1. สยามโซน
  2. เพลง
  3. ข่าวสารวงการเพลง

ดึงตัว นัท เอเอฟ 4 มาเฉลยประเด็นร้อน ตอบทุกข้อสงสัย

ดึงตัว นัท เอเอฟ 4 มาเฉลยประเด็นร้อน ตอบทุกข้อสงสัย

ผ่านไปแล้วกับรายการยอดนิยม "ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 4" หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เอเอฟ 4 ซึ่งทาง ทรูวิชั่นส์ ได้จัดงานเลี้ยงฉลอง "Thank You for Believing in Our Dream" เพื่อเป็นการขอบคุณบรรดาแฟนคลับ สื่อมวลชน และผู้ให้การสนับสนุนของรายการ ที่มีส่วนทำให้ยอดโหวตในปีนี้มากกว่าทุกปีถึง 20 ล้านโหวต เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ณ โรงแรมดุสิตธานี

ก่อนที่งานจะเริ่มต้น มีโอกาสได้พบเจอกับ "นัท - ณัฐ ศักดาทร" จึงไม่รอช้ารีบดึงตัวผู้ชนะของรายการคนนี้ มาคุยกันถึงเรื่องงานและเรื่องข่าวทั้งหลายที่เกิดขึ้นชนิดหมดเปลือก

พอได้ออกจากบ้านมาแล้วรู้สึกยังไงบ้างกับกระแสการตอบรับ

"ก็ไม่คาดคาดคิดเลยว่าจะได้รับความรักมากมายจากคนที่เค้าเชียร์เราอยู่ คืออยู่ดีๆ พอออกมาจากบ้านถึงรู้ว่าเราได้ทำให้คนเค้ามีความสุขกับเรา เป็นอะไรที่วิเศษมาก ทำให้รู้ว่าการที่เรามาตรงนี้ไม่ใช่เราคนเดียวที่ได้รับประโยชน์ แต่มีคนอื่นๆ ที่เราไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำว่าจะได้ประโยชน์"

แล้วตอนอยู่ในบ้าน คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราถนัดสุด

"คิดว่าเป็นการร้องเพลง เพราะ นัท ไม่ค่อยมีพื้นฐานทางการแสดงหรือการเต้นเท่าไหร่ แต่การร้องเพลงก็เคยเรียนมาบ้าง พอจบแล้วก็คิดว่าในสามอย่างนี้การร้องเพลงก็น่าจะเป็นอะไรที่ถนัดที่สุด แต่ครูแอ๊กติ้งก็มีชมบ้างว่าทำได้ดี บุคลิก นัท เหมาะเป็นตัวพ่ออะไรแบบนี้ (หัวเราะ) แต่ นัท ก็ว่ายังไม่ใช่นะ"

เป็นตัวพ่อตั้งแต่สัปดาห์ไหน

"ไม่ทราบเหมือนกันครับ ก็อยู่ดีๆ ก็มีหลังๆ ที่จะเรียกเราไปเป็นตัวพ่อ"

กดดันไหม

"ไม่ครับ แต่ก่อนเราจะคิดว่าการแอ๊กติ้งนี่เป็นอะไรที่ต้องคิดเยอะ แต่พอได้มาเรียนทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องคิดอะไรมากเลย แค่มีความเชื่อแล้วก็เป็นตัวของตัวเอง ก็เลยคิดว่าไม่ค่อยกดดันครับ"

แล้วตอนโดนวิจารณ์กดดันไหม

"ไม่กดดันหรอกครับ เหมือนเป็นแรงผลักดันมากกว่า เพราะทำให้เรารู้ว่าควรจะปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง"

