บทสัมภาษณ์ แดน ดีทูบี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ พ.ศ. 2546
แดน - วรเวช ดานุวงศ์ สมาชิกศิลปินวง ดีทูบี ได้รับคัดเลือกจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยให้เป็นลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ เข้ารับพระราชทานรางวัลลูกกตัญญูเนื่องในวันแม่แห่งชาติ พ.ศ. 2546 ทำให้แดน เป็นปลื้ม และแนะนำให้เพื่อนวัยรุ่นรักและดูแลแม่มากๆ โดย แดน เปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตส่วนตัว ดังนี้
ครอบครัวแดนมีกี่คน แดนเป็นคนที่เท่าไร
"ครอบครัวของผมก็มีคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย 1 คน แล้วก็ผมครับ"
ชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเป็นอย่างไร
"ตั้งแต่เด็กจนโตผมค่อนข้างใกล้ชิดกับทุกคนในครอบครัว คงเป็นเพราะสังคมต่างจังหวัด ก็คือจังหวัดสุพรรณบุรีบ้านเกิดนี่ล่ะครับ ผมใช้ชีวิตที่สุพรรณฯ จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ... (ยกมือขึ้นชี้นิ้วที่ศีรษะพร้อมทำท่าคิด) เรียกว่าเป็นชีวิตเด็กบ้านนอกก็แล้วกัน (ยิ้ม) พอกลับจากโรงเรียนก็ซนแบบเด็กทั่วไป แต่ก็เล่นอยู่แถวบ้านกับพี่ชายและกับเด็กแถวบ้านบ้าง ไปไหนไม่ไกลหรอกครับ ได้เวลากลับบ้านก็มาทานข้าวกันพร้อมหน้า ดูทีวี หรือนั่งเล่นคุยกันไปเรื่อยกับพ่อบ้าง แม่บ้าง
ครอบครัวเราเวลามีอะไรก็คุยกันเสมอ ใครอยากปรึกษาอะไรก็พูดก็ถามกันได้เลยไม่ปิดบังกัน เรื่องซื้อของที่ใช้สำหรับการเรียน หรือของเล่นที่เราอยากได้ อยากมีเหมือนเพื่อนๆ ก็จะถามพ่อกับแม่ไปตรงๆ ว่า มีเงินพอหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเรารู้ดีว่าเราอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเป็นธรรมดา จนปัจจุบันนี้ก็ยังติดนิสัยนี้อยู่ครับ รายได้ที่มีก็ส่งให้แม่เก็บเสียเป็นส่วนใหญ่ เวลาไม่ว่าง ติดงาน ก็จะมีพี่ชายคอยช่วยเป็นธุระให้อีกทางหนึ่ง"
ช่วยบอกความสัมพันธ์ของแดนกับคุณแม่ ดูแลกันอย่างไรบ้าง
"ผมยอมรับว่าสนิทกับแม่มากทีเดียวครับ แต่ไม่ใช่แบบว่าลูกคนเล็กที่ขี้แง ขี้อ้อนนะครับ (หัวเราะ) ถามว่าติดแม่ไหม ก็ไม่เชิงครับ ผมกับแม่มักจะคิดถึงกันในเวลาเดียวกันแม้ว่าจะอยู่ห่างกัน คือว่าเวลาคิดถึงเป็นห่วงกันก็จะลิงค์กันเลย หยิบโทรศัพท์ได้ก็กดโทรหาเลย พอดีกับจังหวะที่แม่เค้ากำลังจะกดโทรศัพท์หาเรานี่ล่ะ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนเรียนม.ปลายที่ ร.ร. บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) นี่ล่ะครับ ทำให้ห่างกันกับแม่ ทีนี้พอมีอะไรจะคุยก็กระหน่ำโทรเลย แค่ถามว่า " ันนี้เป็นยังไงบ้า " " ำอะไรบ้า " ก็ยังดี
แม่ทำงานหนักทั้งงานประจำและงานบ้าน เราก็เลยห่วงสุขภาพเค้ามาก พอเสาร์-อาทิตย์แม่มาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ ก็จะใช้เวลาอยู่กับแม่ทั้งวัน คุยไปเรื่อย เรื่องการเรียนบ้าง เจออะไรก็เก็บมาเล่าให้ฟังหมดล่ะครับ แม่เองไม่ค่อยห่วงผมที่ต้องมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เท่าไหร่ เพราะผมเข้าใจชีวิตดี รับผิดชอบตัวเองได้ตามประสาเด็กบ้านนอก ก็จะไม่เที่ยว ไม่คบเพื่อนที่จะพาเราไปทางที่ไม่ดี หรือไปติดยาเสพติด"
ความสำเร็จในวันนี้ คุณแม่ช่วยอยู่เบื้องหลังอย่างไรบ้าง
