ความอิ่มเอมใจที่สัมผัสได้ในภาพยนตร์ หนึ่งใจ..เดียวกัน
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับภาพยนตร์สร้างสรรค์สังคม สะท้อนปัญหาการขาดแคลนทางด้านการศึกษาของเยาวชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ กับภาพยนตร์เรื่อง "หนึ่งใจ..เดียวกัน" จากบทพระนิพนธ์ "เรื่องสั้นที่...ฉันคิด" ใน "ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี" เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะมี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งแสดงเป็น พิมพ์ดาว แล้วยังประกอบด้วยนักแสดง อาทิ "เวียร์ - ศุกลวัฒน์ คณารศ" "นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา" "ฟาง - นิศารัตน์ อภิรดี" "แนม - ซีแนม สุนทร" "รอง เค้ามูลคดี" "เล็ก - สมชาย ศักดิกุล" "หนอม - วิทยา เจตะภัย" พร้อมนักแสดงเด็กหน้าใหม่ โดยงานนี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสร็จร่วมชมในงานเปิดตัวภาพยนตร์ พร้อมทั้งประทานสัมภาษณ์ความรู้สึกหลังจากทอดพระเนตรภาพยนตร์จบ
ตื่นเต้นกว่าที่เมืองคานส์หรือไม่เพคะ
"ตื่นเต้นกว่า คนละบรรยากาศ"
หลังจากดูพระองค์ทรงกันแสงหรือไม่
"เล่นเองเศร้าเอง เศร้าทุกๆ ขั้นตอน ตอนที่พูดใส่วอยซ์โอเวอร์ก็เศร้าเอง ก็เศร้าก็ร้องไห้ ที่จริงดูที่ฉายรอบพรีเมียร์ที่ภูเก็ตแล้ว และก็มีเอ็มวีด้วยเอ็มวีเศร้ามาก เพราะเอ็มวีถ่ายที่ภูเก็ตก็เศร้าตลอด ตัวเองเล่นเองดูเองก็ยังเศร้า"
ความรู้สึกแรกของพระองค์เมื่อชมภาพยนตร์จบแล้ว
"ลึกๆ ก็รู้สึกภูมิใจว่าเราก็เล่นได้ รู้สึกว่าเราได้สร้างอะไรขึ้นมา หลังจากดูไปจนจบตามความรู้สึกของตัวเอง เป็นใจถึงใจเหมือนที่พิมพ์ดาวพูดว่าทุกอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมาด้วยคำพูด แต่รู้สึกถึงทุกอย่างได้ด้วยใจ"
คนที่เข้าไปดูเรื่องนี้จะรักในการให้เหมือนกับ พิมพ์ดาว ไหม
"ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฉายจริงๆ แล้วพวกเราที่ได้มาชมในวันนี้คิดยังไง ต้องไปขยายผลไปที่ประชาชน ผู้ชมที่จะได้มาชม เป็นสิ่งที่หวังไว้และคิดว่าเมื่อได้ดูภาพยนตร์ ได้สัมผัสกับเรื่องราวที่ได้บอกเล่าทางภาพ เสียง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คิดว่าน่าจะเกิดความรู้สึกร่วม เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่ถามว่าเศร้าเอง ร้องไห้รึเปล่า น่าจะมีความซาบซึ้ง เศร้า รู้สึกว่าในประเทศไทยนี้ก็มีคนที่น่าสงสารว่าเรา ถ้าใครกำลังสงสารตัวเอง ประสบอะไรที่เป็นความทุกข์ อันที่จริงต้องลองมองไปรอบๆ ตัวว่ายังมีคนอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ
วิธีดับทุกข์อย่างหนึ่งคือต้องไม่นึกถึงตัวเอง ไม่นึกว่าตัวเองมีความทุกข์ เศร้าระทมยังไง ลองมองไปรอบๆ ตัวเราว่าเราสามารถทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น เพื่อสังคม เพื่อประเทศชาติ ทำอะไรดีๆ ที่ทิ้งไว้ให้เกิดความรู้สึกภูมิใจ ส่วนพิมพ์ดาวอย่างน้อยก็ได้ทิ้งอะไรดีๆ ไว้แล้ว หลังจากที่ได้เปลี่ยนทัศนคติจากพิมพ์ดาวคนเก่ามาเป็นพิมพ์ดาวคนใหม่"
