วิจารณ์ ความสุขของกะทิ

วิจารณ์ภาพยนตร์
  • เมื่อ 15 ม.ค. 52 16:17

    ความสุขของกะทิ ( หนึ่งดาวครึ่ง )

    หนังเรื่องนี้ชื่อว่า ความสุขของกะทิ มิใช่ความสุขของคนดูนะจ๊ะ ... ย้ำ ....
    หนังเรื่องนี้คือมุมมองของหนูกะทิ หาใช่มุมมองที่จะพาคนดูไปพบความสุขแต่อย่างใด แน่นอนที่สุดว่าแม้มุมมองของคนส่วนใหญ่อาจจะไม่พบความสุข ความบันเทิง หรือคุณค่าใดๆก็ตามในหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้หมายความ มนุษย์ทุกคนที่ชม หรือเสพหนังเรื่องนี้ จะไม่ได้รับมุมมอง ไม่ได้รับความหมายดีๆไปซะทุกคนไป อาจจะมีคนจำนวนนึง มากหรือน้อยผมไม่ทราบ ที่อาจจะเก็บเกี่ยวอะไรบางอย่าง ไปจากหนังเรื่องนี้ มันก็เป็นได้ครับ ??

    กะทิเป็นใคร ?
    กะทิเป็นเด็กสาววัยกระเตาะ ผู้มีชีวิตอยู่ในชนบท กับตาและยาย
    ตาและยาย ทำไมไม่พูดถึงแม่ของกะทิ หรือพ่อของกะทิให้หนูน้อยฟังเลย

    ครับ ใช่ มันมีที่มา และเหตุผลทั้งหลาย ก็มีการเฉลยสิ้นในท้ายของเรื่อง

    ทว่าเหตุผลทั้งหมดนั้นดูยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้น ยากต่อการทำความเข้าใจ ชวนแก่การงุนงงว่าทำไมครอบครัวนี้จะต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ทำไมเหตุผลในการดำเนินชีวิตของครอบครัวนี้ถึงได้ประหลาดพิศดาร ทั้งการใช้ชีวิต ทั้งแนวคิด การแสดงออก ฯลฯ ทุกๆอย่างอ่ะครับ มันเหมือนไม่ใช่ชีวิตจริงๆของคนจริงๆครับ พูดไม่ถูก มันเหมือนเราดูชีวิตของหุ่นขี้ผึ้ง หรือมนุษย์ทดลอง หรือหุ่นยนต์ หรืออะไรสักอย่าง ที่มันไม่ได้จำลองขึ้นมาจากชีวิตคนจริงๆครับ

    หนังจำแนกและแบ่งเป็นตอนๆ คล้ายๆ หนังสือที่แบ่งเป็นบทๆ โดยมีข้อความอธิบายความรู้สึกแต่ละช่วงละตอน วิธีนี้อาจจะได้ผลถ้าทำให้ถูกจังหวะ และมีการเล่าเรื่องที่สะท้อนเหตุการณ์เป็นช่วงๆได้อย่างลงตัว ( ขอยกตัวอย่าง หนังเรื่อง Breaking the waves ที่ใช้วิธีนี้ได้อย่างทรงพลัง ) แต่หนังเรื่องกะทินั้น มันใช้วิธีนี้ทำไมครับ เลียนแบบนิยายเหรอ ? เล่าเรื่องต่างๆเป็นภาพให้คนดูเข้าใจไม่ได้เหรอครับ ต้องเอาตัวหนังสือยัดใส่คนดูเหรอ ?

    ถ้าหากหนังเฉลยว่า คุณหนูกะทิ เป็นเชื้อสายจากชนชั้นสูง หรือเป็นทายาทมหาเศรษฐี ผมจะไม่แปลกใจเลย แต่นี้ดูเหมือนว่าครอบครัวของกะทิก็เป็นเพียงแค่ปัญญาชนระดับกลางๆที่ไม่น่าจะมีเงินมีทองมากมาย แต่ทำไมการดำรงชีวิตต่างๆถึงได้ดูหรูหราไฮโซปานนั้น บ้านพักริมทะเล คอนโดหรูหรากลางเมือง บ้านทรงไทยระดับหลายล้านกลางชนบท ฯลฯ ประทานโทษ ครอบครัวนี้ทำมาหากินอะไรกันเหรอครับ เป็นทนายเมืองไทยนี่รวยขนาดนี้เลยเหรอ ?? แล้วคำสอนต่างๆไม่ว่าจะเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย การรุ่งเรืองแตกดับอะไรเนี่ย ผมก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรมากไปกว่าการยัดคำพูดเข้ามาโต้งๆ

