มีโอกาสได้ไปพบพี่ @doytibet หลังจากตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะไปหาแก ผมว่าชีวิตและมุมมองของแกมีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง เมื่อคืนนี้เลยขอไปเยี่ยมแกที่บ้าน
ซึ่งพี่ดอยก็ใจดีให้เกียรติต้อนรับน้องชายคนนี้ด้วยการเปิดบ้านให้ชมด้วยตัวเอง
ผมไม่รู้จะอธิบายถึงบ้านพี่ดอยอย่างไรดี เพราะบ้านที่แกเปิดให้ชมนั้นเป็นเหมือนห้องเก็บของสะสมขนาดใหญ่ ข้างในมีภาพของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ภาพใหญ่ มีห้องชุดเกราะซามูไรและดาบคาตานะเล่มสำคัญ และสิ่งล้ำค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะมากมายที่แกเก็บไว้
พี่ดอยบรรจงพาผมเยี่ยมดูของแต่ละชิ้น แต่ละห้อง ละเมียดเล่าเรื่องราวให้ฟัง ผมได้เห็นงาน ภาพสเก็ตช์ และลายมืออาจารย์ถวัลย์มากมาย แบบชนิดว่าน่าจะไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
แต่สำหรับผม สิ่งที่ผมรู้สึกว่าล้ำค่าที่สุดในค่ำคืนนี้ที่ผมได้พบ คือบทสนทนากับพี่ดอย
ผมใช้เวลาคุยกับพี่ดอยตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงตีสาม แกเปิดเผยเรื่องราว มุมมองในชีวิตของแก เรื่องราวของอาจารย์ถวัลย์ และสิ่งที่แกกำลังทำอยู่แบบที่ผมยังต้องใช้เวลาตกตะกอนอีกหลายวัน เพราะมีสิ่งมีค่ามากมายในสิ่งที่แกเล่าให้ผมฟัง มันเป็นเรื่องราวดีๆและมีพลังกับผมมาก
ผมบอกพี่ดอยว่า พี่ดอยนั้นเหมือนเป็นมากกว่าลูกชายที่รักพ่อมากกว่าระดับลูกรักพ่อ แต่เป็นความรักระดับบูชา เพราะพี่ดอยใช้ชีวิตและลมหายใจของตัวเองสืบทอดลมหายใจของงานศิลปะของอาจารย์ถวัลย์ให้ทะลุอีกมิติ และจะอยู่กับคนรุ่นใหม่ทุกเพศทุกวัยได้อย่างยั่งยืน
พี่ดอยตอบผมว่า การเกิดเป็นลูกอาจารย์ ก็เหมือนเกิดมาเป็นเต่าที่มีกระดองติดตัว เต่าตัวนี้ต้องแบกกระดองหนักๆที่เปรียบเหมือนภาระ แรงกดดันไปจนวันตาย เพราะชื่อและบารมีของพ่อนั้นยิ่งใหญ่มาก
.. แต่ในทางกลับกัน กระดองนั้นก็เปรียบดังเกราะที่คุ้มครองตัวพี่เช่นเดียวกัน
สำหรับผม นั่นคือข้อสรุปเรื่องพี่ดอยกับคุณพ่อที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุด เพราะสำหรับพี่ดอยแล้ว เต่าอย่างเขาไม่ได้มองว่าตัวเองสำคัญอะไรนอกจากการแบกกระดองหนักๆนี้ ไปจนวันที่หมดลมหายใจ
หากแต่ในวันที่เต่าตัวนี้จากไป เต่าอย่างเขาแค่หวังว่าจะให้กระดองคงอยู่ให้คนชื่นชมไปตลอดกาล เพียงเท่านั้นเอง