"ถามว่าเป็นความสำเร็จในวันนี้ก็ได้ แต่สำหรับผมนั้นขอเรียกว่าเป็นการได้รับโอกาสสำคัญที่ดีของชีวิตและจะพยายามทำต่อไป สำหรับแม่ก็เป็นเบื้องหลัง แบบว่ากองหลังจริงๆ คือให้กำลังใจเราตลอด แม้ว่าเราจะอยู่ในสภาวะใด อารมณ์ไหน เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี เหมือนนักจิตวิทยาประจำตัวก็ว่าได้นะ
อย่างตอนเด็กๆ ที่เข้าประกวดอ่านทำนองเสนาะก็จะฝึกฝนด้วยตนเอง แล้วก็ให้แม่ลองฟังว่าใช้ได้หรือไม่ อะไรที่ควรแก้ไขปรับปรุง หรือจะเข้าร่วมประกวดอะไรก็ไม่ปิดบังครอบครัว อยากทำอันนี้ใช่ไหม แม่ก็ให้ทำ เค้าเปิดโอกาสให้เราใช้ความสามารถของเราแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น สนับสนุนตลอด ก็เราไม่ได้ไปทำอะไรที่เสียหายนี่ครับ พอได้ตำแหน่ง ได้รางวัลมา แม่ก็จะยิ่งภูมิใจ และไว้ใจในตัวผมมากขึ้นด้วย"
ประทับใจคำสอนคำไหนของคุณแม่ นับตั้งแต่เด็กจนโต
"สิ่งที่เป็นคำสอนของแม่ที่ผมยึดถือมาตลอดก็คงจะเป็นความรับผิดชอบ คือ รับผิดชอบในหน้าที่ที่เราทำให้ดี แม่อยากให้ผมประสบความสำเร็จทั้งการเรียนและการทำงานตอนนี้ให้ควบคู่กันไป แม้ว่างานจะหนักแค่ไหน ก็ต้องอ่านหนังสือเรียน ต้องสอบให้ผ่าน เพราะการศึกษาและความรู้จะเป็นสมบัติที่มีค่าที่จะติดตัวเราไปจนตาย นอกจากนี้แม่ก็จะสอนเรื่องการวางตัวว่าให้ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย สัจธรรมของโลกต้องมีขึ้นมีลง แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหนก็จงอย่าลืมตน ควรทำตัวให้เป็นที่รักใคร่ของบุคคลที่พบเห็นเสมอ"
เรื่องยาเสพติดในสายตาของแดน
"ในฐานะที่ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเลย ผมจึงอยากจะบอกว่าเราต้องช่วยกันยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากประเทศของเราครับ สิ่งแรกที่เราจะทำได้ก็คือ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพื่อเป็นทางหนึ่งของการช่วยแก้ปัญหานั่นก็คือไม่มีผู้เสพ ในเมื่อไม่มีผู้เสพ ก็จะไม่มีผู้ค้าและผู้ผลิตไงครับ และในฐานะที่ผมเป็นคนที่ประชาชนรู้จัก การทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่วัยรุ่นของศิลปินนั้นสำคัญมากทีเดียว และคิดว่าศิลปินก็ควรเข้าร่วมโครงการต่อต้านยาเสพติดของหน่วยงานต่างๆ เป็นการช่วยสังคมรณรงค์แก้ปัญหานี้อีกทาง
วัยรุ่นสมัยนี้มีอะไรให้ทำตั้งหลายอย่างครับ เราอาจจะคลายเครียดด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลงหรือเล่นกีฬาก็ได้ นอกจากจะได้ผ่อนคลายแล้วยังทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรงด้วย อย่างผมก็เลือกการเล่นกีตาร์ ร้องเพลง และถ้าว่างก็จะพยายามอยู่บ้านทำกิจกรรมกับครอบครัวให้มากที่สุด"
การวางตัวของวัยรุ่นปัจจุบัน ควรทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม
"วัยรุ่นปัจจุบันค่อนข้างได้รับอิทธิพลจากภายนอก โดยเฉพาะวัฒนธรรมและค่านิยมของต่างประเทศที่แฝงมากับสื่อต่างๆ ทุกๆ วันได้ง่าย ยิ่งมีคอมพิวเตอร์ด้วย ทั้งเกม ทั้งอินเตอร์เน็ตสารพัด ทำให้การแต่งตัว ของใช้ที่ต้องมีต้องซื้อตามแฟชั่นหรือตามเพื่อนๆ การใช้ศัพท์วัยรุ่นพูดกันในกลุ่มไปจนถึงการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงออกตามแบบอย่างวัยรุ่นในต่างประเทศ เลยลืมการทำตัวให้น่ารักต่อผู้ใหญ่ไป จนถึงขั้นก้าวร้าว ไม่มีเหตุผลไปเลยก็มี ทำให้พ่อแม่บางคนต้องเหนื่อยใจกับลูกๆ ไปตามๆ กันทีเดียว