แล้วคิดว่าสัปดาห์ไหนยากที่สุด

"สำหรับ นัท เป็นวีกลูกทุ่งครับ เป็นโจทย์เพลงที่กลัวที่สุดตั้งแต่ก่อนเข้าบ้านแล้ว ไม่เคยร้องเพลงแนวนี้มาก่อนเลย พอได้มาร้องจริงๆ ทำให้รู้ว่าการใช้สำเนียงการใช้อะไรต่างๆ ไม่ใช่ง่ายๆ เลย จำได้ว่าวันแรกๆ นี่ทำยังไงครูก็ยังบอกว่ายังไม่ลูกทุ่งๆ ทั้งๆ ที่เพื่อนคนอื่นเค้าทำได้กันหมดแล้ว เราก็เลยเครียดขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ได้เพื่อนๆ มาช่วย ก็เลยทำได้ในระดับนึง แล้ววีกหลังจากนั้นก็โชคดีตรงที่ครูวอยซ์ เค้ามอบรางวัลร้องดีประจำวีกลูกทุ่งให้ คือ นัท กับ แจ็ค ได้ทั้งสองคน คล้ายๆ กับว่าเรามีพัฒนาการมาก อาจจะจาก 0 เป็น 5 ขณะที่คนอื่นอาจจะ 7 ไปเป็น 8"

ตอนที่เราต้องเลือกเพื่อนเข้าบ้านอีกทีนี่เป็นยังไงบ้าง

"กดดันมาก ตอนแรกก็คิดว่าเราจะออกไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วเค้าก็ประกาศมาว่าเราได้คะแนนสูงสุด พอเค้าให้เกราะป้องกันนี่ ให้พูดตรงๆ เลยนะ ไม่ได้เสแสร้งดัดจริตเลย คือไม่อยากได้มากๆ คือถ้าสมมติเราได้มาแล้วอาทิตย์ต่อไปพอเราคะแนนต่ำสุดแล้วเราไม่ต้องออก เป็นอะไรทีไม่แฟร์ ทำไมจะต้องมาประจวบตรงอาทิตย์นี้ แล้วคนที่เค้าได้คะแนนสูงสุดอาทิตย์ก่อนทำไมเค้าไม่ได้บ้าง นัท คิดว่าไม่แฟร์ เราได้คะแนนต่ำสุดเราก็ควรจะออกตามกฎกติกา ก็เลยดีใจตอนที่ อาต้อย (ต้อย - เศรษฐา ศิระฉายา) บอกว่า นัท สละมันไปก็ได้ แล้วไปช่วยเพื่อนแทน ก็เลยเลือกที่จะช่วยเพื่อนสองคนแทน

ทีนี้ก็ยังกดดันอยู่ดี เพราะถึงแม้ช่วยเพื่อนสองคนได้ ก็ยังมีเพื่อนอีก 5 คนที่ไม่ได้ถูกเลือก เป็นการตัดสินใจที่ยาก ถ้าเลือกได้จริงๆ ก็อยากจะเลือกให้ทุกคนกลับมาด้วยซ้ำ แต่นี่สถานการณ์บีบบังคับ ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกว่าไม่ใช่การแข่งขันแล้ว การได้ลำดับที่เท่าไหร่ไม่สำคัญแล้วเพราะการที่เรามาตรงนี้เราไม่ได้แข่งกันเองแล้ว เรามาแข่งกับตัวเองกันทั้งนั้น เมื่อการได้ลำดับที่เท่าไหร่ไม่สำคัญแล้ว ทีนี้ก็อยากจะให้โอกาสกับคนที่เค้าได้รับโอกาสมาสัมผัสประสบการณ์ที่วิเศษตรงนี้น้อยที่สุดมากกว่า ก็คือคนที่ออกไปก่อน 2 คน เหมือนถ้าเปรียบง่ายๆ ก็คือ นัท มีเค้กอยู่ชิ้นนึง ทุกคนก็เห็นว่าอร่อย ทุกคนก็ชอบ แต่ได้กินมันไม่เท่ากัน ทีนี้ถ้า นัท มีสิทธิ์เลือกให้เค้ก 2 ชิ้นกับใครก็ได้ นัท ก็คงจะเลือกคนที่ได้กินมันน้อยที่สุด"

