โต๋ ส่งอัลบั้มบรรเลง Piano & I Part Two แทนคำขอบคุณ
นาทีนี้ หากนึกถึงนักเปียโน ก็คงต้องนึกถึงหนุ่ม "โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร" ที่มีเพลงรักอารมณ์ดีอย่าง "รักเธอ" ออกมาให้ ตึ๊งตึง กันไปทั่วเมือง ล่าสุดถึงเวลาที่หนุ่มมาดนุ่มจะออกอัลบั้มใหม่รับลมหนาวกันแล้วกับ "Piano & I Part Two" โดยจัดงานเปิดอัลบั้มกันไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เริ่มเปิดงานโดย โต๋ กล่าวขอบคุณบรรดาแฟนเพลงเกี่ยวกับความสำเร็จของอัลบั้ม "Living in C Major" ของเขา "อย่างแรกต้องขอขอบคุณแฟนเพลง ขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ให้กำลังสนับสนุนมาตลอด 10 เดือนที่ผ่านมาเป็น 10 เดือนที่สนุกมาก ตื่นเต้นมากๆ แล้วก็ดีใจที่เราได้มีโอกาสและก็สนันสนุนในสิ่งที่เราทำ" จากนั้นพิธีกรถามต่อไปถึงงานคอนเสิร์ตที่จะมีในครั้งหน้าว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่ง โต๋ อธิบายว่า
"คอนเซ็ปต์เป็นการขอบคุณ คือบางทีคำว่าขอบคุณเราใช้กันบ่อยจนลืมไป บางทีให้อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ขอบคุณ บางทีเราก็ลืมขอบคุณคนข้างๆ เราไป ก็คือเหมือนกับคนที่รักเรามากๆ เราอยู่ใกล้กันเกินไปจนเราไม่ได้ขอบคุณ คอนเสิร์ตนี้ก็จะเป็นการขอบคุณหมดเลยทุกๆ คนไล่ลงมาตั้งแต่ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณประเทศ ขอบคุณแฟนเพลง ขอบคุณครอบครัว ขอบคุณทุกอย่างเลย คือมันอยู่ในช่วงปลายปีด้วย ตอนต้นปีเราจะพูดถึงการเริ่มต้น อยากทำอะไรบ้าง แต่ปลายปีน่าจะเป็นช่วงที่เราขอบคุณว่าปีนี้เราได้ทำอะไรบ้าง ปีนี้ใครช่วยเราทำอะไรบ้าง เราทำอะไรสำเร็จเพราะใครบ้าง ก็อยากให้เค้ารู้"
จากนั้นพิธีกรกล่าวเชิญผู้บริหารจากบริษัท เมจิก ทอล์ก จำกัด และบริษัท ทีวีไดเร็กต์ จำกัด ขึ้นมาเพื่อร่วมให้รายละเอียดเกี่ยวกับงานมากขึ้น เริ่มจากฝ่าย เมจิก ทอล์ก ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้กับ โต๋ ทั้งคอนเสิร์ตและอัลบั้ม โดยให้เหตุผลว่าครั้งหนึ่งเคยบังเอิญได้ฟัง โต๋ เล่นคอนเสิร์ตและเกิดความประทับใจ รวมทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกสาวของคนรู้จักกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง จึงรู้สึกว่า โต๋ มีความไม่ธรรมดาอยู่
ส่วนผู้บริหารจาก ทีวีไดเร็กต์ ซึ่งเป็นผู้จัดคอนเสิร์ต ได้กล่าวถึงคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ว่า "คอนเสิร์ตของเขานี่ ถ้าทุกคนได้สัมผัสจะรู้ว่าเป็นตัวเขาเองทุกกระเบียดนิ้ว จะได้เห็นความตั้งใจ คือคนดูออกมาแล้วจะรู้สึกดี ไม่ใช่แค่เอนเตอร์เทน แต่ได้รับสิ่งดีๆ กลับไปด้วย"
