สแตนลีย์ พกลีลาการเล่นกีตาร์มาเปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่ไทย
"สแตนลีย์ จอร์แดน" (Stanley Jordan) นักกีตาร์และนักเปียโนแนวแจ๊สชาวอเมริกัน ผู้ประยุกต์การเล่นกีตาร์ในลักษณะเดียวกับการเล่นเปียโนที่เรียกว่าแท็ปปิง (Tapping) ได้เดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตที่มีชื่อว่า "Stanley Jordan Live In Bangkok" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 ที่โรงละครเอ็ม เธียเตอร์ ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของ สแตนลีย์ ที่เมืองไทยด้วย
ก่อนขึ้นคอนเสิร์ต สแตนลีย์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวของเขา และการมาเมืองไทยในครั้งนี้ ณ โรงแรมอมารี เอเทรี่ยม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สแตนลีย์ ได้แสดงการเล่นกีตาร์แบบ แท็ปปิงให้ได้ชมกันสดๆ และได้ทำการพิมพ์มือเพื่อเป็นที่ระลึกในการมาครั้งนี้ด้วย
แรงบันดาลใจในการมาเล่นกีตาร์ในลักษณะนี้
"ผมเริ่มจากการเล่นเปียโนมาก่อนตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยนำเทคนิคในการเล่นเปียโนนี้มาใช้กับการเล่นกีตาร์ครับ"
กีตาร์ของคุณแตกต่างจากกีตาร์อื่นๆ หรือเปล่า
"ก็เป็นกีตาร์ปกติครับ แต่ว่าก็มีการแก้ไขกีตาร์ให้สามารถที่จะเล่นเทคนิคแบบนี้ได้ง่ายขึ้น เป็นเทคนิคที่ใช้การสัมผัส แล้วก็มีรายละเอียดอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มเติมเพื่อให้เล่นได้สะดวก แต่จริงๆ แล้วก็เป็นกีตาร์ทั่วไปครับ"
พูดถึงการแสดงของตนเอง
"ถ้าผมมีโชว์ที่ดี คนดูที่ดูไปแล้วเนี่ยก็จะพูดถึงแต่ผมว่าผมโชว์ยังไง ผมเล่นดียังไง แต่ถ้าผมมีโชว์ที่ดีที่สุด ดีมากๆ เนี่ย คนดูจะกลับไปพูดถึงว่าคนดูมีความรู้สึกยังไงกับโชว์ที่ได้รับครับ"
กล่าวถึงการที่หลายคนเห็นคุณเป็นแรงบันดาลใจ
"ตัวผมเองก็มีคนที่เป็นแรงบันดาลใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่ผมได้เป็นแรงบันดาลใจของคนอื่น ผมก็รู้สึกดีใจครับ แต่ก็อยากจะบอกแก่คนเหล่านั้นที่มีผมเป็นแรงบันดาลใจว่าให้ช่วยส่งต่อสิ่งนี้ไปอีก เล่นดนตรีให้ดี เพื่อให้คนอื่นๆ นำคุณไปเป็นแรงบันดาลใจต่อๆ ไปเรื่อยๆ ครับ ดนตรีก็เหมือนกับอาหารครับ ไม่ใช่สิ่งที่แค่ชอบ แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องการ"
ศิลปินที่ชื่นชอบ
"ถ้าเป็นแนวคลาสสิกก็จะเป็น โมสาร์ต (วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ต - Wolfgang Amadeus Mozart) ครับ ส่วนในยุคโรแมนติกก็จะเป็น บีโธเฟน (ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน - Ludwig van Beethoven) ถ้ามาที่ฝั่งร็อกก็คือ จิมิ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix) แล้วก็ศิลปินที่ชื่นชอบมาตลอดเลยก็คือ สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) หลังจากนั้นผมก็ได้มารู้จักแจ๊สครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่รวมทุกอย่างตั้งแต่ฝั่งคลาสสิกจนถึงร็อกของผมเข้าไว้ด้วยกันครับ ส่วนนักดนตรีแจ๊สที่ผมชอบมากก็คือ มาร์ก เดวิส (Mark Davis) ครับ"
ทำไมถึงเลือกที่จะมาแสดงที่เมืองไทย
"จริงๆ อยากที่จะมาเล่นที่เมืองไทยนานมากแล้วครับ แล้วก็ตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนม.ปลาย ผมจำได้ว่ามีเด็กไทยคนหนึ่งที่เรียนที่เดียวกัน แล้วผมชอบคุยกับเขามากเลย เขาชอบเล่าถึงเรื่องราวในเมืองไทยให้ผมฟัง อีกทั้งยังอยู่กลุ่มเดียวกันด้วย อีกอย่างหนึ่งก็คือผมชอบอาหารไทยมากครับ เวลาที่ไปทัวร์ตามที่ต่างๆ ก็จะขอเลือกทานอาหารไทยครับ ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ด้วย"
จะสร้างความประทับใจอย่างไรกับคอนเสิร์ตเดี่ยวในครั้งนี้
"ไปทุกที่ก็จะมีคนสงสัยอย่างนี้ครับว่าการแสดงคนเดียวแบบนี้จะสนุกยังไง แต่ทุกๆ ครั้งพอเมื่อได้ดูจนจบโชว์แล้วเนี่ย คนดูก็จะเข้าใจว่าการเล่นแบบนี้มันมีเสน่ห์ยังไง แล้วก็ส่วนมากเวลาที่ไปเล่นตามที่ต่างๆ บางครั้งก็มีแบบที่เล่นกันเป็นวงครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วคนดูจะบอกว่าชอบแบบที่เล่นเดี่ยวมากกว่า เพราะว่าเล่นกันเป็นวงอาจจะดูแล้วมีพลังมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันการเล่นเดี่ยวก็ดูมีเสน่ห์ มีมนต์ขลังมากกว่าครับ"
เลือกเพลงที่จะนำมาแสดงอย่างไร
"ผมจะเป็นคนที่ชอบคิดและเล่นกันสดๆ ทุกครั้งก็เลยจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพลงที่เล่นในครั้งนี้อาจจะเป็นเพลงเดิมที่เคยเล่นในที่อื่นๆ แต่รับรองว่าเวลาเล่นจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาแน่นอนครับ ซึ่งหนึ่งเพลงที่จะนำมาเล่นเป็นเพลงจากอัลบั้ม State Of Nature เป็นเพลงเปียโนชีตซึ่งแต่งโดย โมสาร์ต และในประวัติศาสตร์ โมสาร์ต เองก็ได้อิมโพรไวส์เพลงนี้ของตัวเองด้วย"
ฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทย
"ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เล่นที่เมืองไทย อยากจะเชิญชวนคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือที่ไหนก็ตามให้มาชมกัน เพราะผมก็ตื่นเต้นมากที่จะได้มาเจอกับแฟนเพลงชาวไทย หวังว่าจะได้เจอกันครับ"
พูดถึงการแสดงในวันที่ 7 ตุลาคม
"อยากจะให้ทุกๆ คนมาชมกัน แล้วก็อยากจะแชร์ดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดให้กับทุกๆ คน ครั้งนี้ผมจะมาแสดงกับเพื่อนสนิทเพียง 2 คน คือกีตาร์กับเปียโนครับ"