locker
-
Watchmen_Since_1985 (เลขที่ 296622) เมื่อ 18 มี.ค. 54 19:46
สิ่งเดียวที่ผมเสียดายสำหรับหนังเรื่องนี้คือ...ไม่น่าดูช้าเลย...
ทีแรกที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ความรู้สึกคือ หนังคงไม่ดีเท่า อวตาร แน่ๆ เลยถูกมองข้ามไป แต่ผมเพิ่งมีโอกาสรื้อตู้เก็บของมาแล้วเจอหนังเรื่องนี้อยู่ก้นบึ้งของตู้(ปิดเทอม เก็บของเข้าที่น่ะ)แถมลืมไปแล้วว่าซื้อมา เลยตัดสินใจพิสูจน์ความเป็นออสการ์ ที่หนังได้รับ ด้วยความรู้สึกที่คงงั้นๆแหละ
แต่พอได้ดู แม่เจ้า หนังทั้งเครียด กดดัน ลุ้นระทึกสุดๆ เป็นหนังที่คุณดูแล้วไม่อยากคาดเดาเลยว่าจะเป็นยังไงต่อไป ระเบิดวางอยู่ตรงหนัา โดยที่คุณไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไร กู้ระเบิด นั่นคือหน้าที่ของพวกเค้า
ดูแล้วรู้สึกตื้นเต้นมากๆ หายใจไม่ทั่วท้องเลย ลุ้นระทึกตลอด อารมณ์ลุ้นๆประมาณดูหนังผีเลยครับ คือเราคอยลุ้นว่า เฮ้ยจะกู้สำเร็จหรือเปล่า จะตายไหมนะ สมกับคำสรรเสริญหนังที่ว่า เป็นหนังสงครามที่ดีที่สุดที่เคยมีการสร้างขึ้นเลย ที่สำคัญ ผู้กำกับ เป็นผู้หญิงซะด้วย
หนังเปิดเรื่องมาได้ดีมากๆ ทำให้เรารับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เราต้องพบเจอกับอะไร หนังพูดถึงสงครามืี่ไร้สาระ แต่คนที่อยู่ในแถบนั้นก็รู้สึกชินชากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ภารกิจของพวกเขาคือช่วยชีวิตคนจนวินาทีสุดท้าย ความกล้า ความบ้าบิ่น ของตัวละครทำให้เราลุ้นระทึกตลอดเวลา ไม่อาจจะคาดเดาได้ ในสนามรบเขาเป็นฮีโร่ แต่ที่บ้านเขาเป็นแค่สามัญชนธรรมดา เขาจึงเลือกที่จะเป็นฮีโร่มากกว่า ดูจบแล้วรู้สึกอิ่มมากๆ
หากเทียบกับ อวตารแล้ว ผมคิดว่า เรื่องนี้นำเสนอได้ดี จริงจังกว่า รับรู้ได้ถึงอารมณืสงครามจริงๆราวกับอยู่ในเหกตุการณ์จริง
ไม่น่าแปลกใจที่หนัีงได้ ออสการ์ มาครอง
ให้ 9.5/10 เลยคับ พยายามหาที่ติแล้วล่ะมีแค่อย่างเดียวเลย ระทึกเกินไปแล้ว พี่จ๋า -
Broken_Silencer (เลขที่ 254509) เมื่อ 8 ธ.ค. 53 13:35
หนังเรื่องนี้ นำเสนอด้านอารมณ์ ความรู้สึก ความกดดันหรือความกลัวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม สงครามส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของทหาร ความกลัว ความหวาดระเเวง การไม่ไว้ใจ ตลอดการที่ทำให้ทหารรุ้สึกเสพติดในความเต้นของสงคราม จนกลายเป็นคนที่ชอบการทำสงครามเป็นชีวิตจิตใจ สะท้อนให้เห็นอคติของคนท้องถิ่นที่มีต่ออเมริกา ปฏิกิริยาตอบโต้ของคนท้องถิ่น จะดูก้าวร้าว ภาพ+เสียงสมจริงมากๆ เเต่ยอมรับว่าส่วนตัวก็ไม่สามารถเข้าใจในสิื่่่่งที่หนังพยายามจะสื่อทั้งหมด บางอย่างก็งงว่าหนังจะสื่ออะไร เเต่โดยรวมเเล้วถือว่าเป็นหนังที่ดี เเต่น่าจะมีหนังเรื่องอื่นที่คู่ควรกับออสการ์มากกว่านี้นะั ให้ 8.5
