วิจารณ์ House of Flying Daggers
-
น้องปุ๊กกี้
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 17 ม.ค. 49 14:00
สุดยอดเลย บีบคั้นอารมณ์คนดูสุดๆ หนูดูไปยังร้องไห้ไปเลยอ่ะ
-
Mei
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 16 ม.ค. 49 19:31
ชอบทาเคชิจังเลยเล่นได้ดีมากๆด้วย ฉากทุกฉากก็สวย ทำได้เยี่ยมมากเลยน่ะเนี่ย
-
buda
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 15 ม.ค. 49 17:32
ยอดเยี่ยมจริงๆ ฉากสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
การเล่าเรื่องของหนัง สงบ...แต่ทรงพลัง
และแน่นอน ....สวยงาม
ก่อนจบ...ตอนแรกคิดว่าสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ
คงจะเป็นเพียงเรื่องรักๆ แล้วก็แผนการหลอกลวงกันไปมาเฉยๆ
แต่พอดูจนจบ...ถึงรู้ว่ามันมากกว่านั้น
มันทีความหมายที่สื่อถึงกัน
ไม่ว่าจะเป็น...
.....อิสระดั่งลม
.....ตัวตนของแต่ละคน เนื้อแท้และเปลือกนอก
....สิ่งที่แต่ละคนเลือก
.....ทำไมเสี่ยวเฟยถึงชักมีดออกมาทั้งๆที่รู้ว่าคนรักของนางจะไม่ถูกฆ่า
เราว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรๆมากกว่าฉากที่สวยงาม
ถ้าหนังที่ดีคือหนังที่ทิ้งอะไรไว้ให้คนดูได้คิด
เราว่า.....
หนังเรื่องนี้...ดีจริงๆ -
เเนว
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 1 ก.ย. 48 10:28
ชื่อผู้กำกับก็คือ จางอี้โหมว กับประโยคที่บอกว่า
วิจิตรงานสร้างสุดอลังการ
ขอบอกครับ กำลังภายในดุเดือด ภาพสวย สุดยอดเลยครับ -
ชอบ ขอบ ขอบ
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 1 พ.ค. 48 19:39
ดูแล้วประทับใจมาก ทั้งเนื้อหา ฉากเสื้อผ้า ที่สำคัญคือพระเอก แฮ่ๆๆ
-
นุ่นจัง...
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 16 เม.ย. 48 20:24
ทำไมหลิวเต๋อหัวไม่เป็นพระเอกอ่า........
-
คนชอบหนังจีน
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 21 มี.ค. 48 03:40
ก็ไม่มีความรู้อะไรมากพอที่จะวิจารณ์หรอกค่ะเพียงแค่ใช้ใจดูเท่านั้นเอง ตั้งแต่ตอนที่เห็นโปสเตอร์ครั้งแรกก็อยากดูแล้ว พอดูแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยทุกๆฉากสวยมากจริงๆโดยเฉพาะตอนที่นางเอกรําประทับใจมากๆเลย
love มั๊กๆๆ -
บ้านมีดบิน
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 8 มี.ค. 48 15:16
อยากบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
jeab
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 28 พ.ย. 47 12:18
พึ่งจะได้แผ่น VCD มาคุ้มค่ากับการรอคอยมาก ภาพสวยมาก ทุกนาทีของหนังเรื่องนี้เน้นอารมณ์และความรู้สึกของ ตัวละครได้ดีมาก คาดว่าคงจะต้องดูมากกว่า 1 รอบ เพราะเป็นคนที่ชอบหนังของผู้กำกับท่านนี้อยู่แล้ว ชอบฉากที่ จางซื่อยี่ และ ทาเคชิ หนีเข้าไปในดงไม้ที่มีแต่ต้นไผ่ ทำภาพออกมาได้สวยมากเลยคะ
อยากให้มีหนังจีนแบบนี้ออกมาบ่อยๆ เพราะเราเป็นแฟนตัวจริงหนังจีนกำลังภายในอยู่แล้วคะ -
คุณชายวายุ ครั้งที่ 5
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 2 ก.ย. 47 14:45
อีกครั้ง....ที่ต้องขอแย้งความคิดเห็นของคุณ เพนกวินนะครับ.....
ถ้าศึกษาดูหนังของจาง อี้ โหมว มาอย่างละเอียดแล้ว....นี่คืองานสไตล์ของเขาครับ....นิ่ง เงียบ และว่างเปล่า.....
แต่หาใช้หัวใจ ในการดู มากกว่าใช้ สมองและความคิดที่วุ่นวายแล้ว...
มันก่อให้เกิดความรุณแรงทางอารมณ์ได้อย่างสูงครับ....คล้ายๆกับที่ the road home ได้ทำมาแล้ว....
และหาดูให้ลึกเข้าไปอีก....หนังเรื่องนี้ สอดแทรกประเด็นวิพากษ์ทางสังคมได้ซับซ้อน และหลากหลาย มากกว่าที่ hero ได้ทำมาแล้วอีก....