    ผมรู้สึกเองว่าหนังเรื่องนี้เป็นมุมมองชีวิตแบบพอเพียง จากสายตาของคนชั้นสูง ของคนที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าคนเขียนเรื่อง / บท เข้าใจชีวิต และความเป็นไปของชีวิตอย่างถ่องแท้แล้วเหรอ ก่อนจะกลั่นออกมาเป็นภาพและเรื่องราวอย่างนี้ !! เอ หรือว่าคณะกรรมการตัดสินนวนิยายเรื่องนี้ ก็มาแนวคิดแบบเดียวกัน เค้าถึงได้ยกย่องคนที่คิดเหมือนๆกัน ผลก็เลยเป็นรางวัลอย่างที่เราเห็นๆกัน ถ้าเป็นคนอ่านระดับรากหญ้า จะมองเห็นภาพเหมือนอย่างที่ " กลุ่มคนมีเส้น " หรือ " กลุ่มชนชั้นสูง " เหล่านี้รู้สึกหรือไม่ ... ผมแค่สงสัย ....

    บทหนังเหรอครับ ? อืมย์ ผมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมชาติของบทสนทนา หลายฉากนั้นผมถึงกับพูดกับแฟนเลยว่า นี่มันคำพูดของคนปกติเหรอเนี่ย ยังกะภาษาเขียน ? หลายฉากของหนัง ไม่เหมือนภาษาหนัง แต่เหมือนภาษาภาพของละครเวที อาศัยองค์ประกอบภาพเก๋ๆ แต่ไม่สามารถรองรับตัวเรื่องแบบนี้ได้อย่างเหมาะสม ที่แย่ที่สุดคืออารมณ์หนังมันไม่ได้

    แถมหนังเรื่องนี้คือหนังปลายเปิดอย่างแท้จริง แต่จะเปิดไปทำไม เปิดไปถึงใหน แล้วความสุขของกะทิคืออะไร ? กะทิจะได้ไปอยู่กับใคร แล้วอาหลาน แฟนลุง มีความสัมพันธ์อย่างไรกับครอบครัวนี้ เค้ามาทำดี เพียงเพราะเป็นหน้าที่ ? หรือว่าต้องการผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ( เพราะมันแสดงออกโจ่งแจ้งเหลือเกิน ) ทำไมตายายกะทิ ถึงไม่ย้ายไปอยู่ใกล้ลูกสาวทั้งๆที่ป่วยหนัก คือมันไม่มีเหตุผลอ่ะครับ พ่อแม่ลูก ถ้ารักใคร่กันดี ไม่ได้ทะเลาะกัน ถ้ารู้ว่าลูกป่วย จะปล่อยให้ลูกไปอยู่ไกลตัวเหรอครับ ? แล้วพ่อของกะทิล่ะ ?? มันเกิดอะไรขึ้นเค้า จะให้คนดูไปเปิดลิ้นชักอ่านเหมือนกะทิเหรอครับ ?? ขนาดแฟนผมดูหนังง่ายๆนะ ดูอะไรๆก็สนุก เจอหนังเรื่องนี้เข้าไปยังด่าเช็ดเลยครับ รู้สึกอายยยังไงก็ไม่รู้ เลือกมาดูหนังเรื่องนี้

    ป.ล. ขนาดได้ดูหนังฟรี รอบเช้าวันเด็กนะครับเนี่ย ผมยังรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ ถ้าเกิดต้องตีตั๋วหนัง 120 บาท เข้าไปดูเนี่ย ผมร้องไห้แน่ๆ ....