ฉากสุดท้ายมีบทพูดที่ยาวมากแล้วต้องล้มลงไปยากไหม
"เป็นฉากที่หินมาก ยากที่สุดเพราะว่าเป็นฉากที่ถ่ายทำกันนานมาก ฉากนั้นวันนั้นเป็นคืนวันที่ยาวนานมาก อย่างที่พูดแล้วว่าเป็นฉากที่ยากมากที่สุด แต่ที่จริงไม่รู้ว่าพวกเราคิดยังไง อย่างดูแล้วก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเป็นฉากที่แสดงได้ดีที่สุด เป็นฉากที่ภูมิใจที่สุดนอกจากฉากที่ไฟไหม้ ฉากนี้ยากกว่า เพราะเป็นฉากอารมณ์ บทยาว ที่จะต้องพูดให้ได้จังหวะจะโคน ได้อารมณ์สำหรับคนอื่น ส่วนตัวเองก็ได้อารมณ์จริงๆ เหมือนว่าเหตุการณ์นี้คือตัวเรา เป็นฉากที่ยากมากๆ แถมยังต้องล้ม ไม่ใช่ล้มแค่ที่เห็นในหนัง แต่ล้มอีกหลายสิบหน หลังจากนั้นก็เกิดเดี้ยงไปเลย เดี้ยงไปเลยหมายถึงหัวเข่าก็เดี้ยงไปหมดเลย"
เทคนิคส่วนพระองค์ที่ดึงมาใช้กับฉากนี้
"อันที่จริงบทนี้เป็นบทที่ยาวและยากมาก หม่อมคิดว่าหม่อมเป็นพิมพ์ดาว เป็นพิมพ์ดาวเหมือนเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องเป็นนักธุรกิจซึ่งต้องทำธุรกิจให้ดีที่สุด ให้ได้ผล ได้กำไร ให้ได้ประโยชน์เข้าสู่องค์กรของตัวเองที่สุด ในความรู้สึกของพิมพ์ดาว เมื่อพิมพ์ดาวได้เสียลูกสาวไปพิมพ์ดาวก็อ่อนโยนลง ได้มองเห็นว่าในสังคมเรานี้ก็มีคนอื่นที่ต้องการการช่วยเหลือ แต่พิมพ์ดาวก็ยังเป็นพิมพ์ดาวที่มีคาแรกเตอร์ที่มั่นใจ มีความมุ่งมั่นไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะทำธุรกิจ ทำงานช่วยเหลือสังคม เทคนิคก็คือเป็นตัวเองตามความรู้สึก บทก็คือบท ในการที่จะท่องบทในเวลาตรงนั้นก็ไม่จำเป็นต้องท่องแล้ว เพราะว่าตอนนั้นหม่อมก็เป็นพิมพ์ดาวไม่เป็นหม่อม เป็นสิ่งที่พิมพ์ดาวต้องพูด ต้องทำ แล้วพิมพ์ดาวก็เจ็บปวด"
พระองค์อยากให้คำพูดไหนก้องอยู่ในหัวใจคนไทย
"สิ่งที่พิมพ์ดาวพูดว่าเราบางทีก็ไม่ได้สนใจ เรามัวแต่นึกถึงตัวเอง นึกถึงประโยชน์ของตัวเอง นึกถึงความทุกข์ ความสุขของตัวเอง อย่างน้อยถ้าลองนึกถึงคนอื่นที่อยู่ในมุมเล็กๆ คนอื่นที่ลำบากกว่าเรา คนตัวเล็กในมุมใดมุมหนึ่ง ถ้าเราสนใจเขา นึกถึงเขาบ้างนิดนึงก็เท่ากับเราใส่ใจเขาแล้ว เท่ากับเรารู้ว่าเขาต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าในโลกนี้มีแต่ตัวเองที่จะต้องสนอง เราต้องสนองคนอื่นด้วย"
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงทอดพระเนตรภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วหรือยัง
"ท่านยังไม่ได้ทอดพระเนตร แต่ต่อไปจะนำไปถวายท่านในทอดพระเนตร"
มีปัญหาหรือว่าอุปสรรคอะไรบ้างที่ต้องร่วมแสดงกับนักแสดงเด็กๆ
