อัลบัม The Hunting Party - Linkin Park

ในผลงานชุดที่ 6 ลินคิน พาร์ก ต้องการหวนกลับไปทำเพลงที่เสียงดังและหนักหน่วงอย่างที่เคยทำมา ภายใต้ชื่อ The Hunting Party มีความหมายเป็นเชิงเปรียบเทียบถึงวง ลินคิน พาร์ก เอง ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 6 คน ได้แก่ นักร้องนำ เชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) นักร้องนำ มือกีตาร์ และคีย์บอร์ด ไมก์ ชิโนดะ (Mike Shinoda) มือกีตาร์ แบรด เดลสัน (Brad Delson) มือกลอง ร็อบ บอร์ดอน (Rob Bourdon) เทิร์นเทเบิล โจ ฮาห์น (Joe Hahn) และมือเบส เดฟ แฟร์เรลล์ (Dave Farrell) กำลังออกตามล่า เพื่อนำจิตวิญญาณแห่งดนตรีร็อกกลับมาอีกครั้ง

ผลงานก่อนหน้านี้ 3 ชุด ได้แก่ Minutes to Midnight ในปี 2007, A Thousand Suns ปี 2010 และ Living Things ปี 2012 เป็นอัลบั้มที่ ไมก์ ดูแลการผลิตกับร่วมโปรดิวเซอร์มือทอง ริก รูบิน (Rick Rubin) ซึ่ง ไมก์ มองว่าทิศทางแนวเพลงของวงเริ่มเบี่ยงเบนออกจากเส้นทางสายร็อกหนักๆ ที่วงเคยฝากไว้ในผลงาน 2 ชุดแรก Hybrid Theory เมื่อปี 2000 และ Meteora ปี 2003 กลายเป็นเพลงแนวที่ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงอิเล็กทรอนิกมากขึ้น อัลบั้มชุดที่ 6 นี้ ไมก์ จึงตัดสินใจโปรดิวซ์ผลงานชุดนี้ ร่วมกับ เอมีล เฮย์นี (Emile Haynie) ร็อบ คาวัลโล (Rob Cavallo) และ แบรด มือกีตาร์ของวง

ก่อนที่ผลงานชุดที่ 6 จะคลอดออกมาเป็นผลงานชุดที่มีดนตรีหนักหน่วง ที่อาจจะเรียกได้ว่ามากที่สุดเท่าที่วงเคยทำมา ไมก์ ได้โปรดิวซ์และบันทึกเดโมระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต Living Things ด้วยแนวดนตรีมีความคล้ายคลึงกับอัลบั้มก่อนหน้า A Thousand Suns และ Living Things ให้สมาชิกคนอื่นๆ ในวงรวมถึง ริก อดีตโปรดิวเซอร์ของวงลองฟัง ทุกคนมีความรู้สึกดีต่อเดโมนั้น ทว่าหลังจากทัวร์คอนเสิร์ตจบลง ไมก์ กลับมาลองฟังเดโมอีกที กลับมีความรู้สึกเชิงลบ จนในที่สุดได้ตัดสินใจหวนสู่จุดเริ่มต้นของวง เพื่อนำเพลงร็อกกลับมา

หลังจากสร้างผลงานเพลงให้ผู้ฟังชื่นชมมากมาย ไมก์ เองก็มีวงดนตรีรุ่นใหม่หลายวงที่ทำให้เขาประทับใจตลอดช่วงที่ผ่านมา แต่คราวนี้ ไมก์ กลับไปฟังเพลงที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้เขาก่อน ลินคิน พาร์ก จะตั้งเป็นวง และคราวนี้ ไมก์ ถือโอกาสเชิญศิลปินเหล่านั้นมาร่วมปรากฏตัวให้แก่อัลบั้ม เช่น เพจ ฮามิลตัน (Page Hamilton) นักร้องนำและมือกีตาร์จากวง เฮลเมต (Helmet) ร่วมร้องเพลง All For Nothing ส่วน ดารอน มาลาเคียน (Daron Malakian) มือกีตาร์จากวง ซิสเทม ออฟ อะ ดาวน์ (System Of a Down) ร่วมสร้างสีสันในเพลง Rebellion และ ทอม โมเรลโล (Tom Morello) มือกีตาร์จาก เรจ อะเกนสต์ เดอะ แมชชีน (Rage Against The Machine) ก็มาเพิ่มจังหวะให้แก่เพลง Drawbar

Guilty All the Same เป็นเพลงแรกในอัลบั้มที่ถูกปล่อยออกมาให้ฟังกัน โดยมี แรคิม (Rakim) ศิลปินแร็ปรุ่นเก๋าจาก อีริก บี. แอนด์ แรคิม (Eric B. & Rakim) มาร่วมแร็ปในเพลง ตามมาด้วย Until It's Gone เพลงที่แต่งขึ้นมาจากความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวของ เชสเตอร์ เช่นเดียวกับในเนื้อเพลงที่เขาร้องว่า คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณมีอะไรอยู่จนกระทั่งมันหายไป อีกหนึ่งเพลงเด่นของอัลบั้ม คือ Final Masquerade ที่ชวนจดจำด้วยบรรยากาศดนตรีที่ไม่ยุ่งเหยิง ราวกับจะขับเน้นเสียงร้องของ เชสเตอร์ ให้โดดเด่นท่ามกลางเสียงคีย์บอร์ดที่ลดระดับความดุดันลง และเสียงกีตาร์ที่ไม่รวดเร็วรุนแรงเท่าเพลงอื่น นอกจากนี้ Final Masquerade ยังเป็นเพลงประกอบเกม Linkin Park Recharge - Wastelands ซึ่งทางวงตั้งใจให้เป็นเกมที่เพิ่มจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม