ปลื้ม จูงมือ ทับทิม ฉลองสมรสพระราชทานแบบเรียบง่าย
"ปลื้ม - สุรบถ หลีกภัย" ลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรี "ชวน หลีกภัย" และพิธีกรรายการ "วีอาร์โซ" จูงมือพิธีกรสาวร่วมรายการ "ทับทิม - มัลลิกา จงวัฒนา" เข้าพิธีหมั้นเมื่อเช้าวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วังสระปทุม ในบ่ายวันเดียวกัน จนเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ได้ฤกษ์ดีจัดพิธีฉลองสมรสพระราชทาน โดยจัดขึ้นที่เดียวกันกับสถานที่จัดพิธีหมั้น
สำหรับรูปแบบการจัดงานก็เป็นไปด้วยความเรียบง่าย เป็นกันเอง ไม่เน้นความหวือหวา มีดอกไม้สีขาวประดับประดาเพิ่มความสวยงามเล็กน้อย ด้านของชำร่วยที่มอบให้แก่ผู้ร่วมเป็นสักขีพยานรักของ ปลื้ม และ ทับทิม คือสมุดรวมภาพวาดของอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน โดยเวลาประมาณ 13.30 น. คู่บ่าวสาวได้ควงแขนกันมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงเวลาแห่งความสุขนี้
ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
ทับทิม "ในที่สุดก็ถึงวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตแล้วนะคะ บอกก่อนเลยว่าเมื่อคืน (23 พ.ย.) นอนไม่หลับเลยค่ะ วันนี้ก็อาจจะมีปรือๆ นิดนึงนะคะ เพราะว่าเมื่อคืนก็ตื่นเต้นมาก รู้สึกตื้นตันนะคะ ประทับใจ วันนี้มีแฟนคลับที่น่ารักของทางรายการมาด้วย น่ารักมากเลยจะร้องไห้แล้ว"
ปลื้ม "ส่วนผมหลับสนิทเลยครับ ผมหลับสบายมากเมื่อคืน (หัวเราะ)"
มีการเตรียมตัวกันอย่างไร
ปลื้ม "การเตรียมตัวของเรา 2 คนนะฮะ ถ้าในด้านกายภาพนะฮะ ศูนย์ครับ ขอบอกนะครับศูนย์จริงๆ ครับ เพราะว่าเจ้าสาวของผมนะครับไม่ได้เข้าคอร์สเจ้าสาวเลยครับ สิ่งที่เรา 2 คนทำได้มากที่สุดคือกดสิวฮะ (หัวเราะ) นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยครับ เพราะว่าเราทำงานกันตลอดเลย แต่ว่าถ้าถามถึงเรื่องใจผมพร้อมเต็มที่แล้วครับผม"
ความรู้สึกที่จะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ปลื้ม "ดีใจครับ ดีใจที่รู้สึกได้ให้เกียรติผู้หญิงคนนึงอย่างเต็มที่ ผมมองว่าผู้ชายเราให้อะไรผู้หญิงได้ไม่กี่อย่างหรอกครับ ไม่กี่อย่างจริงๆ ที่ชัดเจนแล้วจะให้เป็นความสุขของเขาได้จริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกผู้ชายอย่างเราให้ผู้หญิงได้จริงๆ คือให้เกียรติ ผมให้ความสำคัญกับคำๆ นี้อย่างมหาศาลนะครับ คำว่าให้เกียรติ ผมเป็นมนุษย์ที่ให้เกียรติคนอื่นอยู่เสมอ ถ้าเราให้เกียรติคนอื่นตัวเราย่อมมีความสุข เพราะฉะนั้นกับผู้หญิงคนๆ เดียวที่ผมจะรัก ผมได้ให้เกียรติเขาโดยการที่ผมสารภาพรักเขา แล้วใช้ชีวิตร่วมกับเขา ทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง ผมมองว่าผมได้ให้เกียรติผู้หญิงคนนี้ ผมมีความสุขมากเลยครับ"