  • เมื่อ 15 ม.ค. 52 10:12

    จ๊ะ ไม่หลับก็บุญแล้ว หนังอาร์ต ภาพสวยมากมาก

    8 / 10

  • เมื่อ 13 ม.ค. 52 23:40

    คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น ผมดูมาแล้ว รอบพิเศษ
    ไม่ได้หวังหรืออะไรมาก แต่เคยได้ยินว่าเป็นหนังสือ ที่ได้รางวัลซีไรท์มาก่อน เลยแอบสนใจนิดๆ หนังเรียบเอื่อย ผมอาจจะเสพติดความเร็ว แต่พอมาดูเรื่องนี้ ก้ไม่ถึงกับเลวร้าย แล้วก็ไม่ถึงกับสนุกจ๊าก ผมเข้าใจถึงหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ผมก็เกิดมาโดยยายเลี้ยง แม่ก็หายไปตั้งแต่เด็กๆเหมือนกัน ยายก็มีวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน วิถีชีวิตแบบนั้นแหละครับ ที่สั่งสมมากับผม และเมื่อผมมาเจอแม่ในตอนโต มันคนละอย่างกับที่เคยอยู่กับยาย

    คุณเคยฟังเสียงตำครกที่คุ้นเคย กับเสียงขูดกะทิของยายกันไหม?
    หรือคุณซื้อกะทิกล่องแบบที่แม่คุณทำให้?

    จุดหลัก และจุดรองหลายอย่างอย่างที่คนวิจารณ์บอก มีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่แค่ตอนเดียว คือตอนกะทิวิ่งร้องไห้ที่วิจารณ์ว่าซึ้งสุด ..ผมไม่เข้าใจว่า ม้ามาจากไหน แล้วมันจะสื่อถึงอะไร มาจากทะเล งงมาก

    แต่ที่ผมเข้าใจและทำให้ผมสุดซึ้งได้มากที่สุดน้ำตาแทบไหลก็คือ..
    หลังจากที่กะทิเสียแม่แล้ว และกำลังจะกลับไปหาตายายที่อยุธยา มองเห็นทุ่งนาอยุธยาที่คุ้นเคยจากในรถเก๋ง และเปิดกระจกออโต้ออกมา เพื่อรับลม ดมกลิ่น และยิ้มละไม

    นั่นแหละครับ ตอนนั้นแหละ ความสุขของกะทิที่แท้จริง

    แจ้งลบ
  • เมื่อ 10 ม.ค. 52 16:13

    หนังเรื่องนี้ภาพสวยมาก หนังมีตนตรีประกอบน้อยมาก แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค

  • เมื่อ 9 ม.ค. 52 17:46

    วิจารณ์ในฐานะที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนนะคะ

    เรื่องนี้เป็นหนังที่ใช้เด็กเป็นตัวเอก แต่คิดว่าถ้าพาเด็กๆ เข้าไปดู มีสิทธิ์หลับปุ๋ยสูงทีเดียว (รวมถึงผู้ใหญ่บางคนด้วย) เพราะการดำเนินเรื่องเป็นไปแบบเรื่อยๆ เรียบๆ เน้นภาพสวย เน้นวัฒนธรรมไทย และสะท้อนการใช้ชีวิตร่วมกันของสังคมไทย (ในชนบท) ค่อนข้างมาก มีมุกตลกจากคำพูดของตัวละครแทรกเข้ามาบ้าง ให้ข้อคิดเรื่องครอบครัวและชีวิตดีค่ะ

    ไม่รู้ว่าในหนัง เรียงลำดับแบบในหนังสือหรือเปล่า แต่คิดว่าการคลายปมของเรื่องบางจุดยังไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ ซึ่งทำให้ดูแล้วรู้สึกว่ายังไม่สมจริงเท่าไหร่ ดูแล้วก็แบบรู้สึกนิดๆ ว่า จะมี เด็กหญิงกะทิและครอบครัวที่น่ารัก แบบนี้อยู่จริงไหมนะ?

    แต่นักแสดงเด็กๆ ในเรื่องน่ารักดี ถึงแม้บางฉากจะดูเหมือนท่องบทไปบ้าง แต่ด้วยความน่ารักสดใส เลยให้อภัยได้

    พอดูหนังเรื่องนี้จบ ก็อยากจะไปหาเวอร์ชั่นหนังสือมาอ่านอยู่บ้างเหมือนกัน อาจจะทำให้เข้าใจเนื้อหาที่หนังต้องการจะสื่อมากขึ้นก็ได้