-
'มนุษย์ (เลขที่ 230991) เมื่อ 4 ก.ย. 53 09:21
หนังดำเนินเรื่องไปแบบเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยแงคิดหลายๆอย่าง
หนังทำออกมาต่อต้านสงครามอย่างเห็นได้ชัด
คือผู้กำกับต้องการสื่อให้เห็นว่าการที่สหรัฐส่งทหารเข้าไปเนี่ย คนที่นั่นเข้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ขนาดมีระเบิดกันตูมตามแต่คนที่นั่นก็ทำเหมือนปกติมากๆ
อย่างเช่นตอนที่พระเอกไปช่วยปลดระเบิดที่ล๊อกกับตัวคนแล้วพระเอกโดนแรงระเบิดไปด้วย แต่พอลืมตาขึ้นมาก็ยังเห็นชาวบ้านเล่นว่าว ซึ่งมันดูไม่น่าตื่นเต้นตกใจสำหรับเค้านั่นเอง
หนังแฝงอะไรดีๆไว้หลายอย่าง เรื่องนี้ชอบมาก
ไม่ได้มันส์อะไรแบบบ้าระห่ำ แต่เต็มไปด้วยแง่คิด ดีจริงๆ -
MaCz (ไม่ได้เป็นสมาชิก) เมื่อ 5 ส.ค. 53 18:45
หนังก็ดีนะ แต่มันอืดจนชวนหลับ
-
Andy (เลขที่ 275948) เมื่อ 29 พ.ค. 53 10:09
เพิ่งได้ดูจากแผ่น DVD เมื่อวานนี้ครับ สนุกดีครับ ตื่นเต้นดี บทก็ดี คนเราชอบทำนู้น ทำนี่ต่างๆกัน ชอบเดินห้าง ชอบดูหนัง ชอบนวด แต่พระเอกเรื่องนี่แจ่ม ชอบสงคราม เหมือนประโยคแรกที่หนังขึ้น War is a drug สงครามเหมือนยาเสพติด บรรยากาศหนังก็สมจริง สมจัง แต่ผมว่าถ้าเทียบกับ Avatar ยังไงๆ Avatar ก็น่าจะได้ออสการ์มากกว่านะ ?
-
filmalmost (เลขที่ 273175) เมื่อ 16 มี.ค. 53 11:11
โดยส่วนตัว ชอบนะเพราะมันมีช่วงที่ทำได้ให้เราลุ้นดี มุมกล้องนี้อินดี้มากมาก คงตั้งใจให้สถานการณ์ดูสมจริง หนังมันอาจไม่ได้ยิงกันตูมตาม แต่ก็มีสไตล์โดดเด่น โดยร่วมก้อถือว่าคุ้มดีครับ ได้เข้าไปดูความบ้าของพระเอก
-
[Love]'o'[P].[G]. (เลขที่ 216851) เมื่อ 14 มี.ค. 53 16:15
ขอบอกได้คำเดียวว่า ถ้าไม่ได้ดู เรื่อง GAMER (ที่มีดีแค่ เพลง Sweet Dream ใน Trailer ) มาก่อนละก็
หนังเรื่องนี้ คงเป็นหนังที่น่าผิดหวังที่สุดแห่งปีสำหรับผมเลยก็ว่าได้
ผมเป็นคนที่เกลียดหนังทุนสร้างสูงๆ แต่ไร้คุณภาพ ( เช่น Nania )
และ ก็เกลียดหนังโปรโมทด้วย ( เช่น จากผู้สร้างนี้ จะผู้กำกับนั้น )