ทับทิม "ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกยังไงนะคะ ถ้าอีกวันนึงตื่นมาเจอเขาเพราะว่าก็น่าจะเริ่มในระยะเวลาอันใกล้นี้มั้งนะคะ แต่ว่าก็คืออยู่ด้วยกันมาจริงๆ ก็เกือบจะ 24 ชั่วโมงแล้วเพราะว่าทำงานด้วยกัน ก็เลยคิดว่าน่าจะโอเคค่ะ ไม่รู้สิยังบอกไม่ถูกเพราะว่ายังไม่เกิดขึ้น (ยิ้ม)"
ต้องปรับตัวอะไรไหม
ปลื้ม "ผมคิดว่าไม่ต้องปรับตัวอะไรครับ เพราะว่าด้วยการที่ก่อนหน้านี้เราก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว คืออยู่ด้วยกันตลอดในความหมายนี้คือไม่ได้กินอยู่นะฮะ ไม่ใช่อยู่ก่อนแต่ง แต่เราหมายความว่าเราทำงานกันแทบจะตลอดเวลาเลย เราออกกองต่างจังหวัด เราทำธุรกิจด้วยกัน เราเลยมีความเข้าใจกันในเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว มีความเข้าใจกันเป็นทุนเดิมว่าทำงานยังไง เขาชอบทำอะไร เขาชอบกินอะไร เราเลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาครับ"
ทับทิม "ในส่วนของทับทิมคือว่าก็จะมีภาระหน้าที่มากขึ้นอยู่แล้ว ในส่วนของความเป็นลูกผู้หญิงนะคะ ถ้าเกิดว่าเป็นภรรยาก็คิดว่าคงต้องดูแลพี่ปลื้มมากขึ้นในหลายๆ ส่วนนะคะ จากเมื่อก่อนที่เขาจะทานอะไรก็เรื่องของเขา ตอนนี้ก็คือต้องดูแลเขาในหลายๆ เรื่อง"
ตอนนี้ทำได้มากกว่าข้าวคลุกปลาทูหรือยัง
ทับทิม "จริงๆ ทำอาหารเป็น (หัวเราะ)"
ปลื้ม "ผมเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย เพราะฉะนั้นเจ้าสาวผมไม่จำเป็นจะต้องแบบว่าทุกอย่างเป๊ะ ทำอาหารได้ทุกชาติ ทำอาหารได้เป็นร้อยๆ เมนู ทำความสะอาดบ้านเป็นรู้เทคนิคทุกอย่าง ไม่จำเป็นฮะ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือความพยายามที่เขาจะเอาใจใส่ดีกว่า ต่อให้ผมไปเจอผู้หญิงคนอื่นที่เก่งเรื่องพวกนี้มากแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่มีความที่จะเอาใจใส่ในตัวผม ผมมองว่ามันไร้ค่า ซึ่งทับทิมมีเต็มร้อยให้ผมอยู่แล้ว"
เตรียมตัวดูแลซึ่งกันและกันอย่างไรบ้าง
ทับทิม "เรื่องนี้ทับทิมก็ไม่ค่อยเตรียมตัวมาก เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกว่าต้องเพิ่มความเอาใจใส่มากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าปกติทับทิมก็ดูแลพี่ปลื้มอยู่แล้ว"
ปลื้ม "ใช่ครับ เรื่องเตรียมตัวคงจะไม่ต้องไปคิดมากว่าเราจะเริ่มดูแลยังไง ผมเชื่อว่ากว่าจะมาเป็นคู่รักกันเนี่ยเราก็ดูแลกันมาในระดับนึง ซึ่งเลยทำให้ซึ้งกินใจกันจนเราแต่งงานกัน ผมเลยมองว่าเรื่องเตรียมตัวไม่จำเป็น"
บางคนมองว่าตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กันเร็วไป ต้องปรับตัวอะไรไหม