ผมจึงไม่ขอถอนคำพุดของตัวเองครับ....ว่า Daggers คือหนังจีนกำลังภายในที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว....
ขออนุญาต เอาข้อความที่ผมเคยพิมพ์มาแล้วในเว็บอื่น เกี่ยวกับประเด็นของ หนัง และหนังสือ ของเรื่องนี้มาลงที่นี่นะครับ.....
---------
มันแตกประเด็นกันไปเลยนะครับ....
ผมว่าถึงแม้แก่นของหนังและนิยาย จะเป็นเรื่องเดียวกัน (การโกหก หลอกลวง ความลับ ความรัก)
แต่ลูกเล่น รวมถึงรายละเอียดการนำเสนอแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด.....
และสิ่งแรกที่ทุกคนควรจะทราบคือ....หนังสร้างก่อนที่ หลี่เฝิงจะเขียนเป็นหนังสือออกมาครับ....
เพราะฉะนั้น บทดั้งเดิมก็คือ...บทที่เราเห็นในหนัง....
ส่วนหนังสือนั้น....เป็นสิ่งที่หลี่เฝิง เพิ่มเติมและดัดแปลงลงไป....เพื่อให้มัน"ตลาด" มากขึ้นเท่านั้น......
ฉะนั้น....ต่อให้เถียงยังไง...ผมก็ว่า...หนังดีพร้อม และสมบูรณ์กว่าหนังสือเยอะครับ....
SPOILER!!!!!!
ในหนังสือ...
ตามขนบ และลักษณะงานเขียนของ หลีเฝิง ที่"พยายาม"จะเป็น โกวเล้งยุคใหม่....
นั่นก็คือ นำแก่นที่เป็นเรื่องที่เราจับต้องได้....
เอามาถ่ายทอดให้อยู่ในกลวิธีการเล่าเรื่องที่ทันสมัย แปลกตา แปลกใหม่ ไม่ซ้ำแบบใคร...
อย่างกรณี hero นั้น...เป็นการแสดงถึงผลเดียวกัน ที่ออกมาจะเหตุการณ์และสถานะการณ์ที่แตกต่างกัน...
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับรู้มันอย่างไร โโยมีโครงเรื่องการเล่า 3 ลำดับ....
1.เรื่องที่ตนอยากให้เขาเชื่อ....
2.เรื่องที่ตนฟังจากเขาเล่ามา.....
3.เรื่องที่เป็นความจริง....
ใน Daggers กลวิธีการเล่าเรื่องของหลี่เฝิง ออกมาในรูปแบบการเล่าผ่านจากปากคำของคนผู้หนึ่ง โดยบรรยายถึงความรู้สึกนึกคิดของคนผู้นั้นลงไปในเรื่องราวเป็นระยะๆ....
ดังนั้น....บางส่วนของเรื่องราว ถึงแม้ คนผู้นั้น จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินเรื่องด้วย....
แต่พอเรื่องราวผ่านออกมาจากปากคำของคนผู้นั้น....
ทำให้เหมือนกับว่า....คนผู้นั้น จับตา เฝ้ามอง การกระทำตลอดทั้งเรื่อง....
ดังนั้น....คนผู้นั้น จึกกลายเป็นเจ้าของเรื่องที่แท้จริง...ทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดด้วยเลย.....
และด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องหลักนี้เอง....ทำให้สามารถใส่เทคนิคกลวิธีการดำเนินเรื่องเสริมเข้าไปด้วยวิธีอาศัย คำโกหก คำโป้ปด การหลอกลวง และความลับ เข้ามาช่วย....
ทำให้เรื่องราวมีหลายมิติมากขึ้น....
รายละเอียดจึงสัมพันธ์กัน...มีหลัก...เหตุ...ผล...มากกว่าที่จะถ่ายทอดออกมาเป็น"ภาพเคลื่อนไหว 2 ชั่วโมง" ได้....
ในหนัง....
จางอี้โหม่ว กับหลี่เฝิง...แต่งเรื่องนี้เป็นบทภาพยนต์ก่อนที่ หลี่เฝิงจะเอาไปขยายความออกไปเป็นนิยายครับ.....
ดังนั้น....ประเด็นของหนัง...จึก"แคบ" และ"ลึก" กว่าในนิยาย....
กลวิธีการเล่าเรื่องในหนัง.....แตกต่างจากกลวิธีการเล่าเรื่องในนิยาย....
ซึ่งในนิยายทำให้คนอ่านกลายเป็น"ผู้รับฟังคำบอกเล่า"
แต่ในหนังทำให้ผู้ชมกลายเป็น"บุคคลที่ 3 ที่แอบเฝ้าดูการกระทำของทั้ง 3 คนซ้อนอีกที"
หนังตัดรายละเอียดของ มือปราบเหลียว....เจ้าบ้านคนก่อน...