"นักแสดงเด็กๆ ก็จะเป็นอะไรที่ท้าทาย ยากพอสมควร เพราะว่าเด็กเขามีความอดทนน้อยกว่าเรา แต่เท่าที่ทำงานกับเด็กๆ มา เป็นคนที่ทำงานกับเด็กๆ เยอะก็สามารถจะสื่อสารกับเด็กๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ในบางครั้งบางขณะ อันที่จริงเด็กๆ เป็นคนที่เข้าใจง่ายกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะมีความคิดที่เรียกว่าไม้แก่ดัดยาก ผู้ใหญ่เขาก็เป็นยังไงเขาก็เป็นอย่างนั้นของเขา แต่เด็กๆ เป็นคนที่เปิดใจกว้างกว่าผู้ใหญ่ เด็กๆ จะทำงานด้วยง่ายกว่า เด็กเขาสามารถที่จะเปลี่ยนทัศนคติ ทำงานเป็นธรรมชาติ ทำงานพูดกันรู้เรื่องมากกว่า ในความคิดของหม่อมการเล่นกับเด็กๆ ก็ไม่ใช่สิ่งยาก เพราะเราสามารถสื่อสารกับเด็กๆ เข้าใจกันได้ดีมาก เพราะว่าทำงานกับเด็กๆ ในทุกๆ โครงการ โครงการ ทู บี นัมเบอร์วัน ก็ได้คุยกับเด็กๆ เยอะก็ไม่ได้ยากอะไรที่ต้องแสดงกับเด็กๆ"
พิมพ์ดาว เหมือนหรือแตกต่างจากพระองค์อย่างไรบ้าง
"พิมพ์ดาวตอนที่เป็นนักธุรกิจ มุ่งมั่น ซึ่งเหมือนกัน ความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน มั่นใจในตัวเองว่าตัวเองต้องการความสำเร็จเหมือนกัน ไม่เหมือนตรงที่พิมพ์ดาวมุ่งมั่นนึกถึงตัวเองมากกว่า ในขณะที่ลูกคือน้องแพท พิมพ์ดาวก็ไม่ได้สนใจแม้แต่จะเข้าใจลูกของตัวเอง เมื่อลูกตายไปแล้ว พิมพ์ดาวจะมีความรู้สึกผิด ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของพิมพ์ดาว แต่เขาก็คิดว่าเป็นความผิดของพิมพ์ดาว ยังไม่ทันเข้าใจกันเลยลูกก็มาตายไปแล้ว ตรงนี้คือไม่เหมือนกัน พิมพ์ดาวเขานึกถึงแต่ตัวเองไม่สนว่าอะไรเป็นประโยชน์กับสังคม พิมพ์ดาวจะซื้อโรงเรียนเอามาสร้างคอนโด เป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง อีกอย่างที่ไม่เหมือนกัน คือพิมพ์ดาวไม่แข็งแรง"
พระองค์ทรงมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือเยาวชนต่อไปอย่างไรบ้าง
"ตอนนี้ก็พยายามต่อยอดอยู่ ทั้งโครงการ ทู บี นัมเบอร์วัน ซึ่งกำลังจะต่อยอดเป็นโครงการ มิราเคิล ออฟ ไลฟ์ ตอนนี้ก็พยายามต่อยอดอยู่ คือในโครงการ ทู บี นัมเบอร์วัน เป็นจุดที่เห็นว่าเด็กๆ ยังขาดโอกาสอีกมาก พอได้คุยกับเด็กก็จะรู้ถึงความรู้สึกความนึกคิดของเด็กไทยได้ดีว่าเขาคิดยังไง เป็นยังไง พยายามต่อยอดในเรื่องการให้โอกาสทางการศึกษากับเด็กๆ ที่ยังมีโอกาสทางการศึกษาในการที่จะเรียน
เด็กๆ ทุกคนฉลาด เก่ง ทุกคนต้องมุ่งมั่นมีกำลังใจ เราพยายามสร้างกำลังใจ สร้างความนึกคิด สร้างกระแสใหม่ๆ เมื่อเขาไม่ได้โอกาสเขาก็จะไม่มีโอกาส เหมือนคนที่เขาไม่มีโอกาส ไม่ได้เปิดประสบการณ์เขาก็ไม่มีงาน แต่ก็จะพยายามต่อยอดให้ได้เรียน ได้ใช้ศักยภาพรู้จักศักยภาพของตัวเอง รู้จักวิธีคิดสร้างกระบวนการคิดใหม่ๆ เบื้องลึก เบื้องหลังสิ่งที่เขาสนใจ อยากจะฝึกฝนกระบวนการคิดของเด็กๆ เพื่อให้เด็กรู้จักคิดเป็น ทำเป็น"
พระองค์มีข้อคิดอะไรบ้างที่จะฝากถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
"ใกล้ถึงวันแม่ แล้วก็ลูกๆ แม่ๆ ก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่อง ธรรมดาหม่อมคุยกับเด็กในโครงการ ทู บี นัมเบอร์วัน ทุกวันเลย ก็ในแง่มุมของเด็กๆ กับแม่ มักจะบอกว่าแม่ไม่เข้าใจกันเรื่องเล็กบ้างเรื่องใหญ่บ้าง ถ้าใช้อารมณ์ก็ไม่มีวันเข้าใจกัน เราก็บอกว่าลองคุยกันหนูต้องพยายามก่อน พยายามเข้าใจคุณพ่อคุณแม่ พยายามใจเย็นๆ ในส่วนคุณแม่อย่าลืมนะว่าเราก็เคยเป็นเด็ก ต้องพยายามเปิดใจให้กว้าง ให้เห็นในแง่มุมของเด็กวัยรุ่น บางทีก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย บางสิ่งเรียกกลับคืนมาไม่ได้เหมือนน้ำที่หกลงไปที่พื้น กอบขึ้นมาไม่ได้ แต่บางอย่างแก้ได้เราก็คุยกัน เราต้องคุยกันต้องไหนยอมได้ก็ยอม ตรงไหนที่มีกฎเกณฑ์ยังไงที่น่าจะเข้าใจกันได้ก็ควรจะเข้าใจกัน"