ปลื้ " ไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไร บางคนมองก็แปลว่าบางคนมอง บรรทัดฐานผู้อื่นก็แปลว่าบรรทัดฐานผู้อื่น ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่บนบรรทัดฐานคนอื่น ถ้า 10 คนบอกซ้ายนะฮะ แต่ผมมองว่าขวา ผมก็จะไปขวา ไม่มีเหตุผลไหนที่เราต้องไปวิ่งตามบรรทัดฐานอะไรของคนอื่น ผมแต่งงานกับทับทิมเพราะรู้ว่ารัก รู้ว่าจริงใจ รู้ว่าชอบใจกัน รู้ว่าอยู่กันได้ รู้ว่าคือคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลไหนเลยที่ต้องมารอดูกันอีก 10 ปี 20 ปี ไม่จำเป็น"
ทับทิม "ในเรื่องปรับตัวทับทิมว่าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะว่าเราคบกันก็เป็นธรรมชาติของเราค่ะ ไม่ได้เฟกใส่กันไม่ต้องอะไร ก็เลยไม่รู้ว่ามีความจำเป็นต้องปรับตัวไหม อันนี้ไม่เลยค่ะ"
คำสัญญาที่ให้แก่กัน
ปลื้ม "วาจาไม่สำคัญสำหรับผม จริงครับ ผมกับทับทิมเรารู้ว่าเราทำอะไรกันให้ได้บ้าง และเรารู้ว่าหน้าที่ของเราต้องทำอะไร ไม่จำเป็นจะต้องมาสัญญาว่าฉันจะทำอย่างนี้ ถ้าฉันไม่ทำขอให้โดนฟ้าผ่าตาย ไม่จำเป็นฮะ ผมมองว่าการกระทำต่างหากที่สำคัญมากกว่าวาจา วาจาเป็นแค่การสื่อสารเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ แต่ถ้าเกิดว่าเราอยู่กันจนเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจะทำอะไร ผมมองว่าการสาบานหรือสัญญาไม่จำเป็น"
ทับทิม "ปกติแล้วจะไม่ค่อยพูดเรื่องอะไรอย่างนี้กับพี่ปลื้มอ่ะค่ะ คือถ้าพี่ปลื้มเขาจะทำอะไรหรือเราจะทำอะไรเนี่ยเราไม่ค่อยพูด หรือเกริ่นนำไปก่อนว่าเดี๋ยวเราจะทำดีด้วยนะ แต่ก็คือจะทำไปเลยค่ะ ทำไปตามธรรมชาติ"
เหมือนว่าทั้งคู่ไม่มีมุมหวานกันเลย
ปลื้ม "ไม่มีครับ อันนี้ไม่มีจริงๆ ครับ เรื่องโรแมนติกศูนย์คะแนนจริงๆ ครับ เพราะว่าพวกผมต้องบอกเลยว่าเป็นคู่รักบ้าทำงาน ผมบอกจริงๆ นะฮะว่าเป็นคู่รักที่คุยกันประมาณ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์เลยที่คุยกันแต่เรื่องงานจริงๆ ไม่ว่าเรากินข้าวกันผมถือน้ำส้มอยู่ ผมก็อาจจะเอามาคิดว่าน้ำส้มมันจะเอาไปทำอะไรได้ไหมที่จะเอาไปทำงานได้ หรือผมเห็นอะไรก็ตามจะกลายเป็นไปคุยเรื่องงาน แต่ไม่ใช่แปลว่าเราไปกดดันเรา 2 คนว่าต้องทำงานๆ ไม่ครับ เพราะนี่ความสุขของเรา เราได้ทำงานกับคนที่เรารัก ได้อยู่ใกล้ ได้ทำงาน ได้พูดคุยในภาษาเดียวกัน ผมมองว่านี่คือความสุขที่สุดแล้ว"
ทับทิม "จนถึงทุกวันนี้ที่ย้อนไปดูภาพที่พี่ปลื้มขอแต่งงานก็ยังน้ำตาซึมอยู่นะคะ เพราะว่าเป็นอะไรที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำน่ะค่ะ เพราะว่าเขาไม่เคยพูดเลยนานๆ ทีจะแบบว่านิดนึงค่ะ แต่อันนี้รู้สึกว่าทับทิมคิดว่าพี่ปลื้มคงกลั้นความโรแมนติกทุกอย่างออกมาจากตัวเขา ก็รู้สึกแบบยิ่งใหญ่"