กลับมาที่ โต๋ กับการพูดคุยเรื่องอัลบั้มของเขาอีกครั้ง โดย โต๋ อธิบายถึงอัลบั้มนี้ว่า "หลายคนอาจจะรู้จักผมจากเพลง รักเธอ แต่คราวนี้ผมอยากจะบอกว่าเราเริ่มต้นจากการเป็นนักดนตรี ก็ยังอยากจะกลับมาย้ำจุดเดิมของเราคือการเป็นนักดนตรี เคยออกอัลบั้ม Piano & I Part One ไปแล้วเมื่อปี 2004 ตอนนี้ 2007 ก็เลยมี Piano & I Part Two ออกมา ซึ่งจะมี 2 แผ่น แผ่น 1 เป็นเพลงบรรเลง 14 เพลง ส่วนอีกแผ่นเป็นเพลงร้องพิเศษอีก 3 เพลง"
หนึ่งในเพลงพิเศษของเขาก็คือเพลง "ตามทางของพ่อ" เพลงที่แต่งให้กับคุณพ่อของเขาตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี รวมทั้งอีกหนึ่งเพลงพิเศษที่แต่งให้กับแฟนเพลง คือ "อยากส่งความรัก" จากนั้นเป็นการเปิดตัวอย่างของบางเพลงจากอัลบั้มใหม่ของเขาให้ได้ลองฟังกัน ปิดท้ายโดยผู้บริหารจาก โซนี่ บีเอ็มจี มอบแผ่น ดับเบิ้ล แพลตินั่ม ให้กับ โต๋ เนื่องจากอัลบั้ม Living in C Major ทำยอดขายได้สูง ก่อนจะเชิญผู้บริหารขึ้นมาร่วมมอบรางวัลและถ่ายรูปด้วยกัน
มาถึงช่วงการแสดงพิเศษจาก โต๋ กันแล้ว โดยหนุ่มมาดนุ่มจรดนิ้วบรรเลงเปียโนพร้อมร้องเพลงแรกใน "เพื่อเธอ" ต่อด้วยเมดเล่ย์รวมเพลงบรรเลงจากอัลบั้มใหม่ของเขา ตามด้วยเพลงเพื่อแฟนคลับอย่าง "อยากส่งความรัก" ก่อนจะลาเวทีด้วยเพลงยอดนิยม "รักเธอ" ซึ่งแฟนเพลงก็พร้อมใจกันร้องว่า รักโต๋ ให้เจ้าตัวได้เขินกันไปอีกเช่นเคย
จากนั้นได้เวลาหนุ่ม โต๋ มานั่งให้สัมภาษณ์แบบเต็มๆ กันบ้าง
คอนเสิร์ตครั้งนี้กลัวแฟนเพลงจะเริ่มเบื่อฟังเปียโนบ้างไหม
"ไม่หรอกครับ คือคอนเสิร์ตครั้งนี้มีการเตรียมการหลายๆ อย่าง คืออย่างนึงที่ผมอยากจะทำในคอนเสิร์ตครั้งนี้อยากจะให้ทุกคนเรียนรู้ถึงเพลงบรรเลงด้วย คือผมเชื่อว่ามันมีโอกาสในการฟังเพลงอยู่หลายแบบ คุณคงไม่เปิดเพลงร็อกตอนเช้าหรือก่อนนอน คุณคงไม่เปิดเพลงบรรเลงตอนจะไปเที่ยวผับ ผมคิดว่าแต่ละเพลงแต่ละแนวก็จะมีบรรยากาศมีโอกาสของมันเอง อยากให้ทุกคนเริ่มรู้จักเพลงบรรเลงมากขึ้น แต่รับรองว่าจะไม่เบื่อ เพราะเราได้เตรียมเอฟเฟ็กต์ไว้ประกอบการบรรเลงตลอด เช่น ถ้าเกิดบรรเลงเพลงนี้พูดถึงตอนกลางคืนพูดถึงพระจันทร์ทั้งรอบห้องก็จะมีดาวขึ้นแล้วก็จะมีพระจันทร์อยู่ด้วย ทั้งห้องพารากอนฮอลล์เราจะโอบเป็นซีเนอรีฮอลล์ (Scenery Hall) หมดเลย"
จะมีแบ่งเป็นตอนๆ แบบคราวที่แล้วอีกไหม
