สุดยอดคอนเสิร์ตมหากาพย์วงร็อก ดรีม เธียเตอร์ ในไทย
ผ่านไปแล้วกับสุดยอดคอนเสิร์ต "Dream Theater Live In Concert Octavarium World Tour 2005/2006" ในวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อวงนี้มาบ้าง หรือเคยได้ยินเพลงของพวกเขามาบ้าง แต่สำหรับแฟนเพลงโปรเกรสซีฟร็อกคงรอคอยวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ ที่จะได้พบกับคอนเสิร์ตใหญ่ของวง "Dream Theater" (ดรีม เธียเตอร์) ที่เมืองไทย
Dream Theater เป็นวงดนตรีที่สมาชิกทุกคนเต็มไปด้วยศักยภาพทางดนตรีที่เข้าขั้นระดับโลก มีความเข้มข้นทั้งด้านเนื้อหาและด้านดนตรี มีแฟนเพลงอยู่ทั่วทุกมุมโลก เริ่มก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1986 ด้วยสมาชิกหลัก 4 คน คือ "จอห์น เพทรุกชี่" (John Petrucci) (กีตาร์) "จอห์น เมียง" (John Myung) (เบส) "ไมค์ พอร์ตนอย" (Mike Portnoy) (กลอง) และ "เควิน มัวร์" (Kevin Moore) (คีย์บอร์ด)
หลังจากทั้ง 4 คนได้พบกันที่ Berklee School of Music จากนั้นในปี 1989 จึงออกอัลบั้มที่มีชื่อว่า When Dream An Day Unite หลังจากได้นักร้องนำคนใหม่ "เจมส์ ลาบริเอ" (James Labrie) ซึ่งมาแทน "ชาร์ลี โดมินิชี" Chalie Dominichi) นักร้องคนเก่าที่ลาออกไป และได้ "จอร์แดน รูเดส" (Jordan Rudess) มาเป็นมือคีย์บอร์ดคนใหม่ตั้งแต่อัลบั้มที่มีชื่อว่า Scenes From A Memory ในปี 2001 จนมาถึงอัลบั้มล่าสุด Octavarium ที่แฟนเพลงทั่วโลกก็ยังให้การตอบรับเป็นอย่างดีเสมอมา
หลังจากนาฬิกาบอกเวลา 19:45 น. ทันทีที่ผ้าม่านสีดำถูกปลดลงจากเพดาน แฟนเพลงเมทัลทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กต่างก็ส่งเสียงต้อนรับวง Dream Theater ด้วยเพลงในอัลบั้มใหม่อย่าง "The Root Of All Evil" และ "Panic Attack" และต่อเนื่องด้วยเพลงในอัลบั้ม When Dream And Day Unite คือ "A Fortune in Lies" และสนุกกันต่อกับเพลงเก่า "Under a Glass Moon"
พวกเขาไม่ยอมให้แฟนเพลงได้หยุดพักหายใจ โดยการนำเอาเพลง "Lie" "Peruvian Skies" และเพลงที่มีความยาวมากกว่า 10 นาทีอย่าง "Strange Deja-Vu" มาเล่นอย่างต่อเนื่อง เรียกเสียงโห่ร้องจากแฟนๆ ได้เป็นระยะ และตามติดมาด้วย "Through My Words" และ "Fatal Tragedy"
ทุกครั้งหลังจากหมดท่อนที่มีเนื้อร้อง เจมส์ นักร้องนำ จะเดินเข้าไปข้างหลังเวที เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกภายในวงแต่ละคนได้มีโอกาสแสดงความสามารถทางเครื่องดนตรีอย่างเต็มที่ ไล่มาตั้งแต่ จอห์น เปตรุกชี ที่แสดงลีลาการเล่นกีตาร์ระดับเซียนด้วยกีตาร์เพียงแค่ตัวเดียว แต่เหมือนมีกีตาร์หลายตัวอยู่บนเวที จอห์น เมียง ที่แสดงฝีมือการตบเบสมือระวิง และ จอร์แดน รูเดส ที่แสดงท่วงท่าอันพลิ้วไหวของนิ้วทั้ง 10 บนแป้นคีย์บอร์ด
รวมไปถึง ไมค์ ที่มีเอกลักษณ์ถ่มน้ำลายออกมาทุกครั้งที่ตีกลอง พร้อมทั้งผุดลุกผุดนั่งมาเล่นกับคนดู โยนรับไม้กลองกับทีมงานข้างเวทีระหว่างที่กำลังตีกลอง ใช้มือซ้ายสลับกับมือขวา แถมยังเป็นคนร้องประสานเสียงให้กับ เจมส์ อีกด้วย แสดงให้เห็นถึงพลังและความสามารถทางดนตรีอันเต็มเปี่ยมของสมาชิกทุกคนในวง
จากนั้นแฟนเพลงก็ลุกขึ้นมาโยกหัวตามไปกับจังหวะเพลงที่สนุกสนานต่อเนื่องกับเพลง "Solitary Shell" และ "About To Crash (Reprise)" ตามติดมาด้วยเพลง "Losing Time/Grand Finale" ซึ่งเล่นเป็นเพลงสุดท้ายในช่วงของการแสดงแรก ก่อนที่จะมีการหยุดพักคอนเสิร์ตเป็นเวลา 15 นาที
