เจิ้งอีเจี้ยน และ กัวฟู่เฉิง กลับมาพบกันอีกครั้งใน ฟงอวิ๋น 2
ถือฤกษ์งามยามดีจัดพิธีบวงสรวงเปิดกล้องพร้อมถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง "The Storm Riders 2" หรือ ฟงอวิ๋น 2 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา จากการ์ตูนเรื่อง "Fung Wan" หรือที่รู้จักกันว่า ฟงอวิ๋น ของนักเขียน "หม่าหยงเฉิง" (Ma Wing Shing) ที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ''The Storm Riders" หรือ ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า เมื่อปี 10 ปีที่แล้ว
งานนี้ได้ผู้กำกับได้ 2 ผู้กำกับพี่น้องฝาแฝด "อ๊อกไซด์ แปง" (Oxide Pang) และ "แดนนี่ แปง" (Danny Pang) มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับร่วมกันอีกครั้ง พร้อมกับดึงนักแสดงที่เคยแสดงในภาคแรกอย่าง "กัวฟู่เฉิง" (Kwok Fu Shing หรือ Aaron Kwok) และ "เจิ้งอีเจี้ยน" (Zheng Yi-Jian หรือ Ekin Cheng) มารับบทบาทเดิมที่เคยได้ฝากฝีมือการแสดงเอาไว้ในภาคแรก
บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งผู้กำกับและนักแสดงนำร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย โดยได้รับความสนใจจากสื่อจำนวนมากทั้งสื่อไทยและสื่อต่างชาติที่มารอทำข่าวในครั้งนี้ หลังจากนั้นมาพูดคุยกับผู้กำกับเกี่ยวกับการทำงานเรื่องนี้ อ๊อกไซด์ เล่าว่า
"ภาคแรกกับภาค 2 เนื้อเรื่องนั้นไม่ได้ต่อเนื่องกัน เป็นเรื่องราวอีกแบบหนึ่ง แต่ใช้ชื่อตัวละครเหมือนเดิม เป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่าง 2 คน เราก็จะมีเทคนิคใหม่ๆ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการ์ตูน พอเวลามาเป็นภาพยนตร์แล้วต้องให้มีความน่าตื่นเต้น บอกไม่ถูกต้องดูเอง เพราะว่าภาพเรามีเทคนิคที่ทันสมัยขึ้น ส่วนที่เลือกถ่ายเมืองไทยนั้น เพราะว่าทีมงานทำงานกับเรามาหลายๆ เรื่อง แล้วเรา 2 คนก็เกิดมาจากภาพยนตร์ที่เราถ่ายในเมืองไทย หนังเรื่องนี้มีทีมงานที่เป็นคนไทย 80 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์มาจากฮ่องกง"
ส่วนในเรื่องเทคนิคที่แตกต่างนั้น แดนนี่ บอกว่า "ปกติถ่ายภาพยนตร์เทคนิคก็ใช้เป็นสกรีน ภาพที่ได้ออกมาจะได้ไม่ดีเท่าไร เพราะฉะนั้นเราก็เช่าสตูดิโอหลายๆ ที่เซตฉากใหญ่ๆ ภาพที่ได้ออกมาจะมีสเปเชียลเอฟเฟกต์ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ฉากที่เราเซตเองมีประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หนังเรื่องนี้ 99 เปอร์เซ็นต์ ถ่ายในสตูดิโอที่เซตขึ้น"
