จับชีวิตสุดห่ามของ ดิเอโก้ มาราโดน่า ถ่ายทอดเป็นสารคดี
ชีวิตสุดห่ามของนักฟุตบอลอาร์เจนติน่า "ดิเอโก้ มาราโดน่า" (Diego Maradona) ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดี โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "Maradona by Kusturica" จากฝีมือของผู้กำกับชาวเซอร์เบีย "เอเมียร์ คุสทูริซ่า" (Emir Kusturica) ที่ชนะรางวัลที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาแล้วสองครั้ง จากเรื่อง "When Father Was Away on Business" กับ "Underground" และภาพยนตร์เกี่ยวกับสุดยอดนักฟุตบอลเรื่องนี้ก็เพิ่งฉายรอบเปิดตัวที่คานส์ ไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แฟนบอลทั่วโลกต่างรู้ดีว่า มาราโดน่า เจ้าของฉายา เดอะเตี้ย และ ตำนานหัตถ์พระเจ้า ผู้พาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าถ้วยฟุตบอลโลกมาได้ในปี 1986 เป็นบุคคลสำคัญยิ่งของวงการลูกหนัง มีแฟนๆ ผู้คลั่งไคล้เขาอยู่มากมายทุกหนแห่ง ในภาพยนตร์ก็มีฉากขบขันที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนบางกลุ่มยกย่องเขาเหมือนเป็นพระเจ้า ได้แก่ ฉากขบวนผู้คลั่งไคล้พากันรวมตัวที่โบสถ์มาราโดเนียน และร้องเพลงเป็นชื่อของเขา โดยใช้ทำนองเพลงสวด "Ave Maria" ทั้งยังสร้างที่บูชาทางศาสนาให้เขาอีกด้วย
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ได้กล่าวถึงช่วงที่ มาราโดน่า ติดโคเคน ความสัมพันธ์ของเขากับลูกสาวทั้งสอง รวมถึงมุมมองและวีรกรรมด้านการเมืองอันเจ็บแสบของเขา ได้แก่ อวดรอยสักรูป "ฟิเดล คาสโตร" (Fidel Castro) นักปฏิวัติ อดีตเลขาธิการที่ 1 พรรคคอมมิวนิสต์คิวบา และประกาศว่าจะไม่มีวันจับมือกับ "เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์" (Prince Charles) เจ้าชายแห่งเวลส์ แถมยังเรียกประธานาธิบดี "จอร์จ ดับเบิลยู บุช" (George W. Bush) ของสหรัฐอเมริกาว่าขยะมนุษย์ชิ้นหนึ่งอีกด้วย
มาราโดน่า ได้ชื่อว่าเป็นคนขวานผ่าซากเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อมีโอกาสพูดถึงเรื่องการเมือง เขาก็ยังยืนยันว่าการแสดงออกอันดุเดือดของเขานั้นถูกต้องแล้ว "ดูเหมือนว่าถ้าเป็นคนดังแล้ว จะห้ามพูดถึงสหรัฐอเมริกาหรือไม่ก็บุช มีหลายเรื่องเลยที่ห้ามพูดถึงอีก แต่อีเมียร์ได้แสดงให้ผมเห็นว่าเขามีความนับถือในตัวมนุษย์ แม้คุณจะเป็นนักฟุตบอล คุณก็ยังมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับใครก็ตามที่เป็นฆาตกร"
ส่วนประเด็นวิวาทระหว่าง มาราโดน่า กับ สุดยอดนักเตะจากบราซิล "เปเล่" (Pele) ไม่มีปรากฏในภาพยนตร์ แต่ในงานแถลงข่าวที่คานส์ มาราโดน่า ออกปากว่าเขาเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่กว่า "ผมสัญญากับลูกสาวไว้ว่าจะไม่พูดถึง เปเล่ แต่ก็นะ มันอดไม่ได้ ผมเสียใจด้วยแล้วกัน" เขาออกตัว "ถ้าผมไม่ได้ทำเรื่องแย่ๆ ทั้งหลายที่ทำมาตลอดชีวิตนั่นน่ะ เปเล่ ไม่มีทางจี้ผมทันจนเป็นอันดับสองแบบนี้ได้หรอก เพราะเขาเคยเข้านอนตอนสี่ทุ่ม ขณะที่ผมอยู่ถึงตีห้า นี่แหละความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างเรา"
แม้ฝีปากจะจัดจ้านเหมือนเดิม แต่ มาราโดน่า ก็ยืนยันว่าวีรกรรมอันผาดโผนของเขาผ่านเลยเป็นอดีตไปแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ยังยินดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนด้านเถื่อนๆ ของเขาออกมาเสียเยอะ "ในเรื่อง บรรยายตัวผมว่าเป็นคนที่ชั่วร้าย เป็นคนเลว และเป็นคนสามัญธรรมดา" พระเอกออกมาวิจารณ์ภาพยนตร์ด้วยตัวเอง "มีคนพูดเรื่องแย่ๆ เกี่ยวกับผมเยอะมาก แต่มีแต่เอเมียร์นี่แหละที่ทำได้โดนใจผม พูดถึงสิ่งที่ผมประสบพบเจอมาในชีวิตจริงๆ ไม่เฉพาะช่วงเวลาที่ดี แต่รวมช่วงเวลาแย่ๆ ทั้งหลายด้วย"
อย่างไรก็ตาม ผู้ชมที่เป็นแฟน มาราโดน่า อาจจะรำคาญใจที่ผู้กำกับปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้บ่อยสูสีกับตัวเอกของงานเลยทีเดียว โดย เอเมียร์ คุสทูริซ่า ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเป็นเพราะ มาราโดน่า มักจะไม่อยู่เวลาที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องการตัวเขานั่นเอง