ปลื้ม "ไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกครับ เพราะว่าอันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ ผมมองว่าทุกวันนี้เราใช้ความโรแมนติกกันพร่ำเพรื่อ เรานึกอยากจะรักใครก็รัก นึกอยากจะชอบใครก็ชอบ นึกอยากจะซื้อของให้ใครก็ซื้อ ผมเคยเห็นเพื่อนผมบางคนซื้อของแบบเดียวกัน 10 ชิ้นพร้อมกัน เพื่อให้คน 10 คน นี่คือความโรแมนติกหรือเปล่า ผมเอามาถามตัวเอง ผมเลยมองว่าความโรแมนติกต้องกลั่นออกมาจากจิตใจและสัญชาตญาณจริงๆ ว่าเราพร้อมจะให้ความรักกับคนๆ นี้ในรูปแบบของเรา สำหรับผมการกระทำของผมที่ผมมั่นใจให้ทับทิมได้ 100 เปอร์เซ็นต์นั่นคือความโรแมนติกของผม"
วางแผนชีวิตครอบครัวอย่างไรบ้าง
ปลื้ม "ก็ยังมุ่งทำงานเช่นเดิม ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าหลังแต่งงาน ผมก็เชื่อว่าผมกับทับทิมก็ยังจะทำงานกันเหมือนเดิมในเรื่องของครอบครัวนะ ส่วนในเรื่องของเจ้าตัวน้อยผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลของผมนะฮะ คาดว่าน่าจะอีกนานฮะ น่าจะขั้นต่ำ 6 ปีแน่นอนครับ อีกนานจริงๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าตอนนี้อยากจะมุ่งทำงานเต็มที่
ผมแต่งงานกับทับทิมเพราะผมอยากจะมาทำงานกับเขาอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมาว้าวุ่นว่าจะมีใครมาจีบทับทิมไหม หรือว่าทับทิมจะมาวุ่นวายจะมีสาวมาจีบผมหรือเปล่า ผมรู้สึกมนุษย์เราวุ่นวายว้าวุ่นกับความรักเหลือเกินน่ะ เราวุ่นวายอยู่กับมันจนเราเสียการเสียงาน เสียการเรียน เสียทุกๆ อย่าง แต่ถ้าเราเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้องแล้วเนี่ยมันเป็นการตัดปัญหาเรื่องนี้ไปโดยปริยายเลย ผมสามารถทำงานมุ่งได้เต็มที่ จากเดิมทีอาจจะแค่เดินแต่ตอนนี้ผมสามารถวิ่งได้แล้ว เพราะมีคนที่คอยจะซับพอร์ตอยู่ข้างๆ แล้ว แล้วไม่ต้องพะว้าพะวงกับอะไรอีกแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อยากจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ครับ"
คุณพ่อคุณแม่อวยพรอย่างไรบ้าง
ปลื้ม "ตามแบบฉบับท่านผู้ใหญ่นะครับ ก็ขอให้มีความสุข คุณพ่อกับคุณแม่ผมไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ที่จะมาจับคลุมถุงชน ไม่ฮะ ก็อยากจะบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ใช่คนมาบังคับอะไรผม เพราะคุณพ่อคุณแม่สอนผมมาแบบให้ผมคิด ไม่ได้เลี้ยงมาแบบลูกแหง่ ไม่ได้เลี้ยงมาแบบคุณหนู ผมเติบโตมาแบบคนธรรมดามากๆ จนผมสามารถจะคิดอะไรเองได้ วันนึงที่ผมจูงมือทับทิมไปหาคุณพ่อคุณแม่ นั่นแปลว่าผมไตร่ตรองอย่างละเอียด แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เชื่อในความคิดของผมว่าความคิดของผมคิดอย่างละเอียดดีแล้ว"
พูดถึงของชำร่วย