"มีครับ คราวนี้จะแบ่งตามคำขอบคุณครับ อย่างเราเริ่มจากขอบคุณพระเจ้า ก็จะเล่นเพลงคริสต์มาส ขอบคุณประเทศชาติก็จะเล่นเป็นพระราชนิพนธ์ เล่นเพลงไทยเดิม ขอบคุณครอบครัวมีเพลงคุณพ่อ มีเพลงที่พูดถึงครอบครัว ขอบคุณแฟนเพลงก็มีเพลงพูดถึงแฟนเพลงอะไรแบบนี้"
ตอนนี้เตรียมการณ์ไปถึงไหนแล้ว
"ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงประชุมกันอยู่ คือเราก็กลัวเหมือนกันว่าอย่างคนที่เจอเพลง รักเธอ แบบคอนเสิร์ตคราวที่แล้วเค้าอาจจะไม่เข้าใจ ซึ่งถ้าถามว่าเปลี่ยนแนวไหม ก็เปลี่ยนไปนิดนึง เพราะครั้งนี้จะมีอัลบั้มบรรเลง คือเป็นคอนเสิร์ตที่รวมทั้งอัลบั้มร้องและอัลบั้มบรรเลง แต่รับรองว่าจะไม่ใช่บรรเลงอย่างที่คุณต้องไปนั่งหลังตรงแล้วก็กลั้นหายใจ ไม่ได้เป็นแนวนั้น คือคุณสามารถสนุกได้ ส่วนแขกรับเชิญยังไม่ขอบอกครับ แต่จะเป็นแขกรับเชิญที่คงคอนเซ็ปต์ของการขอบคุณ เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นคนที่ผมขอขอบคุณเค้าตลอด"
ที่มาที่ไปของอัลบั้มนี้
"คือเราเริ่มต้นมาจากการเป็นนักดนตรี เริ่มต้นมาจากการเล่นเปียโนมาก่อน ผมเชื่อว่าถ้าใครตามผมมาตั้งแต่แรกๆ จะรู้จักผมในฐานะคนเล่นเปียโนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มบรรเลง พี่บอย อัลบั้ม บีไฟว์ (B5) อะไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องกลับมาเป็นนักดนตรีอีกครั้งนึง หลายๆ คนอาจจะพอเห็นเราออกมากับเพลง รักเธอ แล้วอาจจะรู้สึกว่า โต๋ ไปเป็นดาราแล้วเหรออะไรแบบนี้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ฮะ ความจริงแล้วเป็นนักดนตรีเหมือนเดิม ก็อยากทำอัลบั้มนี้เพื่อย้ำว่าเรายังเป็นนักดนตรีอยู่"
โต๋ วางภาพนักดนตรีกับนักร้องสลับกันมาตลอดเลยรึเปล่า
"ความจริงแล้วผมบอกตรงๆ ว่าผมเป็นนักดนตรี ผมไม่ใช่นักร้อง การร้องเป็นสิ่งที่ตามมาทีหลัง เราเริ่มต้นจากดนตรี เราเริ่มต้นจากการเรียบเรียงแต่งเพลง ในอัลบั้ม Living in C Major เราก็แต่งเองหมด เรียบเรียงเองหมด โปรดิวซ์เองหมดทุกเพลง แต่พอออกมาเป็นนักร้อง คนก็จะมองการเป็นนักร้องเป็นดารามากกว่า ก็เลยไม่ได้มองความเป็นคนเบื้องหลังเท่าไหร่ เราก็เลยอยากจะเน้นภาพการเป็นนักดนตรีของเรา ไม่ใช่นักร้องที่เป็นวัยรุ่นอะไรแบบนั้น"
พอใจกับภาพของตัวเองทุกวันนี้ยังไงบ้าง