ในเรื่องที่ใช้นักแสดงคนเดิมจากภาคแรกมาแสดงบทเดิมในภาคนี้ อ๊อกไซด์ บอกเหตุผลว่า "ที่เลือกทั้ง 2 คนนี้มาก็เพราะว่าคนดูติดใจไปแล้วว่า ฟงอวิ๋น ต้องเป็น 2 คนนี้ ตอนแรกจะให้เรา 2 พี่น้องเล่นแต่กลัวมีปัญหา สุดท้ายก็มาลงที่ 2 คนนี้ดีที่สุดแล้ว ความกดดันก็มีบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรพยายามทำให้ดีที่สุด ส่วนทุนสร้างน่าจะอยู่ที่ 300 กว่าล้านบาท เป็นเพราะว่าทุกอย่างเราเซ็ตขึ้นมาไม่ได้ไปถ่ายจากสถานที่จริง เป็นฝีมือของคนไทยทั้งหมดเลย ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 4 เดือน ถ่ายที่นี่ตลอด นักแสดงนำ เจิ้งอีเจี้ยน กับ กัวฟู่เฉิง ก็อยู่ที่นี่ยาว คนอื่นจะมีบ้างที่บินไปกลับ"
เรื่องของการเปรียบเทียบกับภาคแรกที่ แอนดริว เลา (Andrew Lau) กำกับนั้น อ๊อกไซด์ กล่าวว่า "สู้ไม่ได้ ของเขาชนะอยู่แล้ว เขาเก่งมากกว่า จริงๆ นะ เพราะว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาทำได้อย่างนี้เราก็ยอมรับแล้ว แต่วันนี้เรารู้เทคนิค สเปเชียลเอฟเฟกต์ดีมากกว่า 10 ปีที่แล้ว แต่ช่วงเวลานั้นเขาถ่ายได้ขนาดนั้นก็เก่งจริงๆ เราก็จะพยายามเท่าให้ได้เท่ากันแล้วกัน ไม่ได้ดีกว่าเขา พยายามทำให้เท่ากัน"
สุดท้าย แดนนี่ ฝากถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "ได้ชมสิ้นปี 2009 ทุกคนที่อยากดูก็ช่วยรอคอยนิดหนึ่ง เพราะว่าเราใช้เวลากับสเปเชียลเอฟเฟกต์เยอะมาก การเล่าเรื่องก็สนุก การันตีความมัน"
จากนั้นทั้ง 2 นักแสดงนำของเรื่อง กัวฟู่เฉิง และ เจิ้งอีเจี้ยน ก็มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ฟงอวิ๋น 2 หลังจากที่ทั้งคู่ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในไทยไปแล้วบ้างบางส่วน
การถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
กัวฟู่เฉิง "ราบรื่นดี ไม่มีปัญหา แฮปปี้ทุกอย่าง"
เจิ้งอีเจี้ยน "อยู่ดี กินดี สบายดี ทุกอย่างราบรื่นครับ (หัวเราะ)"
รู้สึกยังไงบ้างกับการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ฟงอวิ๋น 2
กัวฟู่เฉิง "เนื่องจากเวลาผ่านไป 10 ปีแล้ว ความคิดของ ปู้จิ้งอวิ๋น (ตัวละครรับบทโดย กัวฟู่เฉิง) ก็เปลี่ยนไป คือเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม ความคิดซับซ้อนขึ้น เพราะฉะนั้น ปู้จิ้งอวิ๋น คนนี้กับเมื่อ 10 ปีก่อนนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ว่าเป็นคนที่มีความละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม อยากให้คนดูมองเข้าไปลึกว่ามันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
เจิ้งอีเจี้ยน "รู้สึกดีใจมาก เพราะ ฟงอวิ๋น เมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและทุ่มทุนสูงมาก แล้ว 10 ปีต่อมา ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้ที่มีการถ่าย ฟงอวิ๋น อีกครั้งหนึ่ง โดยมีทุนที่หนาเหมือนเดิม"
คาแรกเตอร์เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนกับภาคแรก
เจิ้งอีเจี้ยน "เปลี่ยนไปเยอะมากๆ เป็นการสลับบทค่อนข้างมากทีเดียว เพราะว่าภาคแรก ปู้จิ้งอวิ๋น จะเป็นคนที่ออกแนวโหดเหี้ยมอหังการมากกว่า ส่วน เนี่ยฟง (ตัวละครรับบทโดย เจิ้งอีเจี้ยน) จะเป็นคนที่เรียบร้อย มีคุณธรรมสูง แต่ภาค 2 เนี่ยฟง ต้องฝึกวิทยายุทธ์เพื่อจัดการกับผู้ร้ายคนหนึ่งจนกลายเป็นมาร ส่วน ปู้จิ้งอวิ๋น เขาต้องการช่วยศิษย์น้องของเขา จึงออกแนวมีความเมตตามากกว่า"