แล้ววันที่ประกาศผลรู้สึกยังไงบ้าง

"จริงๆ ไม่คิดว่าจะได้ พอไปยืน 2 คนก็คิดว่า ต้อล (ต้อล - วันธงชัย อินทรวัตร) จะได้ตลอดเลย เพราะพูดตามตรง นัท ไม่ได้คิดว่าเป็นคนที่เสียงดีที่สุดในซีซั่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วการที่ได้รางวัลนี้มา บ่งบอกว่านี่คือเรียลลิตี้โชว์ทีวีจริงๆ คือคนที่ชนะไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่ด้วยเหตุผลที่คนชนะตัดสินจากคะแนนโหวต คนโหวตเค้าก็โหวตมาจากหลายปัจจัย ไม่มีใครสามารถเดาได้จริงๆ ว่ามีอะไรบ้าง อาจจะมีเรื่องหน้าตา เรื่องนิสัย เรื่องความพอใจในบุคลิกลักษณะของคนๆ นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการร้องเพลงเพียงอย่างเดียว คือ ณ วันนั้นความรู้สึกแรกตอนรับรางวัลก็คือถามตัวเองว่าจริงหรอ เป็นเราเหรอ เพราะเห็นว่าเพื่อนหลายๆ คนทำได้ดีมากในคืนนั้น ก็เลยไม่คิดว่าจะเป็นเรา"

ตอนที่ได้ถือรางวัลอยู่ในมือแล้วนี่รู้สึกยังไง

"ตอนแรกคืองง หลังจากงงแล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นคนที่โชคดี รู้สึกเหมือนได้รับความรัก ได้รับกำลังใจ แล้วก็ความเมตตามากมายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ นัท เข้าไปตรงนั้นก็คิดแค่ว่าทำตัวธรรมดา เป็นคนๆ นึง แล้ว นัท ก็คิดว่า นัท ไม่ใช่เดอะวินเนอร์คนเดียว ทุกคนก็เป็นเดอะวินเนอร์ในเชิงที่ได้ก้าวมาตรงนี้และได้เอาชนะใจตัวเองขั้นนึง บางคนอาจจะพูดว่าเดอะวินเนอร์ได้ก้าวไปสู่บันไดขั้นสูงสุด แต่ นัท คิดว่ามันเป็นแค่บันไดขั้นแรกของพวกเรา เป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญคล้ายๆ กับบอกเราว่าเรามีความฝัน มีความกล้า เรามีความสามารถที่จะทำตรงนี้ แต่ยังไงก็ต้องมีบันไดอีกหลายขั้นให้เราก้าวขึ้นไปพิสูจน์ตัวเอง ตอนนั้นก็เป็นรายการทีวี ตอนนี้เราออกสู่โลกของความเป็นจริง ก็ยังมีหลายๆ อย่างให้เราได้เผชิญ"

ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

"ไม่เคยคิดว่าจะมีคนมาตามเราไปโน่นไปนี่ แล้วตอนนั้นเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้วได้อ่านข้อความของน้องๆ แฟนคลับหลายๆ คน บางข้อความเขียนว่า นัท เป็นแรงบันดาลใจให้เค้า เป็นตัวอย่างให้เค้าทำดีขึ้น ก็รู้สึกประทับใจว่าเรามาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ทำความฝันของเราคนเดียว แต่เราช่วยเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เป็นเหมือนผลประโยชน์โดยบังเอิญ แต่เป็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาก"

แล้วตอนนี้ทำอะไรกันอยู่

"ตอนนี้เราทั้ง 12 คนก็กำลังทุ่มเทให้กับงานอัลบั้มรวมที่กำลังจะออกน่ะครับ ชื่ออัลบั้ม เอ็กซ์ตรีม อาร์มี (X-Treme Army)"