พระองค์อยากจะเชิญชวนอย่างไรบ้างให้ประชาชนมาชมเรื่องนี้
"ถ้าจะให้เชิญชวน พวกเราก็ต้องช่วยกันเชิญชวนด้วย เชิญชวนให้ประชาชนมาดูเป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วก็จะรู้สึกด้วยหัวใจ รู้สึกด้วยการสัมผัส ไม่ใช่หนังสือแล้วไม่ใช่ตัวอักษร หรือใครอื่นมาบอกเราให้ดู ทุกอย่างหรือบางอย่างเราก็ต้องสัมผัสได้ด้วยตัวเอง แล้วก็จะรู้สึกดี เกิดความเข้าใจบางอย่าง เกิดความภูมิใจในตัวเอง เกิดความสุข ความเศร้า ที่ใครบอกว่าเศร้า เศร้ายังไงต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง อย่างที่ถามว่าดูแล้วอยากจะช่วยสังคมหรือไม่ก็ต้องมาดูด้วยตัวเอง มาสัมผัสพิมพ์ดาว อาจจะดูแล้วคิดต่อว่าพิมพ์ดาวมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร คล้ายคลึงหรือแตกต่างจากหม่อมยังไงอาจจะต้องไปถามคนดู มองในแง่มุมลึกๆ ของหัวใจ มาสัมผัสด้วยหัวใจ ถ้าไม่มาดูก็จะไม่รู้ลึก หรือไม่รู้ลึกถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ"
แล้วคนไทยจะได้เห็นบทบาทต่อไปของพระองค์อีกหรือไม่
"ถ้าเรื่องนี้คนมาดูเยอะๆ จะชอบหรือไม่ชอบ มีความเห็นยังไง ก็น่าจะมีถ้าประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็น่าจะมีบทบาทต่อไป ถ้าเรื่องต่อไปบทบาทจะเป็นยังไงก็ให้ความเห็นกันมาได้ว่าอยากจะเห็นเรื่องราวต่อไปเป็นอย่างไร"
ทางด้านงานงานเปิดตัวภาพยนตร์ ได้มีคนบันเทิงมาร่วมชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างคับคั่ง และก่อนจะสัมผัสกับความอิ่มเอมของภาพยนตร์ เหล่านักแสดงและผู้กำกับ "ปุ๊ - สิริปปกรณ์ วงศ์จริยวัตร" ได้มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ฟังกัน
เริ่มจาก นุ่น กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับทูลกระหม่อมฯ ว่า "ภูมิใจค่ะ แรกๆ ตื่นเต้นที่ได้ถวายงานรับใช้ พระองค์ทรงให้ความเป็นกันเอง ให้ความเมตตาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน นักแสดง ทำให้ความเกร็งความตึงเครียดที่ว่าจะทำตัวไม่ถูกของทุกคนเป็นไปได้ด้วยดี แล้วก็ถ่ายทำด้วยความสนุก เพราะว่าอาจจะด้วยโลเกชั่นที่เราไปถ่ายที่เชียงใหม่ บรรยากาศของภูเขา ทุ่งนาจริงๆ บรรยากาศดีก็เลยทำงานออกมาได้ดี ถ้าพูดถึงเนื้อหาของหนังแล้ว ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ถวายงาน ได้ร่วมเล่นหนังที่พูดเกี่ยวเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษา พูดถึงสังคมไทย เกร็งค่ะ วันนี้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น หนังเรื่องนี้เราถ่ายมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วก็รอที่จะถึงวันนี้"