กดดันไหมเพราะว่าภาคแรกประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก
กัวฟู่เฉิง "ไม่มีความกดดันเลยครับ ตามความคิดของผมภาพน่าจะตื่นเต้นกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง รวมทั้งเทคโนโลยีด้วยที่ก้าวหน้ามากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นภาพยนตร์ที่ออกมาจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นเร้าใจอย่างแน่นอน"
ต้องรื้อฟื้นอะไรบ้างไหมกับการมาร่วมงานกับ กัวฟู่เฉิง อีกครั้ง
เจิ้งอีเจี้ยน "รู้สึกเป็นวาสนาอย่างหนึ่งที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับ กัวฟู่เฉิง อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าโอกาสที่ได้ทำหนังที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งแล้วกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่หายากมาก แล้วจะรักษาความรู้สึกนี้ไว้นานๆ"
มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการถ่ายทำภาค 2
กัวฟู่เฉิง "ด้านกายภาพ ได้เตรียมตัวเพราะว่าในคอนเสิร์ตที่ผ่านมา มีลุกส์ที่ค่อนข้างผอมไม่มีกล้ามเนื้อ แต่ในเรื่องจะต้องเป็นคนที่มีกล้ามเนื้อ เพราะว่าที่แขนต้องมีกิเลน ต้องมีการฝึกเตรียมร่างกายเยอะ ในส่วนความคิด ต้องอ่านการ์ตูนเรื่อง ฟงอวิ๋น เยอะมาก ต้องพิจารณาความคิดและบุคลิกภาพของตัวแสดงทุกตัวในเรื่อง ฟงอวิ๋น"
เจิ้งอีเจี้ยน "สิ่งที่เตรียมตัวอย่างแรกเลยคือไว้ผมยาว นอกจากนั้นก็ต้องฝึกร่างกายให้กำยำกว่าเดิม แล้วก็ฝึกความคล่องแคล่วของร่างกาย จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้มีการฝึกร่างกาย แต่พอมาเมืองไทยแล้วอากาศร้อนทำให้ตัวเล็กกว่าเดิม (หัวเราะ) ไว้จะถอดให้ดู"
การทำงานร่วมกับ แดนนี่ และ อ๊อกไซด์ เป็นยังไงบ้าง
กัวฟู่เฉิง "อะเมซิ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคน 2 คนเป็นพี่น้องกัน แต่เซนส์และความคิดในด้านภาพยนตร์ของเขาทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เก่ง การรวมตัวของคน 2 คนเป็นอะไรที่อะเมซิ่งมากๆ เก่งมาก (พูดภาษาไทย)"
การทำงานของผู้กำกับภาคแรกและภาคที่ 2 แตกต่างกันยังไง
เจิ้งอีเจี้ยน "แอนดริว เลา เป็นเพื่อนสนิทของผมอยู่แล้ว จากการร่วมงานในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง และก็เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ส่วนคุณ แดนนี่ กับ อ๊อกไซด์ ก็เป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว หวังว่าผู้กำกับทั้ง 2 คนนี้จะสามารถสร้างภาพยนตร์เรื่อง ฟงอวิ๋น ในอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นมาได้"
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องประกบนางเอกใหม่ ถังหยัน