ปลื้ม "เป็นสมุดรวมภาพงานของคุณพ่อที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนนะฮะ ข้างในก็จะมีภาพสเก็ตเป็นภาพสเก็ตของผมแล้วก็ทับทิมในวัยเด็ก แล้วก็รวมถึงภาพดอกไม้อื่นๆ ของคุณพ่อ จะมีหน้าผมตั้งแต่เด็กเลยที่คุณพ่อเคยสเก็ตเอาไว้ บางรูปก็ ปี 31 ผมเกิดใหม่ๆ เลย บางรูปก็ ปี 40 นะฮะ แล้วก็มีรูปคุณแม่ แล้วก็หน้าอื่นๆ ก็จะมีทับทิม มีภาพวิว อันนี้ก็จะเป็นของชำร่วยภายในงานนะครับ"
รูปแบบงานแต่งงาน
ปลื้ม "ธีมงานไม่มีครับ งานของผมอยากจะบอกว่าแสนจะเรียบง่าย ไม่มีธีม ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่าเกินไป ผมอยากจะได้ความเรียบง่าย ผมมองว่าความเรียบง่ายเนี่ยสวยงาม"
เจริญรอยตามคุณพ่อหรือเปล่าเรื่องความเรียบง่าย
ปลื้ม "ความเรียบง่ายน่าจะเป็นเรื่องของที่คุณพ่อเคยสั่งสอนมา แต่ผมไม่ใช่ประเภทที่ว่าจะตามคุณพ่อทุกอย่าง ไม่ใช่ คือเราไม่จำเป็นต้องตามคุณพ่อ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราจำคำสอนที่ผมรู้สึกผมชอบและนับถือ ผมถึงยกให้คุณพ่อเป็นบุคคลแบบอย่างของผม ผมจำคำสอนพวกนั้นมาใช้กับชีวิตผม เพื่อที่จะใช้ในรูปแบบของตัวเอง ผมมองว่าความเรียบง่ายมันสวย
แม้แต่ในงานผมนะครับ งานผมเป็นงานแต่งงานที่ไม่มีเค้กนะฮะ งานแต่งงานผมไม่มีตัดเค้กนะครับผมด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ด้วยเหตุผลที่ว่าเค้กไม่ใช่ธรรมเนียมของเรา เป็นธรรมเนียมของเมืองนอกนะฮะ ส่วนงานฉลองเนี่ยเราจัดเพราะว่าเป็นงานฉลองพิธีมงคลสมรส เราจึงจัดงานฉลองนะฮะ แต่ว่าเค้กเนี่ยผมมองว่ามันเป็นธรรมเนียมเมืองนอก ทางผมเลยจัดเป็นอย่างอื่นแทนฮะ ทางของผมจะไม่ใช่ตัดเค้ก แต่จะเป็นยอดดอกไม้แล้วข้างบนเป็นพวงมาลัย เราจะเปลี่ยนจากการเดินไปตัดเค้กเป็นเดินไปเอาพวงมาลัยที่อยู่บนยอดสูงสุด แล้วเอาพวงมาลัยอันนั้นมากราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้เข้ากับการฉลองในแบบของไทยเรา คนไทยเรานับถือพวงมาลัยให้ญาติผู้ใหญ่ครับ"
ของขวัญที่มอบให้กัน
ปลื้ม "ของขวัญเหรอครับ ใจครับ ใจที่มีเป็นพิเศษ ไม่มีของอะไรที่หวือหวาหรือมากมาย หรือว่าต้องเอามาสรรสร้างเพื่อให้ดูสวยงาม ให้ดูรู้สึกว่าฉันทุ่มเหลือเกิน ฉันให้เหลือเกิน คู่รักของผมไม่จำเป็นต้องเอามาให้ดูว่าสินสอดเท่าไร เรารักกันเรารักที่ใจ เรารักกันเราไม่ได้รักกันที่นามสกุลหรือฐานะ เรารักกันด้วยใจ"
ทับทิม "ถ้าเป็นรูปธรรมเป็นชิ้นเป็นอันเนี่ยก็ไม่ได้เตรียมนะคะ เพราะว่าของขวัญที่อยากจะให้พี่ปลื้มก็คือความดี ความสม่ำเสมอ แล้วก็ให้กำลังใจอยู่เคียงข้างตลอดไป"
วางแผนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
ปลื้ม "อีกยาวนานครับ แสนจะยาวนานเหมือนกับฝันไปนะฮะ น่าจะประมาณช่วงกลางกุมภาฯ หรือปลายไปเลยครับ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะว่างไปฮันนีมูนหรือเปล่า เพียงแต่ตอนนี้คิวงานมันมีตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) เป็นต้นไป ไปจนถึงช่วงต้นกุมภาฯ ไปเลย"