  • เมื่อ 9 ม.ค. 52 00:39

    เริ่มแรกของหนัง บอกได้เลยครับว่า อยากนอนหลับจริงๆ เนื้อเรื่องในฉากแรกนั้นเล่นเอาหลายๆ คนที่อ่านนิยายในหนังสืองงเลยครับ เพราะเป็นฉากเกือบสุดท้ายในหนังสือ และเรื่องก็เริ่มมีปมให้เราได้ปวดหัวคิดกันอีกครับ ทำให้ผมนึกถึงฉากแรกของหนังรักที่ดีเรื่องหนึ่งคือ รักสามเส้า ที่ฉากแรกโผล่มาก็ตายเลย แบบนี้ครับ แต่เป็นเพราะเรื่อง รักสามเส้า เป็นบทที่คิดมาใหม่ ไม่ใช่นิยายที่คนอ่านกันเยอะแบบนี้ จึงทำให้ปมในฉากแรก คนดูอยากติดตามมากครับ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิว่า ผู้กำกับ คุณเจนวิทย์ คงต้องการผูกปมแบบนั้นแต่ให้มันละเอียดแต่เข้าใจง่ายๆ

    ฉากถัดมาก็อยู่ในเนื้อหาทีเรียบเรียงดีครับ โดยรายละเอียดบางตอนได้ถูกตัดทอนออกมารวมกันไว้ในฉากๆ หนึ่งเดียวกันครับ โดยบทเจรจา ในหนังก็ดูพื้นๆ แต่แฝงด้วยความอบอุ่น คือเป็นกันเอง บางคนสงสัยว่า กะทิ ไม่ค่อยพูด ทีแรกผมก็งง เหมือนกัน คิดว่า เออสงสัย กะทิ เป็นใบ้ แต่ดูต่อมาๆ จึงทำให้รู้สาเหตุที่บทในหนัง ไม่เห็นกะทิพูดสักเทาไร โดยได้ถ่ายทอดเป็นรอยยิ้ม อันเป็นเอกลักษณ์ คือ ยิ้มมุมปาก ลองสังเกตดูนะครับ

    หนังจะมีจุดที่ไคลแมกซ์ เหมือนกับหนังสือเลยครับ ซึ่งพอตอนจบ ทุกคนจากที่เมื่อกี้เศร้า ก็เปลี่ยนเป็นมาอมยิ้มในความสุขของเด็กหญิงกะทิแน่อนครับ

    ผมว่า หนังเรื่องนี้ ก็ไม่เลวเลยนะครับ สำหรับ บรรยากาศ ที่เราต้องการความโล่งสบายในสมอง และทดแทนด้วยความสุข อีกอย่างหนังเรื่องนี้ มีแง่มุมความคิดและคำสอนที่แฝงไว้มากมาย สามารถเอาไปใช้ได้ และสมแล้วครับ ที่ได้ชื่อว่า ความสุขของกะทิ ผมคาดว่า คงจะทำเงินได้มากแน่นอนครับ

มีทั้งหมด 16 วิจารณ์ หน้าที่ 2 [ก่อนหน้า] 1 2 [ถัดไป]
เขียนวิจารณ์
จะต้องลงชื่อเข้าใช้ระบบก่อน จึงจะเขียนวิจารณ์ได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+

advertisement

วันนี้ในอดีต

  • เขาชนไก่เขาชนไก่เข้าฉายปี 2006 แสดง วศิษฎ์ ผ่องโสภา, ทวีรัตน์ จุลศิริ, อภิพล ตรีเทวะวงษา
  • เดอะเลตเตอร์ เขียนเป็นส่งตายเดอะเลตเตอร์ เขียนเป็นส่งตายเข้าฉายปี 2006 แสดง มหาสมุทร บุณยรักษ์, ชลลดา เมฆราตรี, แอนดี้ เขมภิมุก
  • Happy FeetHappy Feetเข้าฉายปี 2006 แสดง Robin Williams, Hugh Jackman, Elijah Wood

เกร็ดภาพยนตร์

  • Demonic - ประกาศสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยชื่อ House of Horror เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2011 โดย เจมส์ วาน รับหน้าที่อำนวยการสร้าง อ่านต่อ»
  • Child 44 - เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 4 ที่ ทอม ฮาร์ดี ผู้รับบท เลโอ และ แกรี โอลด์แมน นักแสดงบท มิกเฮล ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน เรื่องก่อนหน้านี้คือ Tinker Tailor Soldier Spy (2011) Lawless (2012) และ The Dark Knight Rises (2013) อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

Love You Forever Love You Forever เรื่องราวของ หลินเก๋อ (หลี่หงฉี) ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์พิเศษ เขาย้อนเวลาได้ หลินเก๋อ ตกหลุมรัก ชิวเชี่ยน (หลี่อี้ถง) มาต...อ่านต่อ»