คาดหวังกับอัลบั้มรวมชุดนี้ยังไงบ้าง

"ก็อยากให้คนชอบนะครับ แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนเค้าจะชอบมากน้อยแค่ไหน แต่แค่มีคนกลุ่มนึงที่ฟังแล้วได้รับความสุขจากมันแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปดูว่ายอดขายจะไปถึงหลักนั้นๆ เพราะการที่เรามาตรงนี้เรามาตามล่าความฝัน ไม่ใช่ตามล่าความดัง สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จไหม ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนให้ความหมายกับความสำเร็จยังไง สำหรับ นัท แล้วความสำเร็จคือการทำให้คนมีความสุข การที่เราร้องเพลงออกไปแล้วเค้าได้รับสิ่งดีๆ จากเราแค่นี้ก็พอแล้ว จะเป็นคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มมากก็แล้วแต่"

นอกจากงานรวมแล้วจะมีงานเดี่ยวกันบ้างรึเปล่า

"ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกับทางผู้ใหญ่เลยครับ เพราะว่าเค้าอยากให้เราโฟกัสไปที่งานนี้ก่อนเพื่อตอบแทนให้กับคนที่ให้กำลังใจเรามา ก็อยากให้ทำกันเป็นทีมครับ แล้วหลังจากคอนเสิร์ตก็ค่อยมาคุยกันว่าใครน่าจะไปทางไหนเพราะเราต้องดูกระแสไปก่อนด้วย"

ถ้ามีโอกาสทำอัลบั้มเดี่ยวอยากทำแนวไหน

"คงเป็นป๊อปผสมอาร์แอนด์บี เน้นเพลงซึ้งๆ เป็นเอเชี่ยนป๊อปหน่อยๆ"

ทำงานจริงกับเวลาซ้อมขึ้นคอนเสิร์ตแต่ละสัปดาห์ต่างกันไหม

"ต่างกันเยอะ เพราะตอนซ้อมขึ้นคอนเสิร์ตเราร้องกันแค่คนละเพลงสองเพลง แล้วก็มีเวลาทั้งสัปดาห์เพื่อจะฝึกฝนร้องเพลงๆ นั้น แต่พอออกมานี่วันๆ นึงเราต้องทำหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่อัดเสียงอย่างเดียว เราต้องรับหน้าที่ทั้งไปถ่ายแบบ ไปเยี่ยมสื่อมวลชน แล้วก็ไปออกรายการโปรโมตต่างๆ ในขณะที่ทำอัลบั้มไปด้วย เวลานอนก็น้อย ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ายิ่งกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ"

งานเยอะแบบนี้ดูแลตัวเองยังไง

"ก็พยายามนอนให้มากที่สุดระหว่างวัน เพราะช่วงนี้นี่เฉลี่ยๆ ได้นอนวันละ 3 ชั่วโมงบ้าง 5 ชั่วโมงบ้าง ก็อาศัยนอนกลางวันเอา อย่างการกินนี่โชคดีหน่อยที่มีน้องๆ แฟนคลับเอามาให้เกือบทุกมื้อ ก็จะไม่ค่อยอดอยาก จะมีเยอะเกินซะด้วยซ้ำ"

แบบนี้ก็คงมีเวลาส่วนตัวน้อยลง

"ก็น้อยลง ตั้งแต่ออกมาก็เจอเพื่อนแค่ครั้งเดียว คงมีเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนกับครอบครัวน้อยลง แต่ในเมื่อเรามาอยู่ตรงนี้แล้ว การที่เราได้อะไรดีๆ มา ก็ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็คุ้มค่ากับความฝันที่เราฝันมานานแล้ว"