แต่ผมก็เลือกที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะผมชอบดูหนัง ที่น่าจะมีอะไรคุ้มค่ากับ เวลา และ ค่าตั๋วเข้าชม
ผมดูแม้กระทั้ง การกำกับภาพ การกำกับศิลป์ การกำกับเสียง บทภาพยนต์ การแสดง รวมไปถึง ความเป็นไปได้ของหนัง
เรียกได้ว่า การเข้าไปดูหนัง 2 ชั่วโมงของผมแต่ละครั้ง ผมจะต้องเก็บมาให้ได้ครบ และคุ้มที่สุด
แต่กับหนังเรื่องนี้ บอกได้คำเดียวว่า หนังกระแส (ในสายตาผม)
บทอ่อนมาก กำกับภาพก็ไร้แก่นสาร (ตอนยิงปืนสู้คนในบ้านกลางทะเลทราย จะสโลว์ภาพทำไมครับ เพราะภาพต่อจากนั้นก็ไม่ได้เข้ากับภาพที่สโลว์ก่อนหน้าเลย หรือพี่จะเอาแค่สวย แบบนั้นมันมิได้นำพาหรอกครับ เพราะ The Lord of The Ring ก็เคยใช้ภาพสโลว์แบบไร้แก่นสาร จนโดนวิจารณ์ยับมาแล้วครับ) ความน่าจะเป็นไปได้ก็น้อย (หรือที่เรียกว่า เวอร์กว่าความเป็นจริง ซึ่งตรงข้ามกับคำที่คุณบอกว่า นำเสนอชีวิตที่เราไม่เคยเห็นของพวกเค้า เพราะพวกเค้าดูแล้ว ยังบอกว่า เว่อร์ จนเรียกว่า นี่เป็นแค่ภาพยนต์เรื่องหนึ่ง เท่านั้น)
ที่บอกว่าบทอ่อนตรงไหนน่ะหรอครับ จะขอยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆหน่อยละกันนะครับ
1. ฉากกู้ระเบิดครั้งแรกนั้นมีระเบิด 1 ลูกแต่จุดชนวนด้วย โทรศัพท์มือถือ แต่พอการกู้ระเบิดครั้งแรกของพระเอก ซึ่งมีเยอะมาก เรียกว่า ล้อมตัว เลยที่เดียว ซึ่งเป็นการวางระเบิดแบบหวังผลแน่ๆ กลับจุดชนวนด้วยถ่านไฟฉายที่ต้องต่อด้วยมือเอง สรุปคนวางระเบิดโง่ หรือ คนเขียนบทลืม ซึ่งส่วนนี้สวนทางกับบทหลักของเรื่อง ที่พยายามเสนอการลอบวางระเบิดที่มีเทคนิค และรูปแบบที่รุนแรง และแยบยลขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการสะดุดของความคิด จนดูเหมือนกราฟแทนที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นขึ้นๆลงๆจนลดความเข้าถึงตัวหนังไป
2. ความมุทะลุ ขึงขัง ของเพราะเอกนั้น เรียกได้ว่า เกินความจริงกว่าที่จะรับได้ของทีมกู้ระเบิดเลยล่ะครับ ทีมกู้ระเบิดถูกฝึกมาให้มีระเบียบวินัย และเห็นความปลอดภัยของผู้อื่นเป็นสำคัญ (เพราะไม่งั้นจะมากู้ทำไม ปล่อยให้มันระเบิดไปเองไม่ดีกว่าหรอ ถ้าไม่คิดว่าผู้อื่นจะได้รับอันตราย) สาเหตุที่ผมคิดแบบนี้ เพราะผมเคยทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา ในอำเภอที่มีการลอบวางระเบิด และเคยคุยกับเจ้าหน้าชุดเก็บกู้ระเบิดมากับตัวครับ