จะไปประเทศไหน
ปลื้ม "ไทยครับ ไทย 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอนนะฮะ ไม่คิดจะไปฮันนีมูนเมืองนอกเพราะผมถือว่าแถวบ้านผมเนี่ยยังเดินไม่ครบเลยอ่ะ นับประสากับจะไปเมืองนอก ผมเชื่อว่าฝรั่งยังอยากมาไทยเรา เพราะเราเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประเทศเรามีพร้อมทั้งภูเขาทั้งทะเล เรามีครบทุกอย่างแล้ว ผมเลยมองว่าถ้าฮันนีมูนผมอยากฮันนีมูนรอบไทย ไปทุกที่ที่ไม่เคยไปฮะ ไปเรื่อยๆ เท่าที่แรงขาจะไปไหว เหนื่อยก็พัก นี่คือการฮันนีมูนที่ผมฝันเอาไว้
ถ้าจะไปต่างประเทศจริงๆ นะ มีแค่ 2 อย่างที่ผมจะไป หนึ่ง อเมซอน ฮะ ผมอยากไปอเมซอนตั้งแต่เด็กแล้วดูจากสารคดี ผมชอบสัตว์ครับ ผมอยากไปดูอนาคอนด้าตัวจริง (หัวเราะ) สองถ้าไปฮันนีมูนผมอยากไปประเทศที่กำลังลำบาก ผมอยากไปเป็นอาสาสมัครกับทับทิม"
พูดถึงกันและกันหน่อย
ปลื้ม "ทับทิมเป็นคนที่พิเศษที่สุดในชีวิตผม ถ้าไม่นับคุณพ่อคุณแม่ ผมไม่เคยเจอใครพิเศษเท่าทับทิม ทับทิมเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากครับ เป็นคนที่พิเศษจนผมไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาเป็นภรรยา ผมภูมิใจครับในทับทิม"
ทับทิม "บางทีบางเรื่องพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ค่ะว่าเรารู้สึกยังไง แต่ก็รักพี่ปลื้มจริงๆ ก็อยากจะบอกพี่ปลื้มว่าขอบคุณนะคะ แล้วก็จะคอยอยู่เคียงข้างเขาเพราะว่าเขาทำงานหนัก เขาเป็นนักคิดค่ะ เขาจะมีจุดมุ่งหมายของเขาเยอะ เราก็จะคอยส่งให้เขาไปสู่จุดมุ่งหมายที่เขาอยากทำทุกอย่างค่ะ"
หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวก็เตรียมตัวไปต้อนรับแขกผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย พร้อมทั้งเหล่านักการเมือง อาทิ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" "สุเทพ เทือกสุบรรณ" "พรเทพ เตชะไพบูลย์" ที่มาพร้อมภรรยา "กบ - ปภัสรา เตชะไพบูลย์" "บี - พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์" ควงคู่มากับภรรยา "นุส - นุสบา ปุณณกันต์" และ "มาร์ค - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนพ้องในวงการบันเทิงมาร่วมงานกันมากมาย เช่น "กรณ์ ณรงค์เดช" จูงมือมากับภรรยา "น้องเล็ก - ณพาภรณ์ ณรงค์เดช" "ไมค์ - พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล" "ติ๊ก - ศิริศักดิ์ นันทเสน" หรือ "ติ๊ก ชิโร่" "สิงห์ - วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล" "ลูกตาล - จริญญา หาญณรงค์" "เอ้ก - บุษกร ตันติภนา" "ออม - สุชาร์ มานะยิ่ง" "ฮารุ ยามากูชิ" "แพร - อรุณี ไชยปรีชาวิทย์" "แอร์ - ภัณฑิลา ฟูกลิ่น" และคู่ของว่าที่คุณพ่อคุณแม่ "นานา - ไรบีนา ตันวิมล" กับ "เวย์ - ปริญญา อินทชัย"