แล้วข่าวเรื่องที่มีการล็อกโหวตล่ะ รู้สึกยังไงบ้าง

"ข่าวนี้ตอนที่รู้ครั้งแรกคือวันที่ประกาศผล แล้วมีพี่ๆ นักข่าวมาถาม นัท ยังงงอยู่เลยว่าล็อกโหวตแปลว่าอะไร ความรู้สึกแรกที่ได้รู้ก็คือเสียใจ แต่ไม่ได้เสียใจที่คนเค้าไม่เชื่อเรา แต่เสียใจที่เค้าไปพาดพิงถึงคุณพ่อคุณแม่เราขนาดนั้น นัท มาตรงนี้ แค่อยากมาทำความฝันของตัวเอง ไม่ต้องการทำให้ใครเดือดร้อนโดยเฉพาะคนที่รัก นัท ที่สุด ก็คือพ่อแม่ แต่พอเป็นแบบนี้มีข่าวโจมตีพ่อแม่แบบนี้ ก็รู้สึกเสียใจมาก กระทบกระเทือนใจเราที่สุดแล้วตอนนั้น แต่พอออกมาจากบ้านได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่และรู้ว่าทั้งสองคนเข้มแข็ง รู้ว่าความจริงเป็นยังไงก็ทำให้สบายใจมากขึ้น

ตอนนั้นก็ชี้แจงกับทุกคนไปแล้วว่าครอบครัว นัท โอเคยอมรับว่ามีฐานะค่อนข้างดี แต่ไม่คิดว่าเราจะมีฐานะแล้วก็มีกองทรัพย์มากพอที่จะทำให้คนๆ นึงเป็นแชมป์ของรายการ อคาเดมี แฟนเทเชีย ที่มีคนดูทั้งประเทศ อีกประเด็นนึงคือสมมติเรามีเงินมากขนาดนั้นจริงๆ เงินจำนวนนั้นไม่ใช่อะไรที่หามาง่ายๆ ถูกมั้ยครับ แล้วจะเอามาใช้หมดไปเพื่อการนี้ เหมือนการซื้อรางวัล ซื้อความภาคภูมิใจ ซึ่งทำแล้ว นัท ก็คงไม่ภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับ ครอบครัว นัท ก็คงเข้าใจตรงจุดนั้นแล้วก็คงไม่ทำแบบนั้นแน่นอน จริงๆ แล้วคุณแม่นี่ตอนโดนนักข่าวสัมภาษณ์นี่ก็ตอบไปแบบเดียวกับ นัท เลยโดยที่เรายังไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ"

คิดไหมว่าก่อนหน้านี้ท่านต้องเจออะไรมาบ้าง

"คิดครับ ก็เป็นห่วง แต่พอได้คุยกับพ่อแม่ก็รู้ว่าเค้ายังเข้มแข็งเหมือนเดิม เหมือนเค้าก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ แต่ นัท เชื่อว่าคนเราถ้าตั้งมั่นในหลักความจริง เรารู้ว่าความจริงคืออะไรแล้วยึดอยู่กับมัน ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องไปสะทกสะท้าน ข่าวต่อมาก็คือเรื่องที่บอกว่า นัท เป็นตัวเก็งอยู่แล้วตั้งแต่แรกๆ ก็ขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเลย เพราะ นัท คิดอยู่เสมอว่าต้องออกในทุกๆ วีกก็เตรียมใจไว้เลย แล้วก็มีวีกวันแม่ที่เป็นครั้งแรกที่ นัท ออกไปยืนปากเหว ก็คิดว่าเราจะต้องออกแน่ แล้วอย่างวีกที่มีเซอร์ไพรส์ ก็คิดอีกว่าจะต้องออกแน่