ผมเองก็ยอมรับว่าเป็นคนหนึ่งที่ได้รับค่านิยมพวกนี้มาบ้าง แต่ทุกคนสามารถเปิดรับค่านิยมพวกนี้ได้พร้อมกับควรคงความเป็นไทยที่เป็นสิ่งดีๆ ด้วย เช่น มารยาทไทย แบบว่าไปลามาไหว้กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่เนี่ยสำคัญครับ เมื่อเราโตขึ้นอยู่ในสังคม เราก็จะมองโลกกว้างขึ้น การพูดจาไพเราะกับพ่อแม่หรือคนรอบข้าง และมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ ทำให้เราได้รับการเอ็นดูและสร้างความประทับใจแก่คนที่พบเห็นได้ง่าย อีกอย่างคือ การรู้จักกาลเทศะว่าควรแต่งตัวอย่างไรให้เหมาะสมก็สำคัญด้วยครับ"
อนาคตอยากทำอะไร
"ผมว่าอนาคตเป็นเรื่องที่ยากจะการคาดการณ์ครับ แต่เราสามารถกำหนดอนาคตได้จากสิ่งที่เรารับผิดชอบอยู่ในปัจจุบันนี้ล่ะครับ ผมเองก็อยากจะเรียนให้จบปริญญาตรี ด้านการดนตรี แล้วก็ทำงานในสายงานของดนตรี เป็นเบื้องหลัง เช่น แต่งเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ อย่างตอนนี้พอว่างเมื่อไหร่นะ ก็จะหยิบกีตาร์ดีดไปแล้วก็ลองแต่งเพลงไปด้วยครับ (ยิ้ม) แล้วก็ทำสิ่งต่างๆ ให้พ่อแม่และพี่ได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องลำบาก"
สิ่งที่อยากจะฝากถึงวัยรุ่นในทุกวันนี้
"ผมอยากจะฝากวัยรุ่นทุกคนว่า ถ้าเราทราบว่ามีจุดเด่นหรือความสามารถด้านใด จงแสดงออกในทางที่ถูกต้อง ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต ที่สักครั้งได้ทำอะไรตามใจเรา และอาจจะค้นหาตัวเองเจอว่าต้องการทำอะไร ต้องการเป็นอะไรก็ได้นะครับ โดยอย่าลืมว่าสิ่งที่จะทำนั้นจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น และไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลด้วยครับ"
หลังจากที่ได้ฟังลูกแดน - วรเวช ดานุวงศ์ หรือ แดน ดีทูบี พูดถึงคุณแม่กันไปแล้ว ก็ถึงคราวคุณแม่รัชดา ดานุวงศ์ พูดถึงลูกแดนกันบ้าง
"แม่ก็ภูมิใจที่แดนเป็นลูกชายที่นำความภาคภูมิใจมาให้แม่ และตระกูลดานุวงศ์มาโดยตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียนจนมาเป็นศิลปินโด่งดัง (ยิ้ม) แดนไม่เคยข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนที่มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะทำอะไรจะต้องทำให้สำเร็จ อย่างเช่นการเป็นนักร้องเมื่อรู้ว่าตัวเองชอบการร้องเพลงก็ฝึกฝน และหาโอกาสให้ตัวเองได้แสดงความสามารถด้านนี้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ได้เป็นนักร้องเต็มตัวในสังกัดบริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน)
สำหรับแม่นะ แม่คิดว่าเป็นความรับผิดชอบที่ค่อนข้างหนักกับเด็กอายุ 19 ปีคนนึงทีเดียว แดนยังต้องแบ่งเวลามุ่งมั่นในเรื่องการเรียน เลือกที่จะเรียนสาขาวิชาดนตรีที่ตรงกับความชอบ เพื่อนำวิชาความรู้มาเกื้อหนุนกับอาชีพของเค้าเองในอนาคตอีกด้วย ในส่วนของครอบครัวนอกจากคุณพ่อและลูกชายคนโตแล้ว แดนยังทำหน้าที่เสมือนหัวหน้าครอบครัว แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ อย่างการเก็บเงินสร้างบ้านที่ซอยวัชรพลนี่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ครอบครัวดานุวงศ์ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แม่ก็หวังให้เขาจะเจริญก้าวหน้าต่อไปค่ะ"