"ก็พอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่นะ ได้อยู่ในค่าย ได้อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ให้อิสระผมในการใช้ชีวิตในการทำงาน ในการวางภาพ ทุกอัลบั้มผมก็จะมานั่งบอกเลยว่าคอนเซ็ปต์อัลบั้มเป็นไง ลุกเป็นไง โพสิชั่นเป็นไง ต้องการให้ออกมาเป็นไงบ้าง เค้าก็จะฟังเรา แล้วเค้าจะเสริมเรามากกว่า เค้าให้เราเป็นคนวางแนวทางเอง คือผมก็ดีใจที่เราได้เป็นตัวเองมากๆ อัลบั้มนี้ปกติแล้วกับศิลปินที่เค้าออกเพลง รักเธอ ตอนต้นปี ไม่มีใครออกเพลงบรรเลงตอนปลายปีหรอกครับ เค้าก็จะหยุดยาวเพื่อออกอัลบั้มร้องใหม่ ไม่มีใครอยู่ดีๆ ออกอัลบั้มบรรเลงทำไม แล้วผมก็บอกด้วยว่ามันเป็นสิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำนะ เพราะผมไม่อยากให้คนลืมไปว่าผมเป็นนักดนตรี"
จะทำสลับไปแบบนี้เรื่อยๆ เลยรึเปล่า
"ใช่ครับ อยากได้ชุดร้องกับชุดบรรเลงสลับกันแบบนี้ตลอด ชุดร้องก็จะเด็กลงมาจะวัยรุ่นขึ้น ปกอัลบั้มก็จะวัยรุ่นขึ้น แต่ที่เห็นปกชุดนี้ก็จะโตขึ้นจะเป็นแนวอาร์ตๆ อะไรก็จะเปลี่ยนไปหมด ให้คอนทราสต์กันทั้ง 2 ชุดครับ"
กลัวหมดมุกในการนำเสนอไหม เพราะปีนึงต้องออกงานเยอะแบบนี้
"ไม่ครับ ผมคิดว่ามันมีอะไรที่เราเรียนรู้ได้ตลอด ตราบใดที่เรายังเปิดใจกว้างในการใช้ชีวิต มันสามารถมีไอเดียมาอยู่ในตัวเราได้เสมอ ถามว่าหมดมุกไหม ผมคิดว่าคงไม่หมด มันเป็นอะไรที่เราโตขึ้นไปเรื่อยๆ ชุดนี้ผมก็คิดว่าผมโตขึ้น ผมได้เรียนรู้อะไรจากชุดที่แล้วเยอะ ผมคิดว่าเป็นการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ"
คิดอะไรเวลาเราทำงานแต่ละชุด
"คิดอย่างแรกเลยคือเราต้องการจะสื่ออะไรให้กับแฟนเพลง คุณต้องการลุกเป็นยังไง อัลบั้มนี้คอนเซ็ปต์เป็นยังไง เป็นวัยรุ่นแบบร้องเพลง รักเธอ รึเปล่า หรือว่าจะเป็นบรรเลง ถ้าจะเป็นบรรเลงนี่ก็ต้องตั้งใจว่าเป็นนักดนตรีนะ ก็ต้องมีเพลงที่ดูเป็นนักดนตรีบ้าง ดูโตขึ้นบ้าง คือคุณต้องทำลุกคุณให้ชัดเจนน่ะครับ แต่เมนๆ เลยคือเราจะคุมงานเองหมด อัลบั้มนี้ตามตารางแล้วต้องออกปลายเดือนตุลาครับ แล้วก็เลื่อนมาเพราะว่าผมติดนู่นติดนี่ ทำไม่ทัน ก็ต้องเลื่อนมา เพราะยังไงเราก็ยังไม่ปล่อยให้เรื่องการอัดการเรียบเรียงการโปรดิวซ์มันหลุดมือไป คือไม่ว่าตารางจะแน่นแค่ไหน ผมก็ต้องทำเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นตัวเรา ศิลปินควรจะต้องทำงานเอง ดังนั้นเนี่ยผมก็จะลงเวลาไว้เลยว่าช่วงนี้ไม่รับงานอะไรเลย เพราะอยากทำอัลบั้มให้เสร็จ"
แล้วแบ่งเวลาทำงานยังไงบ้าง
"ก็จะโหดๆ หน่อย คือวันไหนถ้าผมเห็นตารางว่าง ผมก็จะล็อกเป็นเดย์ออฟไว้เลย เพื่อจะได้ทำอัลบั้ม คือบางคนพอหมดช่วงโปรโมตก็ได้พักได้ไปเที่ยว แต่ของผมนี่ถึงจะยังมีงานโปรโมตอยู่ แต่ก็ใช้เวลาจากพักนั่นแหละเป็นการคิดเรื่องอัลบั้มใหม่ ก็ต้องแบ่งให้ได้ ต้องทำให้ได้"