และเปลี่ยนแปลงบทของตั่วเจ๊ ให้กลายเป็น "หุ่นตัวแทน" ของเจ้าบ้านคนใหม่แทน...
โดยที่เจ้าบ้านคนใหม่ มีหน้าที่เป็นเพียง "เงาที่ทรงอิทธิพล" ในหนังเท่านั้น....
ฉะนั้น....แก่นหลักกลวิธีการเล่าเรื่องของหนัง...
แทนที่จะเป็น การเล่าเรื่องจากคำให้การของคนผู้นั้น.....จึงกลายเป็น....
การเอา"คำโกหก หลอกลวง โป้ปด และความลับ" มาเป็นพาหนะในการดำเนินเรื่อง....
โดยเชื้อเพลิงของพาหนะนั้น ก็คือ ความปรารถนาที่แท้จริงภายในจิตใจของตัวละครทั้ง 3 ตัว....
ซึ่งระเบิดออกมาพร้อมๆกันในฉากจบของหนัง(ที่แตกต่างไปจากนิยาย....)
ดังนั้น...เป้าหมายของตอนจบในหนัง และในนิยายจึงแตกต่างกัน.....
ในนิยาย....คือการแสดงถึงอิทธิพลของความรัก ในมุมมองของคนคนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่ร้ายแรงต่างๆขึ้นมา....
แต่ในหนัง....คือ การแสดงถึงการปะทะกันของ"เปลือกนอก" (บทบาท หน้าที่ ภาระกิจ การเสแสร้ง ความลับที่เก็บไว้) จาก 3 ทิศทาง....
ซึ่งผลจากการปะทะกัน....ก็คือการแตกสลายของเปลือกนอก ที่เผยถึงธาตุแท้ของแก่นในของแต่ละคนออกมา...(รัก โลภ โกรธ หลง)
---------
ฉะนั้น...ที่ผมบอกว่า เรื่องราวของหนังมัน "แคบ" และ "ลึก" กว่าในนิยาย...
จึงหมายความว่า....
หนังเลือกที่จะใช้ ห้วงอารมณ์ ความรูสึก กิเลสตัณหา ของตัวละครออกมาระเบิดพร้อมๆกันในฉากสุดท้าย.....
ทำให้กลายเป็นการโฟกัสที่จุดเล็กๆ ที่มีรายละเอียดทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกละเอียดยิบ....
ในขณะที่นิยาย เลือกที่จะให้ความลับ ในการคลี่คลายเรื่องราวในมุมกว้างมากกว่า ผ่านจากคำบอกเล่า และทัศนะคติของคนคนหนึ่ง....
จุดโฟกัสเลยกว้าง....และครอบคลุมไปถึงรายละเอียดอื่นๆในส่วนเนื้อเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวของตัวละคร....
เพราะแค่การตายของนางเอก....จุดประสงค์ก็แตกต่างกันแล้ว......
จากใจจริง
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+
advertisement
วันนี้ในอดีต
- Lone Survivorเข้าฉายปี 2014 แสดง Mark Wahlberg, Taylor Kitsch, Emile Hirsch
- The School of Rockเข้าฉายปี 2004 แสดง Jack Black, Mike White, Joan Cusack
- มหัศจรรย์...พันธุ์รักเข้าฉายปี 2004 แสดง ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์, รัฐพร วัฒนสมบัติ, สุชาญา ไกรสุวรรณ
เกร็ดภาพยนตร์
- Still Alice - ตอนที่ได้อ่าน Still Alice ฉบับหนังสือครั้งแรก ริชาร์ด แกลตเซอร์ และ วอช เวสต์มอร์แลนด์ ผู้กำกับทั้งสองคนรู้สึกว่าเรื่องราวของผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับโรคสมองเสื่อมชนิดเกิดเร็วเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว เพราะก่อนที่ทั้งคู่จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ริชาร์ด ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเอแอลเอส ที่เป็นสาเหตุให้พูดแล้วลิ้นพันกัน ซึ่งเป็นทำให้ทั้งสองคนต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เหมือนตัวละคร อลิซ ที่แสดงโดย จูเลียนน์ มัวร์ อ่านต่อ»
- Song One - สก็อตต์ อาเวตต์ จากวง ดิ อาเวตต์ บราเธอร์ส เคยมาทดสอบบท เจมส์ โดย สก็อตต์ เล่าว่า เขาอ่านบทกับ แอนน์ แฮตธาเวย์ ผู้รับบท แฟรนนี ในฉากสะเทือนอารมณ์ และ แอนน์ เริ่มน้ำตาคลอ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า โอ้ พระเจ้า เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร และมันก็ชัดเจนเลยว่านี่ไม่ใช่ที่ของผม ซึ่งภายหลังบท เจมส์ นี้ก็ตกเป็นของ จอห์นนี ฟลินน์ อ่านต่อ»