สิ่งนึงที่ทำให้คิดว่าไม่ได้เป็นตัวเก็ง เพราะก่อนมาสมัครนี่ นัท เกือบจะไม่มาสมัครด้วยซ้ำ เพราะได้ยินข่าวว่าเค้าล็อกไว้แล้ว 12 คนซีซั่นเนี่ย ก็แอบเสียดายแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป เพราะอยากจะได้ประสบการณ์ แล้วก็ติดมา ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วข่าวลือนั่นไม่จริงด้วยซ้ำ เราก็คิดว่าเราคงไม่ใช่ตัวเก็ง เพราะตอนแรกก็เกือบจะไม่ได้สมัครด้วยซ้ำ เราจะเป็นตัวเก็งได้ไง ส่วนข่าวต่อไปนี่ก็ข่าวกะ ต้อล บอกตามตรงเลยว่าเป็นพี่น้องกันครับ เราแค่สนิทกันมากเท่านั้นเอง"

เริ่มสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่

"คงในบ้านน่ะครับ อาจจะก่อนเข้าบ้านหน่อย คือตอนที่เราไปเวิร์กชอปที่พัทยากัน แล้วนั่งรถบัสกลับมาด้วยกันก็ได้คุยนั่นคุยนี่กันเยอะแยะ คือเราเป็นคนเชียงใหม่ด้วยกันแค่ 2 คน เป็นคนบ้านเดียวกัน มาด้วยกัน ทำให้รู้สึกผูกพันกันไปเองโดยปริยาย แล้วรสนิยมทางดนตรีคล้ายๆ กันด้วย ก็เลยได้เล่นดนตรีด้วยกันบ่อย แล้วนิสัยก็คล้ายๆ กัน คือเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น"

ตกใจไหม ออกมาเห็นข่าว

"ไม่ตกใจครับ ตั้งแต่อยู่ในบ้านเพื่อนๆ ก็แซวกัน แต่แซวกันขำๆ ถ้าเป็นเรื่องจริงเค้าคงไม่กล้าแซวกันขนาดนั้นหรอก เลยคิดว่าโห อยู่ในบ้านยังโดนแซว ออกไปต้องโดนแน่เลย แล้วก็โดนจริงๆ (หัวเราะ) ไม่ได้เครียดอะไร เพราะกับข่าวนี้ถึงแม้จะมีกระแสว่ารักกันแบบชาย-ชาย แต่ก็มีอีกหลายคนที่เค้าชื่นชมในความเป็นพี่น้องของเรา เค้ามีความสุขไปด้วยกับการเฝ้ามองมิตรภาพของเรา ทำให้รู้สึกประทับใจ แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ควรไปหวั่นไหวกับกระแสข่าว"

แล้วที่ผ่านๆ มานี้มีแฟนบ้างรึเปล่า

"ก็มีครับ ก็ต้องมีกันบ้าง (หัวเราะ) ก็ช่วงมหา'ลัยครับตอนเรียนที่โน่น (มหาวิทยาลัย ฮาร์เวิร์ด สหรัฐอเมริกา) เป็นคนจีนที่เกิดที่โน่น แต่ก็เลิกกันไปแล้วเพราะเรากลับมาเมืองไทย ก็ไม่อยากจะปิดโอกาสของแต่ละฝ่าย เพราะการติดต่อสื่อสารกันก็ลำบาก เลยเลิกกันดีกว่า"

แล้วการเข้ามาอยู่บ้าน เอเอฟ ได้อะไรบ้าง

"นัท กล้าพูดเลยว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิต ได้รับอะไรมากกว่าการพัฒนาความสามารถ ได้มิตรภาพ ได้เพื่อนใหม่ ได้ทัศนคติ ได้มุมมองใหม่ๆ ได้มาผูกพันกับคนมากมาย ที่ไม่คิดว่าจะได้คือพวกแฟนคลับทั้งหลาย เป็นโอกาสที่ดีมาก นัท จะมีคติประจำใจว่า หยุดฝันก็ไปไม่ถึง ซึ่งเป็นชื่อเพลงๆ หนึ่งของวง แคลช มันจริงนะ คือทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิด ถ้าเราไม่คิดที่จะฝัน ก็ไม่มีการกระทำเกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยถ้าเราคิดที่จะฝัน อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งไปล้มเลิก ถ้าเราแน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ ก็ต้องกล้าเดินออกไปไขว่คว้ามัน เพราะถ้าเราไม่กล้าเดิน ก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