ชุดนี้นี่มีแนวคิดยังไงบ้าง
"เป็นอัลบั้ม Piano & I Part Two เป็นอัลบั้มบรรเลง ชุดที่แล้วจะมีเปียโนตัวเดียว แต่ชุดนี้จะเพิ่มเครื่องดนตรี รายละเอียดจะเพิ่มขึ้นในแง่ของเพลงบรรเลงจะมีออเคสตร้าเพิ่มเข้ามาบ้าง มีขลุ่ยไทยเพิ่มเข้ามาบ้าง มีซาวนด์อีเล็กทริกเพิ่มเข้ามาบ้างจะหลากหลายขึ้นมานิดนึง แต่ไม่ใช่แค่เล่นเปียโนตัวเดียวตลอด จะเริ่มโตขึ้นมานิดนึง จะเปลี่ยนแนวไปบ้าง เพราะคิดว่าแฟนเพลงเค้าก็โตไปกับเราด้วย เมื่อก่อนเปียโนตัวเดียวอาจจะพอ แต่พอโตมา พอปีนี้ผมก็คิดว่าน่าจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมา ไม่ใช่ออกมาเปียโนตัวเดียวตลอด อันนั้นน่ะหมดมุกแล้วล่ะ อันนี้ก็อาจจะมีอะไรมาเปลี่ยนฟีลบ้าง เปลี่ยนซาวด์บ้าง เพิ่มความแปลกใหม่ แนวเพลงก็จะออกป๊อปบ้าง ออกคลาสสิกบ้าง บางทีก็จะออกเป็นนิวเอจ"
ต้องการสื่อสารกับคนฟังยังไง
"เพลงบรรเลงนี่สังเกตทุกอัลบั้มของผม ผมจะเขียน ไลเนอร์ โน้ต คุณเปิดในปกเนี่ยจะมีคำสั้นๆ ที่พูดถึงเพลงนี้ตลอด ผมว่ามันสำคัญ โดยเฉพาะในเพลงบรรเลงนี่คุณต้องช่วยให้เค้าคิดภาพตามด้วย เพราะฉะนั้นในอัลบั้มนี้จะมี ไลเนอร์ โน้ต เขียนตามตลอดว่าเพลงนี้มาจากไหน ยกตัวอย่างเพลงไทยเดิมเพลงนึงที่ผมแต่งขึ้นมาใหม่ชื่อเพลง ใต้ร่มโพธิ์ ผมตั้งใจใช้ชื่อนี้เพราะว่าพูดถึงความเป็นไทย พูดถึงใต้ร่มโพธิ์ คือเราอยู่ในผืนแผ่นดินไทย เรามีในหลวง เหมือนกับโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ทำให้คุณฟังแล้วคุณคิดภาพตาม นั่นเป็นการช่วยให้วัยรุ่น ช่วยให้เด็กที่ไม่เคยฟังเพลงบรรเลง คิดว่ามันฟังยาก น่าเบื่อ เริ่มอินตามเริ่มรู้จักเพลงบรรเลง"
เอาเพลงดังๆ มานำเสนอด้วยใช่ไหม
"ใช่ครับ แล้วก็แต่งใหม่ด้วย คืออัลบั้มนี้มีสัดส่วนทั้งหมด มีเพลงจากอัลบั้ม Living in C Major 3 เพลง แล้วก็เบเกอรี่เก่า (เบเกอรี่มิวสิค) เช่น ฤดูที่แตกต่าง เรื่องเดียว แล้วก็เพลงแต่งใหม่อีก 3 เพลง เพลงไทยเดิม 2 เพลง แล้วก็มีเพลงคริสต์มาสด้วย คือต้องการให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ใครๆ ก็ฟังได้ ไม่ใช่อัลบั้มที่เปิดปุ๊บรู้จักแต่วัยรุ่นอย่างเดียว ต้องการให้ผู้ใหญ่คนมีอายุฟังได้ด้วย แล้วก็มีเพลงแต่งใหม่ด้วย ไม่ใช่ว่ามีเพลงแต่งใหม่ทั้งหมด อันนี้คนก็จะไม่รู้จักว่าเพลงอะไร แต่ถ้ามีเพลงแต่งใหม่สลับกันอยู่ ก็จะช่วยให้การฟังเพลงง่ายขึ้น"
ความพิเศษของงานชุดนี้
