พูดคุยกับนักร้องหนุ่มมากความสามารถ ฮันเตอร์ เฮย์ส
"ฮันเตอร์ เฮย์ส" (Hunter Hayes) หนุ่มมากความสามารถ เจ้าของน้ำเสียงในเพลง "Wanted" อันโด่งดังจากอัลบั้มชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับตัวเองว่า "Hunter Hayes" ซึ่งเจ้าตัวร่วมเป็นโปรดิวเซอร์และมีส่วนในการแต่งเนื้อร้องเองทุกเพลง ด้านกระแสตอบรับดีอยู่ไม่น้อย ด้วยยอดขายไม่น้อยกว่า 7 แสนชุดในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง แกรมมี อวอร์ดส์ ครั้งที่ 55 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ถึง 3 สาขา ล่าสุด ฮันเตอร์ ได้ฉลองความสำเร็จที่มีอย่างต่อเนื่องด้วยการเพิ่มเพลงใหม่ใส่ในอัลบั้ม "Hunter Hayes (Encore)" วางจำหน่ายในบ้านเราไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้
นักร้องหนุ่มวัย 22 ปีเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลดนตรีนานาชาติ "Sonic Bang The Ultimate International Music Festival Experience" ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษขึ้นแสดงในช่วงของนักร้องชื่อก้องโลก "เจสัน มราซ" (Jason Mraz) ในคอนเสิร์ตนี้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ฮันเตอร์ ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงตัวตนและการทำงาน ณ ห้องไลบรารี่ 1 โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี
มีวิธีการแต่งเพลงอย่างไร
"ตอนผมเขียนเพลงเหรอครับ ผมคิดว่าทั้งหมดเริ่มจากความคิดหนึ่ง คำๆ หนึ่งหรืออาจจะเป็นกลุ่มคำสองสามคำ เป็นเหมือนหัวข้อ เหมือนความคิดหลัก ส่วนมากจะเป็นคำสองคำเหมือนกับเป็นแก่นของเพลงที่ผมต้องอธิบายว่าคำๆ นั้นมีความหมายต่อผมอย่างไร เพลงส่วนมากจะเหมือนกับการรวบรวมความคิดพวกนั้นไว้ด้วยกัน เอาเป็นว่ามันเริ่มจากกลุ่มคำสองสามคำ ตามมาด้วยเรื่องราวเบื้องหลังคำพูดพวกนั้นและความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดและเรื่องราวเหล่านั้น ที่เหลือก็แค่พยายามหาวิธีการสั้นๆ ที่จะอธิบายความคิดทั้งหมดนั้น การเริ่มแต่งเพลงเป็นเหมือนการเริ่มค้นหาบางอย่าง เริ่มแรกต้องค้นหาอารมณ์ความรู้สึกก่อน จากนั้นก็ค้นหาวิธีการอธิบายความรู้สึกนั้นออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้"
ถ้าอย่างนั้นส่วนของทำนองเพลงก็จะตามมาทีหลังใช่ไหม
"ทำนองและเนื้อร้องเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่บางครั้งทำนองก็มาก่อนแล้วเพลงทั้งเพลงก็ตามมา แต่บางครั้งเนื้อร้องก็มาก่อนแล้วทำนองก็ค้นพบพื้นที่ของมันเองในเนื้อร้องนั้น แต่พอเริ่มอัดจริงๆ ก็มักจะมีส่วนเพิ่มเติมในเรื่องของทำนองเป็นสิ่งที่เจอเอาทีหลังครับ"
รู้สึกอย่างไรที่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตกับ แคร์รี อันเดอร์วูด (Carrie Underwood)
"ดีครับ จริงๆ แล้วทัวร์คอนเสิร์ตจบไปตั้งแต่ประมาณ 4 เดือนที่แล้ว แต่มันดีสุดๆ แล้วตอนนี้เรากำลังเริ่มทำทัวร์คอนเสิร์ตของเราเองแล้ว ซึ่งเป็นความฝันของผมมานาน ในที่สุดผมก็จะได้จัดคอนเสิร์ตของตัวเองสักที ทั้งแสง สี เสียง การตัดต่อ และก็ได้คิดออกแบบการแสดงที่ยาวกว่าชั่วโมงเอง โอ๊ย เจ๋งสุดๆ (หัวเราะ) เป็นอิสระมากเลย ผมตื่นเต้นที่จะได้ทำอะไรพวกนี้มานานแล้ว มันเหมือนกับเป็นโอกาสที่จะได้ทำความฝันให้เป็นจริง ดีจริงๆ ที่เจอหนทางทำตามความฝันนั้น"
รู้มาว่า แคร์รี เล่นอะไรแผลงๆ ใส่
"(หัวเราะ) ก็คือว่าเรื่องจริงๆ คือผมจำได้นะว่ามีแฟนคลับคนหนึ่งในงานมีตแอนด์กรี๊ดถามผมว่าคุณมีอะไรจะฝากบอกแคร์รีไหม จริงๆ นะ ตอนนั้นผมยังคิดอะไรแผลงๆ มาแกล้งไม่ออก แต่ผมอยากจะแกล้งเธอเพราะได้ยินว่าเธอน่ะเป็นจอมแกล้งเลย ถึงจะไม่จริงก็เถอะ แต่ผมได้ยินมาว่าอย่างนั้น ผมเลยบอกไปว่าเรามีแผนเด็ดๆ ไว้แกล้งเธอด้วยนะ แต่จากนั้นการสื่อสารก็ผิดพลาดจริงๆ เพราะเธอเดินไปบอกแคร์รีว่าเดี๋ยวเธอจะโดนแกล้ง แต่จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณรู้ไหมว่าเวลาเราออกทัวร์กับใครเป็นเวลาร้อยวัน คุณจะมีเรื่องราวและประสบการณ์มากมายจากคนๆ นั้น ช่วงเวลานั้นดีมากเลย เป็นทัวร์ที่ดีมากเลย"
