ไบรอัน เต็มที่กับ Set in Stone ฝันอยากจัดคอนเสิร์ตในไทย
"ไบรอัน แม็กเฟดเดน" (Brian McFadden) นักร้อง นักแต่งเพลง อดีตสมาชิกศิลปินกลุ่มชายยอดนิยม "เวสต์ไลฟ์" (Westlife) หลังจากประกาศขอถอนตัวออกมาเมื่อปี 2004 ภายในปีเดียวกันก็มีผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวให้แฟนๆ ได้ฟังกันต่อเนื่องกับอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อว่า "Irish Son" ล่าสุดนักร้องหนุ่มมากความสามารถก็กลับมาพร้อมกับอัลบั้มชุดที่ 2 "Set in Stone" ที่พ่วงสถานะใหม่ เจ้าของค่ายเพลง บีเอ็มเอฟ เรกคอร์ดส์ ไอร์แลนด์ ที่ก่อตั้งด้วยตัวเอง
ก่อนที่จะให้แฟนๆ ชาวไทยได้สัมผัสเสียงร้องและตัวตนของหนุ่มคนนี้ในงาน "Like Only A Woman Can Do With Brian McFadden" ในวันที่ 9 ตุลาคม นี้ ไบรอัน ก็เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมภาษณ์แบบพิเศษ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2552
รู้สึกยังไงบ้างกับการมาเยือนเมืองไทยครั้งนี้
"ผมได้มาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่สมัยที่อยู่เวสต์ไลฟ์ ก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาที่ประเทศไทย มาครั้งนี้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดีครับ"
ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างแล้วรึยัง
"ผมมาถึงเมืองไทยเมื่อตอนประมาณเที่ยงคืน (7 ตุลาคม) กว่าจะได้เข้าโรงแรมแล้วเมื่อคืนนี้ก็นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นมาตอน 8 โมงเช้าก็ต้องมาทำงานเลย ก็เลยยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยครับ"
พูดถึงอัลบั้ม Set in Stone
"หลังจากที่ออกจากเวสต์ไลฟ์มา ก็ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวไปแล้วอัลบั้มนึง อัลบั้ม Set in Stone เป็นอัลบั้มที่ 2 อัลบั้มนี้ใช้เวลาถึง 3 ปีครึ่งในการทำงาน ที่ใช้เวลานานขนาดนี้ เพราะว่าผมอยากทำแบบสบายๆ อยากมีความสุขกับการทำงาน พอผลงานออกมาแล้วก็อยากให้ทุกคนรู้สึกดีกับอัลบั้มชุดนี้"
ช่วงเว้นว่าง 4 ปี ก่อนออกอัลบั้มชุดที่ 2 ไปทำอะไรมาบ้าง
"ที่หายไปก็อยู่ในสตูดิโอทำเพลง ไปทัวร์คอนเสิร์ตบ้าง 2 ปีหลังที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ สบายๆ"
รูปแบบของอัลบั้ม Set in Stone
"อัลบั้มนี้ไม่ได้ตั้งเป็นคอนเซปต์ขึ้นมา แต่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของผมเองลงไปในอัลบั้มครับ"
ความแตกต่างระหว่างอัลบั้มทั้ง 2 ชุด
"อัลบั้มชุดแรกใช้เวลาในการทำงานแค่ 3-4 สัปดาห์เท่านั้นเอง ในเรื่องของซาวนด์ดนตรีก็จะง่ายๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีชาวนด์ดนตรีที่จัดๆ พอมาอัลบั้มนี้ก็ใช้เวลาในการทำงานที่ค่อนข้างจะนานหน่อย ได้อยู่ในสถานที่กับอารมณ์ที่มีความสุข ทำให้ได้ซาวนด์เพลงที่แตกต่างออกมา"
การมีส่วนร่วมในอัลบั้ม
"ส่วนร่วมในอัลบั้มก็ทำทุกอย่างในอัลบั้มนี้เองทั้งหมด ตั้งแต่เขียนเพลง มิกซ์เสียง เข้าห้องอัด รู้สึกเหมือนได้เลี้ยงเด็กเล็กๆ คนนึงเลย"
จุดเด่นของอัลบั้มชุดนี้
"จุดเด่นก็อยู่ตรงความแตกต่าง ความหลากหลายของเพลงแต่ละเพลงในอัลบั้ม อัลบั้มนี้ผมแต่งเพลงมาทั้งหมด 150 เพลง ก็ค่อยๆ ตัดเพลงที่คิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ออก จนคัดเลือกมาเหลือ 10 เพลงที่ผมคิดว่านี่คือส่วนที่ดีที่สุดมาอยู่ในอัลบั้มนี้"
รู้สึกยังไงที่เพลง Like Only A Woman Can ติดอันดับ 1