3. การละทิ้งเนื้อหา หรือสิ่งหลักที่เคยเน้นมาก่อนหน้านี้ก็ทำแบบเลื่อนลอยมาก ถ้าใครดู Transformer 2 คงจำเจ้าหุ่นรถกระป๋องที่มาดึ้บๆขานางเอกได้นะครับ มันหายไปซะดื้อๆ ตอนมาถึงทะเลทราย ซึ่งรับไม่ได้มากๆ คนดูไม่ได้โง่นะครับ ที่จะจำไม่ได้มันได้หายไปแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉากที่พระเอกกู้กล่องจุดขนวนที่อยู่ในรถเก๋งนั้น หนังได้สโคปให้เราลุ้นกับเหตุการณ์นี้นานมากจนเราก็ลุ้นไปกับเค้าด้วย แต่พอเจอปุ้บ ลองไปจับเวลานะครับ เค้าถ่ายภาพเจ้ากล่องที่อาจฆ่าพระเอก ผู้ช่วยพระเอก ร่วมถึงอีกหลายชีวิตแค่ไม่กี่วินาทีที่มันหล่นลงพื้น แล้วก็กลายเป็นว่ามันได้มาอยู่ในกล้องใต้เตียงพระเอกซะแล้ว บอกได้เลยครับว่า มันขัดอารมณ์สุดๆ ที่ทิ้งภาพไปอย่างไม่คิดถึงอารมณ์คนดู หนำซ้ำยังกลับทำให้ตัวหนังเองไร้แก่นสารเข้าไปอีก
เอาแค่ 3 ส่วนนี้ มันก็บอกได้แล้วครับ ว่าความพยายามของหนัง กับบทที่ออกมาก็สวนทางกันแล้วครับ แล้วแบบนี้ยังจะเอาจุดขายเรื่องความสมจริงกว่าที่เรื่องใดเคยทำมามาเป็นจุดขายอีกหรือ
สำหรับผมบอกได้คำเดียวว่าจุดขาย คือ ผู้กำกับที่เคยเป็นภรรยาของตัวเตร็งในปีนี้ ครับ ซึ่งผมมองว่าผู้กำกับคนนี้ ถูกวางให้เป็นหมากตัวหนึ่ง ที่จะจูงใจให้คนสนใจการประกาศรางวัลในปีนี้มากขึ้น ผู้ชมจะเหมือนดูละครหลังข่าวที่ผัวเมียจะมาแข่งกันดังหลังจากแยกกันไป (เหมือนว่าขาดเธอ ฉันก็เจอสิ่งที่ดีกว่า อะไรประมาณนั้น) เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้ ทุกคนก็ต้องเดาได้เลยว่า Avatar จะต้องอย่างนอนมา (แต่สำหรับผม ผมเชียร์ District 9 ใจขาดดิ้น) จนอาจทำให้ทุกคนรอเช็กผลเอาทางอินเตอร์เน็ตภายหลังก็ได้ ซึ่งย่อมไม่ดีกับเรตติ้งออกอากาศของ Oscar แน่ๆ
และผมเองก็เกิดวันที่ 9 มีนาคม ทำให้พูดได้เลยว่า ผู้กำกับคนนี้ได้แน่ๆ ก็เพราะเธอเป็นผู้หญิงไงครับ เลยต้องให้ เพื่อเข้ากับกระแสของวันสตรีสากล คือ วันที่ 8 มีนาคม ซึ่งถ้าใครทราบประวัติของวันนี้ ก็จะทราบว่าน่าเชิดชูเกียรติผู้หญิงที่ออกมาประท้วงกันขนาดไหน และนี่ก็เป็นโอกาสทองที่อาจจะทำให้ Oscar ได้เรตติ้งในสายตาประชาชนกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่โดนถล่มเละที่ The Dark Knight ไม่ได้เข้าชิง Oscar (ตอนนั้นทำเอาผมอกหัก เกลียด Oscar ไปหลายวันเหมือนกัน)
ภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นเพียง หนังตลาดที่สร้างกระแสเท่านั้นในสายตาผม หาใช่ความแปลกใหม่ใดเลยในวงการภาพยนต์ (เพราะรูปแบบการลอบวางระเบิดในหนังเรื่องนี้ ทุกรูปแบบนั้นเราจะเคยรับรู้ผ่านสื่อมาแล้วทั้งสิ้น ทำให้จุดแข็งในแง่นี้ ที่หนังเรื่องอื่นจะนำมาเสนอเพียงแบบ หรือ 2 แบบนั้น ยังไม่แข็งพอนั่นเอง)