ก่อนหน้านี้ นัท ก็ได้แต่ฝันมาหลายปีโดยที่ไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาตรงนี้มันถึงมีอะไรเกิดขึ้น ก็อยากให้ทุกคนลองดู คิดว่าวัยรุ่นสมัยนี้ทุกคนกล้าแสดงออกมากขึ้นแล้วล่ะ แล้วคิดว่าการกล้าแสดงออกแบบนี้ก็เป็นอะไรที่ดี ที่ควรสนับสนุนอยู่แล้ว"

สำหรับบรรยากาศภายในงานเลี้ยง มีการมอบรางวัลแก่เหล่านักล่าฝันทั้ง 12 คนอย่างเป็นทางการ แต่น่าเสียดายที่วันนั้น "ต้อล - วันธงชัย อินทรวัตร" รองชนะเลิศลำดับที่ 1 เข้าโรงพยาบาล จึงไม่สามารถมาร่วมงานด้วยได้ จากนั้นเป็นกิจกรรมสุดฮา เปิดเวที อคาเดมี แฟนเทเชีย จำลอง ให้บรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายมาประกวดร้องเพลง โดยมีการจับสลากเพื่อประกบคู่ร้องเพลงกับสมาชิกนักล่าฝันตัวจริง ก่อนที่นักล่าฝันทั้ง 12 คนจะปรากฏตัวออกมาร้องเพลงร่วมกันเป็นการปิดท้ายงาน

นอกจากงานในครั้งนี้แล้ว ทรูวิชั่นส์ ยังเตรียมจัดคอนเสิร์ต "True AF4 X-Treme Army in Concert" ในวันที่ 13 ตุลาคม 2550 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี รวมทั้งการพบปะแฟนคลับแบบใกล้ชิด เริ่มต้นวันที่ 20 ตุลาคม 2550 ที่โรงแรม ไดมอนด์พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี 27 ตุลาคม 2550 โรงแรม โลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ และ 3 พฤศจิกายน 2550 โรงแรม เจริญศรี แกรนด์ รอยัล จังหวัดอุดรธานี

สงวนลิขสิทธิ์ © ห้ามคัดลอก ตัดต่อ
ดัดแปลงหรือเผยแพร่ในสื่อใดๆ ก่อนได้รับอนุญาต
กดเพื่อดูรูปใหญ่ ปัดซ้าย-ขวาเพื่อดูรูปถัดไป
  • รูปภาพ 1
  • รูปภาพ 2
  • รูปภาพ 3
  • รูปภาพ 4
  • รูปภาพ 5
  • รูปภาพ 6
  • รูปภาพ 7
  • รูปภาพ 8
  • รูปภาพ 9
  • รูปภาพ 10
  • รูปภาพ 11
  • รูปภาพ 12
  • รูปภาพ 13
  • รูปภาพ 14
  • รูปภาพ 15
  • รูปภาพ 16
  • รูปภาพ 17
  • รูปภาพ 18
  • รูปภาพ 19
  • รูปภาพ 20
  • รูปภาพ 21
  • รูปภาพ 22
  • รูปภาพ 23
  • รูปภาพ 24
  • รูปภาพ 25
  • รูปภาพ 26
  • รูปภาพ 27
  • รูปภาพ 28
  • รูปภาพ 29
  • รูปภาพ 30
  • รูปภาพ 31
  • รูปภาพ 32
  • รูปภาพ 33
  • รูปภาพ 34
  • รูปภาพ 35
  • รูปภาพ 36
  • รูปภาพ 37
  • รูปภาพ 38
  • รูปภาพ 39
  • รูปภาพ 40
  • รูปภาพ 41
  • รูปภาพ 42
  • รูปภาพ 43
  • รูปภาพ 44

ความคิดเห็น