รู้สึกอย่างไรที่จะได้ร่วมคอนเสิร์ตกับ เจสัน มราซ
"ผมมีโอกาสได้เล่นคอนเสิร์ตกับ เจสัน มราซ ที่คอนเสิร์ต Sonic Bang ผมตื่นเต้นมากเลย และผมก็จะมีเวทีเล็กๆ เล่นเพลงของตัวเองที่งานนี้ด้วย"
แฟนเพลงชาวไทยจะมีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ต Let's Be Crazy Tour ไหม
"ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ นี่เป็นการมาครั้งแรกของผม และก็มีบางอย่างบอกผมว่าเราจะกลับมาที่นี่อีก ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรแต่ว่าผมจะกลับมาแน่ๆ แน่ๆ เลย"
ในฐานะนักดนตรีและนักแต่งเพลง มีใครที่ยึดเป็นแบบอย่างไหม
"มีเยอะไปหมดเลยและก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย ไม่ใช่แค่คนเดียว อย่าง คีธ เออร์เบิน (Keith Urban) ราสคัล แฟลตต์ส (Rascal Flatts) หรือ ไมเคิล บูเบล (Michael Buble) ผมชอบอัลบั้มของเขาอยู่พักหนึ่ง ผมชอบหลายอย่างมาก ปีที่แล้วผมศึกษา โคลด์เพลย์ (Coldplay) เยอะมาก แล้วก็ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ในฐานะที่เธอเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เอาเป็นว่าผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นวัน ผมจะดูเกี่ยวกับส่วนที่ผมชอบจากคนหลายๆ คน เหมือนตอนที่ผมดูโคลด์เพลย์ สิ่งที่ผมได้รับคือคอนเสิร์ตของพวกเขาไม่ใช่แค่การเล่นเพลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่การแสดง แต่มันเป็นทั้งประสบการณ์ทั้งภาพความทรงจำ เป็นการแสดงที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมอยากจะหาอะไรก็ตามที่ทำให้คนดูการแสดงของผมรู้สึกได้อย่างที่พวกเขาทำ มันก็เลยเป็นเรื่องของการค้นหาศิลปินที่แตกต่างทุกวัน หาอะไรที่คุณรักตลอดเวลานั่นแหละครับ"
ใช้คำ ศึกษา ตอนฟังเพลง อยากให้ขยายความคำนี้หน่อย
"ตอนผมพูดคำว่า ศึกษา หมายถึงที่ผมฟังเพลง ฟังอัลบั้มเพลง ดูการแสดงสดแล้วจะได้เรียนรู้หลายอย่างจากตรงนั้น เช่นการมองย้อนกลับไปถึงกระบวนการสร้างสิ่งนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น มันเป็นวิธีที่ยากนะ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องท้าทายดีที่จะพยายามมองย้อนขั้นตอนการสร้างสรรค์สิ่งหนึ่งของคนอีกกลุ่มหนึ่ง และคิดให้ตกว่าพวกเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจริงๆ แล้วเขาทำได้อย่างไร แต่ก็สนุกที่จะพยายามคิดให้ออก เหมือนกับเราได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยการพยายามจินตนาการดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในสตูดิโอ ซึ่งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ แต่คุณพยายามนึกว่ามันเป็นอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ผมย้อนคิดถึงเรื่องอะไรหลายๆ เรื่อง"
ให้เลือกแนะนำเพลงเดียวจากอัลบั้ม Hunter Hayes (Encore) จะเลือกเพลงอะไร
"เพลงเดียวเหรอ งั้นก็ I Want Crazy เพราะส่วนตัวแล้วเพลงนี้เป็นเพลงโปรดของผม เพราะมันเป็นการแสดงตัวตนของผมได้ดีที่สุด คือมีพลังเหลือเฟือ นั่นแหละผม มีเนื้อหาเพลงเยอะ และทำนองที่ส่วนใหญ่แล้วผมคิดได้ตอนที่อยู่ในสตูดิโอ ตอนแรกผมไม่ได้จะบันทึกเพลงนี้ในอัลบั้มนี้ด้วยซ้ำ ผมอยากจะเก็บเพลงๆ นี้เอาไว้กับตัวนานกว่านี้ซะอีก แต่พออยู่ในสตูดิโอ ผมก็อยากลองเล่นเพลงนี้ดู เพราะอยากรู้ว่าเพลงนี้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่พอลองเสร็จก็กลายเป็นว่าเราไม่สามารถเก็บเพลงนี้เอาไว้ได้ เข้าใจไหมครับเหมือนกับว่าเพลงๆ นี้ต้องการถูกปล่อยออกมา และมันก็ออกมาเป็นอย่างนั้น มันเป็นเพลงที่ผมไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก ไม่ต้องคิดอะไรเยอะจนเกินไปที่จะทำเพลงนี้ออกมาเลยเป็นเพลงโปรดของผม"
นิยามตัวเองสามคำ
"สามคำเหรอ อืม ลึกซึ้ง (Passionate) เอ่อ ผมชอบคำถามนี้นะ (หัวเราะ) ประหม่า (Nervous) และ รู้คุณ (Grateful)"