หลังจากหยุดกันไปเติมพลังในช่วงพักกันครู่หนึ่ง เสียงท่อนโซโล่ของกีตาร์ก็ดังขึ้นในเพลง "As I Am" ที่คึกคักสนุกสนานและต่อเนื่องแบบไม่มียั้งกับเพลง "Endless Sacrifice" ก่อนจะพักอารมณ์กันสักนิดกับเพลงที่ทุกคนพอจะส่งเสียงร้องตามกันได้ในเพลง "I Walk Beside You" หลังจากนั้น เจมส์ ก็ขอให้คนดูลุกกันขึ้นมายืนปรบมือโดยพร้อมเพรียงในเพลง "Sacrificed Sons" จนเพลงนี้จบไฟบนเวทีก็ดับลง
แต่เพียงชั่วไม่กี่อึดใจไฟบนเวทีก็ส่องสว่างขึ้นอีกครั้งโดยส่องไปหา จอร์แดน ที่ฉายเดี่ยวกับการเล่นคีย์บอร์ดและฟิงเกอร์บอร์ด (Continuum Finger Board) ในท่อนเริ่มของเพลง "Octavarium" ที่ทุกคนรอคอย ก่อนที่ เจมส์ จะขึ้นมาช่วยเล่นคีย์บอร์ดแล้วปล่อยให้ จอร์แดน ได้มีโอกาสแสดงท่อนลีดของเพลง ถ้าใครลองหลับตาแล้วใช้หูฟังเพลงนี้อย่างเดียว แทบจะไม่ทราบเลยว่าเป็นเสียงของคีย์บอร์ด เพราะเล่นได้ไพเราะและเหมือนกับเสียงของกีตาร์มากทีเดียว
หลังจากนั้นสมาชิกในวงทั้งหมดจึงขึ้นมาบรรเลงเพลง "Octavarium" จนจบเพลงแล้วก็กล่าวคำขอบคุณแฟนเพลงพร้อมเดินกลับลงไปจากเวที จากนั้นไฟก็ดับลงเหมือนว่าคอนเสิร์ตจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่แฟนๆ ที่ไปร่วมอยู่ในงานวันนั้นต่างก็ไม่ยอมให้คอนเสิร์ตจบลง พากันตะโกนเรียกชื่อ Dream Theater และปรบมือพร้อมกันเป็นจังหวะจนเสียงดังสนั่นไปทั่ว
วง Dream Theater กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งตามคำเรียกร้องในเพลง "Through Her Eyes" พร้อมกันนั้น ไมค์ มือกลองของวง ยังได้หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดและชวนให้คนดูหยิบไฟแช็กของตัวเองขึ้นมาจุดตาม ส่วนคนที่ไม่มีไฟแช็กก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดไฟโบกมือตามไปด้วย
จากนั้นเพลง "The Spirit Carries On" ก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนดู ที่ตอนนี้เริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งกันแทบทุกคน และทันทีที่ได้ยินเสียงกีตาร์ท่อนเริ่มของเพลง "Pull Me Under" ดังขึ้น ก็เหมือนเป็นสัญญาณให้คนดูที่นั่งอยู่ด้านหน้าเวทีก็ลุกขึ้นยืนและพร้อมใจกันกรูไปยืนอยู่ข้างหน้าเวที เพื่อร่วมดื่มด่ำบรรยากาศของงานคอนเสิร์ตในช่วงสุดท้าย และช่วยกันร้องเพลงนี้กันดังกระหึ่มโดยมีแฟนเพลงบางคนถึงกับน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจทีเดียว แล้วก็มาถึงเพลง "Metropolis Pt. 1" ที่เป็นเพลงสุดท้ายจริงๆ สำหรับงานวันนั้น
ช่วงกลางของเพลงนี้ได้มีสิ่งที่ทำให้คนดูประทับใจอีกสิ่งหนึ่ง เพราะทันทีที่เล่นมาถึงช่วงกลางเพลง ไมค์มือกลองก็วิ่งไปที่หลังเวทีแล้วไฟบนเวทีก็หรี่ลง พร้อมกับ ไมค์ ที่เดินถือเค้กออกมาอวยพรวันเกิดให้กับ จอห์น มือเบส โดย เจมส์ ได้ชวนให้คนดูร่วมกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับจอห์น สร้างรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากของมือเบสคนนี้ได้ และดูเหมือนเจ้าของวันเกิดจะเขินอายจนขนาดที่ต้องวิ่งไปหลบที่ข้างเวที ก่อนสมาชิกทุกคนในวงจะแยกย้ายกลับไปประจำที่เครื่องดนตรีของตัวเอง และเริ่มเล่นเพลง "Metropolis Pt. 1" ต่อจนจบเพลง
หลังจากนั้นสมาชิกทุกคนในวงทุกคน ก็ได้ออกมายืนหน้าเวทีจับมือกันโค้งขอบคุณคนดูท่ามกลางเสียงปรบมืออันกึกก้องและยาวนานของคนดูทั่วทั้งงาน ให้กับความยอดเยี่ยมของวง Dream Theater ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านท่ามกลางรอยยิ้ม และความประทับใจในฝีมือการแสดงคอนเสิร์ตตลอด 3 ชั่วโมงกว่า ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความสามารถ จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าวงดนตรี Dream Theater คือปริญญาเอกทางดนตรีตัวจริงได้อย่างเต็มปาก