"ก็จะมีเพลงใหม่ 3 เพลง แล้วก็มีเพลงทั้งหมด 19 แทร็ก ถ้าบอกว่าไม่คุ้ม ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ผมทำให้ 19 แทร็ก ถ่ายเอ็มวีให้เสร็จเลย ผมตั้งใจแล้วว่าต้องมีเอ็มวีมีอะไรให้เสร็จให้มันขอบคุณจริงๆ แล้วปกก็ทำเป็นแนวใหม่ ปกนี้จะเป็นปกอัลบั้มผมอันแรกที่ไม่มีเปียโน จะอาร์ตนิดนึง ปกอัลบั้มชุดที่แล้วมันจะแบบเด็กๆ"
มีแผนจะทำงานเพลงให้คนอื่นบ้างไหม
"ค่อนข้างจะยาก เพราะถ้าเป็นโปรดิวเซอร์ให้คนอื่นก็จะไม่มีเวลาคิดงานให้ตัวเอง แต่ถ้าถามว่าช่วยแต่ง ฟีเจอริ่ง ซักเพลงสองเพลงได้มั้ย อันนี้ได้แน่นอน ผมเคยทำมาแล้วนะครับ ความจริงผมเริ่มงานในวงการนี่ก็จากเบื้องหลังมากกว่า เพลงต่างๆ ของเบเกอรี่ ของ พี่บอย (บอยด์ โกสิยพงษ์) ที่มีเปียโนอยู่ บางเพลงคุณอาจจะไม่รู้ว่า โต๋ เริ่มจากตรงนั้น เริ่มมาจาก หัวใจผูกกัน สักวันหนึ่ง เพลงเปิด เพลงรัก ผมเริ่มจากตรงนี้ ถามว่ามีสิทธิ์มั้ย มีสิทธิ์แต่งให้คนอื่นแน่นอน แต่ถ้าถามว่าให้ทำทั้งอัลบั้มเอามั้ย ผมคงไม่ทำ ถ้าทำทั้งอัลบั้มคงไม่มีเวลาทำอัลบั้มตัวเองพอดี"
แสดงว่าชอบทำเพลงให้ตัวเองมากกว่ารึเปล่า
"คนอื่นก็ชอบครับ การทำให้คนอื่น การทำเพลงให้ใครซักคนไม่ใช่แค่ว่าอยู่ดีๆ จับเพลงมาซักเพลงแล้วก็ทำให้ได้ ต้องมองตัวเค้าด้วย ผมคงไม่แต่งเพลงร็อกๆ ให้ตัวเองหรอก มันไม่เข้ากัน แต่ถ้าผมได้ร่วมงานกับคนอื่นผมก็จะมองว่าคนนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง จะเสริมอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ว่าเราต้องแต่งเพลงแนวเราให้เค้าร้องนะ ก็กลายเป็นเค้าเป็นเรา การแต่งก็ต้องดูตัวเค้า มันสนุกเพราะได้ลองอะไรแปลกๆ ผมได้ลองแต่งอะไรที่ไม่ใช่เรา เราไม่ต้องร้อง แต่งอะไรบ้าๆ ได้ เพราะมันไม่ใช่เรา อย่างแต่งให้ เบน (เบน - ชลาทิศ ตันติวุฒิ) ร้องเนี่ย แต่งอะไรก็ได้มันร้องได้หมดแหละ อยู่ที่ตัวคนมากกว่า"
แล้วมีความคิดจะขายต่างประเทศบ้างไหม
"ผมก็คิดบ้าง แต่ไม่ได้เก็บมาคิดเยอะมาก คือผมคิดว่าถ้าคุณยังทำให้คนในบ้านรักคุณอย่างเหนียวแน่นไม่ได้ ยังดูแลเค้าไม่ดีพอแล้วคุณจะไปต่างประเทศทำไม คนในบ้านกันต้องรักก่อน ต้องทำในประเทศไทยให้ดีก่อน เพราะถ้าไปต่างประเทศแล้วเนี่ยคนที่จะสนับสนุนเรามากที่สุดก็คือคนในบ้านเรา ดังนั้นถ้าคนในประเทศยังรักคุณไม่เต็มเนี่ย คุณจะไปทำให้คนต่างชาติรักคุณไม่มีทาง"
ร่วมเก็บเกี่ยวความประทับใจจากคอนเสิร์ตสุดอบอุ่นของเขาได้อีกครั้งใน "โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร คอนเสิร์ตขอบคุณจากหัวใจ" วันที่ 22 ธันวาคม นี้ พร้อมติดตามอัลบั้มใหม่ "Piano & I Part Two" วันที่ 29 พฤศจิกายน นี้