กัวฟู่เฉิง "เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ฉูฉู่ กับ ปู้จิ้งอวิ๋น ยังมีความสัมพันธ์ที่ยังไม่ลึกซึ้งมากนัก แต่คราวนี้ ปู้จิ้งอวิ๋น กับ ฉูฉู่ ที่เป็น ถังหยัน (Tang Yan) มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นอะไรที่น่าดูมากๆ"
อากาศร้อนเป็นปัญหามากน้อยแค่ไหน
กัวฟู่เฉิง "ไม่มีปัญหาเลยครับ เพราะว่าตั้งแต่เดือนกันยาจนถึงเดือนมกราที่ผ่านมา อยู่ที่ฮ่องกงได้จัดคอนเสิร์ต ต้องวิ่งทุกวัน ร้อนทุกวัน เพราะฉะนั้นชินแล้วกับความร้อน ก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นอุปสรรคอะไรเลยครับ"
เจิ้งอีเจี้ยน "ที่ถ่ายทำภาคแรกร้อนกว่า แม้ว่าเมืองไทยจะร้อน แต่ได้ผู้กำกับจัดการให้ได้อย่างดี ตัวผมก็ไม่ลำบากเมืองไทยร้อนแค่ไหนก็สู้"
มาเมืองไทยกี่ครั้งแล้ว
กัวฟู่เฉิง "เยอะมาก แล้วเมื่อปีที่แล้วได้มาถ่ายหนัง (เรื่อง The Detective) ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักสืบของ ยูนิเวิร์ส และกำกับโดย อ๊อกไซด์ แปง ด้วย"
มาเมืองไทยวางแผนที่จะทำอะไรบ้าง
กัวฟู่เฉิง "ยังไม่มีการวางแผนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าตั้งใจมาถ่ายหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วก็เรียนภาษาไทย"
เจิ้งอีเจี้ยน "หลักๆ ตั้งใจมาถ่ายภาพยนตร์อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการไปทำอย่างอื่น แต่ถ้ามีเวลาว่างก็คงจะไปว่ายน้ำบ้าง อยากไปเที่ยวภาคใต้ อยากไปทะเล ไปเกาะที่มีมะพร้าวเยอะๆ แต่ไม่ใช่สถานที่ที่มีชื่อเสียง"
ความประทับใจกับเมืองไทย
กัวฟู่เฉิง "ประทับใจหลายๆ สิ่ง ทั้งอาหารการกิน คน แล้วก็เพื่อน"
เจิ้งอีเจี้ยน "ชอบเกาะต่างๆ ของเมืองไทย ชอบแสงแดดแล้วก็ทะเล และรอยยิ้มที่คนฮ่องกงขาด"
มีโอกาสได้และไปที่ไหนมาบ้างรึยัง
เจิ้งอีเจี้ยน "มีโอกาสไปเดินช็อปปิ้งที่พารากอนมา"
พูดไทยได้ไหม
กัวฟู่เฉิง "ขอบคุณครับ ผมไปกินข้าวก่อน สวัสดีครับ"
เจิ้งอีเจี้ยน "ฉันก็รู้"
เคยเข้าพิธีบวงสรวงเปิดกล้องแบบไทยบ้างไหม
เจิ้งอีเจี้ยน "เคยได้ถ่ายหนังเรื่องหนึ่งในเมืองไทยกับ แดนนี่ แปง แต่ไม่ได้ฉายในเมืองไทย จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร เรื่องที่แล้วทุกคนตั้งใจว่าไม่อยากให้ฝนตก เพราะต้องถ่ายนอกสถานที่เยอะ สุดท้ายฝนก็ไม่ตก มาคราวนี้ก็ไหว้ด้วยความจริงใจเหมือนกัน หวังว่าคราวนี้ทุกอย่างจะราบรื่นและทำออกมาได้ด้วยดี"
ฝากถึงภาพยนตร์เรื่อง ฟงอวิ๋น 2 หน่อย
เจิ้งอีเจี้ยน "เนื่องจากก่อนหน้านี้มีหนังของผมที่คนไทยได้ดูหลายเรื่องแล้วชอบ เช่น The Storm Riders, ขี่พายุดาบเทวดา (A Man Called Hero) เพราะฉะนั้นเรื่อง ฟงอวิ๋น 2 ก็ขอให้ทุกคนได้ไปดูด้วยนะครับ"
สำหรับใครที่ลุ้นว่าภาพยนตร์เรื่อง ฟงอวิ๋น 2 ของ 2 ผู้กำกับพี่น้องฝาแฝด อ๊อกไซด์ แปง และ แดนนี่ แปง จะเป็นอย่างไร คงต้องรอนานหน่อย เพราะกว่าจะพร้อมให้ได้ชมกัน ก็ประมาณปลายปี 2009