อยากให้ผู้กำกับคนนี้ กลับไปฝึกฝีมือ และมุมมองให้มากกว่านี้อีกนิด จะได้ไม่ทำหนังที่หลอกคนดูแบบนี้ เพราะถ้าดูแต่เปลือก นี่อาจจะดูดี แต่ถ้าเจาะลึกลงไปแบบจุดต่อจุดแล้ว นี่ไม่ได้ให้อะไรกับผู้ชมเลยแม้แต่น้อย
แต่ Oscar ปีนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังซะทั้งหมดหรอกครับ ผมดีใจที่ Up และ District 9 รวมถึง Inglorious. ได้เข้าชิงสาขาภาพยนต์ เพราะ 3 เรื่องนี้ คือ หนังดีแห่งปีเลยครับ (ยกเว้น Inglorious. ถ้าเรื่องนี้ไม่มี Brad Pitt หนังคงจะเลื่อนไหลไม่สะดุดกว่านี้) -
joi (ไม่ได้เป็นสมาชิก) เมื่อ 10 มี.ค. 53 12:50
ไหงลบโพสของผมออกไปหล่ะครับ
-
EnriqueIglesias (ไม่ได้เป็นสมาชิก) เมื่อ 9 มี.ค. 53 16:19
ชื่นชมผู้กำกับครับ เก่ง เจ๋ง และสมควรได้ออสการ์ผู้กำกับ (แหะๆๆๆๆ ไม่ได้อวยจนน่าเกลียดใช่เปล่า) หนังแมนมาก เข้มข้นด้วยเนื้อหา ทีท่าที่นำเสนอ ได้ทั้งความเรียล+ลุ้น+ช็อคในบางฉาก ทำเอาอึ้ง+ทึ่ง+หลอนไม่น้อย กู้ระเบิด vs ชีวิตคู่ 2 อย่างนี้เสี่ยงพอๆกันนะผมว่า>>>??
-
max25 (ไม่ได้เป็นสมาชิก) เมื่อ 6 มี.ค. 53 19:49
หนังเพิ่งเข้าเมกาเมื่อ 2009 ครับ ส่วนประเทศอื่นเข้าแต่ กันยา 2008 แล้ว
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+
advertisement
วันนี้ในอดีต
เด็กหอเข้าฉายปี 2006 แสดง จินตหรา สุขพัฒน์, ชาลี ไตรรัตน์, ศิรชัช เจียรถาวร
Constantineเข้าฉายปี 2005 แสดง Keanu Reeves, Rachel Weisz, Shia LaBeouf
Million Dollar Babyเข้าฉายปี 2005 แสดง Clint Eastwood, Hilary Swank, Morgan Freeman
เกร็ดภาพยนตร์
- The SpongeBob Movie: Sponge Out of Water - ภาพยนตร์นี้อุทิศให้แก่ เออร์เนสต์ บอร์กไนน์ ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2012 ผู้พากย์เสียง เงือกชาย ใน SpongeBob SquarePants (1999) อ่านต่อ»
- Demonic - ประกาศสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยชื่อ House of Horror เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2011 โดย เจมส์ วาน รับหน้าที่อำนวยการสร้าง อ่านต่อ»
เปิดกรุภาพยนตร์
Underwater
ทีมงานของสถาบันวิจัยทางน้ำได้รับความปลอดภัยหลังจากเกิดแผ่นดินไหวทำลายห้องปฏิบัติการใต้ดินของพวกเขา แต่พวกเขาต้องมาเจอกั...อ่านต่อ»