ด้าน เวียร์ บอกว่า "อย่างแรกก็รู้สึกเกร็งที่ได้มีโอกาสถวายงาน บางทีก็ทำตัวไม่ถูก แต่พอได้ร่วมงานจริงๆ ทูลกระหม่อมฯ ท่านน่ารัก สบายๆ แต่แรกกลัวว่าจะทำผิด แต่พอเอาเข้าจริงก็ดีขึ้นครับ ไม่เกร็งเหมือนตอนแรกครับ หนังเรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและอยู่ห่างไกลความเจริญ สังคมมองไม่เห็น เขาไม่รู้ว่าส่วนใหญ่เด็กๆ ยังขาดแคลนในเรื่องแบบนี้เยอะ อยากให้เราได้รู้ลึกถึงจุดนั้น แล้วก็อยากให้เห็นว่าทูลกระหม่อมฯ ได้เล่นหนังให้เราดูก็น่าจะสุดยอดแล้ว"
ในฉากอารมณ์ที่ นุ่น ต้องแสดงกับพระองค์ท่าน นุ่น เล่าว่า "ต้องบอกว่าโชคดีมากที่พระองค์ท่านทรงให้ความเมตตา ตรงที่พอเข้าฉากปุ๊บพระองค์ท่านทรงเป็นพิมพ์ดาว มีความเป็นนักแสดงสูงมากในแต่ละซีน ไม่ว่าจะเป็นซีนปกติหรือว่าซีนหนักๆ ผ่านไปได้ด้วยดี นุ่นว่าเป็นอารมณ์ของตัวละครอยากให้มองว่ามันมีที่มาที่ไป แล้วทำไมตัวละครที่นุ่นเล่นถึงเป็นแบบนั้น ต้องลองติดตาม"
เวียร์ พูดถึงฉากที่ต้องอุ้มพระองค์ท่านตอนที่เป็นลมว่า "อย่างฉากที่พระองค์ต้องเป็นลม แล้วต้องเข้าไปอุ้มจริงๆ ก็ตื่นเต้นนะครับ พอท่านบอกว่าให้เราเล่นให้เต็มที่ เพราะว่าถ้าเราส่งไปไม่เต็มที่ ท่านก็จะส่งกลับมาไม่เต็มที่เหมือนกัน ถ้าเราเล่นส่งอารมณ์ได้ถึงท่าน ท่านก็จะส่งกลับมาเท่าที่เราส่งไป ทำให้เรารู้สึกว่าไม่เกร็งแล้วก็ทำเต็มที่ ต้องชื่นชมว่าพระองค์ท่านคือนักแสดงมืออาชีพจริงๆ"
ส่วนอีกหนึ่งนักแสดงสาวที่ต้องมารับบทเป็นลูกสาวของ พิมพ์ดาว นั่นคือ ฟาง ได้เล่าว่า "ในหลายๆ ฉากที่ต้องเข้าร่วมฉากกับพระองค์ ก็เกร็งค่ะที่ต้องคอยบอกตัวเองว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ถ่ายฉากนั้นให้ได้เร็วที่สุด"
ส่วนความคาดหวัง ผู้กำกับ ปุ๊ บอกว่า "ผมว่าหนังเรื่องนี้เขาทำงานด้วยตัวเองว่าหนังบอกอะไร ผมอยากให้คนดูเข้าใจในตัวบทว่าจริงๆ แล้วพระองค์ทรงดำริอะไรอยู่ ผมเชื่อว่าคนที่ดูหนังเรื่องนี้จะรักและเข้าใจประเทศชาติมากขึ้น"
กล่าวทิ้งท้ายกับ นุ่น ที่บอกว่า "ขอเป็นส่วนหนึ่งของ หนึ่งใจ..เดียวกัน เชิญชวนให้คนไทยทุกๆ คนมาดูหนังเรื่องนี้ค่ะ อย่างน้อยได้รู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งเขาอยากเรียนหนังสือ เด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนแต่อยากเรียนเขาจะรู้สึกยังไง อยากให้มาดูกันนะคะ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ได้ทำ เพื่อความบันเทิงของท่านผู้ชมแล้ว ก็ยังจะต่อยอดให้น้องๆ ที่เขาอยู่ที่ห่างไกลได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือมากเพิ่มขึ้น เพราะรายได้จากภาพยนตร์ก็จะนำไปช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้ด้วย" ส่วน ฟาง ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "หนังเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนภาพสังคมของไทยเราที่เราอาจจะยังไม่ได้รับรู้ อยากให้ลองมาติดตามภาพยนตร์เรื่องนี้กัน"
ติดตามชม หนึ่งใจ..เดียวกัน ภาพยนตร์ที่จะทำคุณมอบโอกาสดีๆ ให้กับเหล่าเยาวชนของชาติ เริ่ม 7 สิงหาคม นี้ เป็นต้นไปในโรงภาพยนตร์