"ผมเองก็เพิ่งทราบตอนที่เดินทางมาถึงเมืองไทย ก็รู้สึกตื่นเต้นมากครับ เพราะว่าไม่ได้มีเพลงของผมขึ้นอันดับ 1 ที่เมืองไทยมานานแล้ว"
คิดว่าเสน่ห์ของเพลง Like Only A Woman Can อยู่ตรงไหน
"มีไม่มากนักที่ผู้ชายจะเปิดเผยความรู้สึก หรือแสดงออกถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนนึงที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายคนนึง ที่คนชอบเพลงนี้ก็น่าจะมาจากความรู้สึกอารมณ์ของเพลง"
มีเพลงไหนที่อยากจะแนะนำให้แฟนเพลงฟังเป็นพิเศษไหม
"ไม่มีเพลงไหนเป็นพิเศษครับ เพราะทุกเพลงที่อยู่อัลบั้มเป็นเพลงที่ผมตั้งใจทำออกมาทั้งหมด ผมคิดว่าคนที่ได้ฟังเพลงของผมในอัลบั้มต้องชอบเพลงของผมอย่างน้อย 1-2 เพลงแน่นอนครับ"
คาดหวังกับอัลบั้มชุดนี้ไว้ว่ายังไงบ้าง
"ผมก็อยากให้อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จมากๆ เหมือนกับอัลบั้มชุดแรก อยากมีโอกาสได้มาเล่นคอนเสิร์ตให้แฟนๆ ชาวไทยได้ดูได้ฟังกันครับ"
กระแสตอบรับสำหรับอัลบั้มชุดนี้
"กระแสตอบรับอัลบั้มนี้ดีมากครับ ตั้งแต่วันแรกที่ได้เริ่มปล่อยเพลง Like Only A Woman Can ออกมาที่ไอร์แลนด์ คนก็ชมว่าเพลงเพราะ"
นักร้อง นักแต่งเพลง เจ้าของค่ายเพลง บทบาทไหนยากง่ายกว่ากัน
"สำหรับผมทั้ง 3 บทบาทเป็นบทบาทเดียวกัน ง่ายเหมือนกัน เพราะว่าผมเริ่มมาจากการเป็นนักร้อง ค่อยๆ พัฒนามาเป็นนักแต่งเพลงแล้วตอนนี้ก็เป็นเจ้าของค่าย ผมก็ต้องทำเองทุกอย่าง ไม่ได้คิดว่าบทบาทไหนยากกว่ากันครับ"
วางแผนสำหรับค่ายเพลงของตัวเองในอนาคตไว้ว่ายังไงบ้าง
"ผมก็คงให้ความสำคัญที่ตัวผมเองก่อนในฐานะเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย ตอนนี้ทางค่ายก็มีศิลปินคนที่ 2 เข้ามาแล้ว แล้วต่อไปก็คงมีศิลปินเพิ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ"
ถ้ามีเวลาว่างส่วนใหญ่มักจะทำอะไร
"เวลาว่างผมก็ไปเล่นกอล์ฟ ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างครับ"
อยากให้เล่าที่มาของการทำงานร่วมกับวงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปอย่าง วอลล์ ออฟ ชาวนด์ซ (Wall Of Soundz) ว่าเป็นยังไงบ้าง
"โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ที่ผมทำร่วมกับเพื่อนสนิทที่ชื่อ โรเบิร์ต คอนลีย์ (Robert Conley) คนที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ ซาเวจ การ์เดน (Savage Garden) แล้วก็ ดาร์เรน เฮย์ส (Darren Hayes) ผมก็เพิ่งจะตัดสินใจเมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้วเองว่าจะทำงานร่วมกัน ซึ่งเพลงที่ทำด้วยกันก็น่าจะไปอยู่ในอัลบั้มชุดที่ 3 ของผมครับ"
การทำงานร่วมกับ โรเบิร์ต คอนลีย์ เป็นยังไงบ้าง
"การทำงานร่วมกับ โรเบิร์ต ก็ทำทั้งแต่งเพลง โปรดิวซ์เพลง แล้วแสดงร่วมกันในเอ็มวี ส่วนซาวนด์ดนตรีที่โรเบิร์ตแต่งให้ ก็จะเป็นแนวดนตรียูโรเปียนป๊อปครับ"
เตรียมอะไรเป็นพิเศษมาฝากแฟนๆ ชาวไทยบ้าง
"ความพิเศษที่เตรียมมาให้แฟนเพลงชาวไทยก็มี 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือแฟนเพลงจะได้ฟังเพลงในอัลบั้มของผมเอง อีกส่วนก็คือการร้องดูเอตคู่กับ ทาทา ยัง"
รู้สึกยังไงบ้างที่จะได้ร้องเพลงกับ ทาทา ยัง
"ตื่นเต้นมากๆ ครับ เพราะทราบมาว่า ทาทา ยัง เป็นศิลปินที่ดังและยิ่งใหญ่มากในเมืองไทย แล้วก็รู้สึกดีใจมากที่ได้ร้องเพลงร่วมกับ ทาทา ยัง ครับ"
ติดตามบรรยากาศการแสดงสดของ ไบรอัน ได้ที่สยามโซน.คอม เร็วๆ นี้ ส่วนใครที่อยากเป็นเจ้าของอัลบั้ม Set In Stone แวะไปดูตามร้านขายซีดีได้ วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา