พระเอกหนุ่ม วิล สมิธ สุดยอดผู้ชายนิสัยดีแห่งฮอลลีวูด
พระเอกหนุ่มผิวหมึก "วิล สมิธ" (Will Smith) มีทุกสิ่งทุกอย่างครบเครื่อง ด้วยภาพลักษณ์ของชายหนุ่มผู้รักครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบ บวกกับอาชีพการแสดงภาพยนตร์ที่รวมเอาการตลาดผสานเข้ากับศิลปะ รวมถึงได้มีโอกาสทำงานเพลง ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก
ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา "I Am Legend" ที่ยืนหยัดทำรายได้สูงสุดในตารางจัดอันดับภาพยนตร์ทำเงินประจำสัปดาห์ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้รอดชีวิตเหลืออยู่เพียงลำพัง หลังจากทั้งโลกโดนเชื้อไวรัสเล่นงาน คงยากที่ วิล ในวัย 39 ปีจะมีโอกาสได้สัมผัสช่วงเวลารุ่งโรจน์แห่งชีวิต ถ้าเพียงแต่เขาทำตัวไม่เอาอ่าวเหมือนกับดาราคนอื่นๆ
"ฟรานซิส ลอว์เรนซ์" (Francis Lawrence) ผู้กำกับภาพยนตร์ I Am Legend กล่าวถึงดาราหนุ่มคนนี้ว่า "กระทั่งผมได้เจอเขา ผมจึงเชื่อว่าคนเรามีจุดที่สมดุลย์ ซึ่งคุณอาจไม่สามารถฉลาด หล่อ ดูดี มีเสน่ห์ มีความสุขได้ทั้งหมด แต่เขากลับเป็นเพียงไม่กี่คนที่ผมสามารถพูดแบบนั้นได้เต็มปาก วิล เป็นคนสนุกสนาน มีเสน่ห์ หัวไว ดูเท่ และหล่อด้วย ชีวิตครอบครัวของเขาก็มีความสุข ชีวิตแต่งงานราบรื่น เป็นคุณพ่อที่แสนดีมีความสุขไปกับทุกสิ่งที่ทำ ซ้ำยังออกมายอดเยี่ยมแทบทุกอย่าง อาจดูน่าเกลียด แต่ถ้าจะมีใครสักคนหลงเหลืออยู่บนโลกเป็นคนสุดท้ายแล้วละก็ ต้องเป็น วิล นี่ล่ะ"
วิล สมิธ ช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรอย่างนี้ หลายปีที่ผ่านมาเขาสามารถก้าวกระโดดเข้าสู่วงการจอเงิน โด่งดังจากละครชุดทางโทรทัศน์ "The Fresh Prince of Bel Air" ได้อย่างรวดเร็ว และประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์แนวโรแมนติกอย่าง "Hitch" หรือการให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูน "Shark Tale" และ ภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟ "I, Robot"
วิล ได้ฝากงานแสดงส่งท้ายเดือนธันวาคมปี 2006 เรื่อง "ThePursuit of Happyness" อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณพ่อที่ต้องกระเตงลูกชายคนเดียวเร่ร่อนไร้บ้าน ตามหาความสำเร็จในชีวิต ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ดีๆ ให้กำลังใจ เหมาะกับช่วงวันหยุด ยิ่งไปกว่านั้น บทลูกชายของตัวละครนำในเรื่อง ยังแสดงโดย "เจเดน สมิธ" (Jaden Smith) บุตรชายวัย 9 ปี ของเขา และภรรยานักแสดงสาว "จาดา พินเกต สมิธ" (Jada Pinkett Smith) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม The Pursuit of Happyness ก็สามารถตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินระดับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเรื่องล่าสุดของ วิล ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์หนที่สองในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ตามหลังเรื่อง "Ali" ในปี 2001
ตอนนี้ วิล กลับมาแล้วกับ I Am Legend เรื่องราวของเหตุการณ์หายนะ ที่คราวนี้เขาหอบเอาลูกสาว "วิลโลว์ สมิธ" (Willow Smith) วัย 7 ขวบมาร่วมเล่นด้วยอีกคนไม่ให้น้อยหน้าพี่ชาย ซึ่งเธอจะปรากฏตัวในฉากรำลึกอดีตของตัวละคร วิล กล่าวว่าลูกๆ ของเขาดูจะมีสายเลือดของนักแสดงฝังเข้มข้นมากเลยทีเดียว
"เจเดน นั้นชอบดูบทหนังด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาชอบให้อ่านบทให้ฟัง อาจเพราะชอบแนวความคิดหรืออาจชอบอ่านอะไรที่สั้นๆ กว่าอ่านหนังสือจริงๆ ก็เป็นได้ ตอนเขาอายุ 4 ขวบ ก็มักจะบอกว่าการแสดงเป็นเรื่องง่าย ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ เขาจะถาม ทำอะไรน่ะพ่อ ผมทำได้ง่ายกว่านั้นอีก" วิล สมิธ ให้สัมภาษณ์กับสมาคมนักหนังสือพิมพ์และกล่าวว่า
"เขาชอบดูซีรี่ส์ Fresh Prince มาก ถึงกับพูดว่านั่นไม่ใช่แค่การแสดงที่ดีนะพ่อ" ในสายตาของ วิล แล้ว เจเดน และ วิลโลว์ นั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกันทางด้านการแสดงเลย ลูกชายของเขาชอบซึมซับอารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แล้วเอามาเล่นเองอีกครั้งแบบเป็นจริงเป็นจังด้วยอารมณ์ทีลึกซึ้ง แม้กระทั่งทำให้เชื่อได้ว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง
ขณะเดียวกัน วิลโลว์ กลับรับเอาทุกสิ่งเข้ามาแล้วค่อยๆ ตัดสินใจอย่างระมัดระวังว่าควรจะแสดงออกมาอย่างไร วิล กล่าว ซึ่งแนวการแสดงของเขาจะใกล้เคียงกับลูกชายเขามากกว่า "ผมอยากให้ทุกคนอารมณ์ดีเพื่อที่เวลาทำการแสดงแล้วจะสามารถเล่นออกมาได้ดี และผมยังต้องการสถานที่ที่ช่วยให้ผมรู้สึกสะดวกสบายในการถ่ายทำ เพราะต้องทำอารมณ์อย่างมากในการเข้าฉาก สิ่งเหล่านั้นจำเป็นสำหรับผม"
วิล ต้องแสดงคู่กับสุนัขตลอดแทบทั้งเรื่องใน I Am Legend เดินไปตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองนิวยอร์ก เพื่อค้นหาข้าวของเครื่องใช้ และพยายามหาทางรักษาโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน และบางส่วนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตดุร้ายกระหายเลือด
นอกจากเจ้าสัตว์สี่ขาแล้ว วิล ยังต้องแสดงกับหุ่นแสดงเสื้อตอนต้นเรื่องอีกด้วย ดังนั้นบทนี้จึงต้องการผู้ที่มีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจผู้ชมให้ได้ "ถือเป็นการท้าทายครั้งใหญ่เลยทีเดียว และฉันชื่นชมเขามากที่ทำอย่างนั้นได้ วิล เล่นบทนี้ได้สมบูรณ์แบบ ผู้ชมต่างรู้สึกผูกพันกับเขา เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้อง แน่นอนทุกคนก็จะบอก นั่น วิล สมิธ นี่ แต่แล้วก็จะลืมไปเลยว่าเป็น วิล สมิธ เขาดึงดูดความสนใจคนได้จริงๆ" อลิซ บรากา (Alice Braga) นักแสดงสาวในเรื่องกล่าว
นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมงานกล่าวถึงบุคลิกอันมีเสน่ห์ประทับใจของ วิล ด้วยว่าช่วยเปลี่ยนการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งมักเต็มไปด้วยความหลงตัวเองและความรู้สึกว่าตนพิเศษกว่าคนอื่น ให้กลายเป็นสถานที่ทำงานที่สนุก มีความสุข
"อากิว่า โกลส์แมน" (Akiva Goldsman) มือเขียนบทคนเก่งจาก I Am Legend และ I, Robot ยังเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากจะให้ "รอน โฮเวิร์ด" (Ron Howard) ผู้กำกับเรื่อง "A Beautiful Mind" ซึ่ง อากิว่า เคยร่วมเขียนบทให้ มาทำงานภาพยนตร์ร่วมกับ วิล ซึ่งน่าจะเป็นคู่ที่เหมาะทำงานด้วยกัน เพราะพวกเขาไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างในกรณีของ วิล นั้น การเลือกทำงานของเขามาจากการดูบทประกอบกับผู้สร้าง
"ทุกสิ่งทุกอย่างคือวัตถุดิบสำคัญบวกกับความร่วมมือกัน ง่ายๆ แค่นั้น" วิล กล่า "จากประสบการณ์ที่พบเจอมามากมาย นักแสดงส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยบทดีๆ ที่พวกเขาอยากเล่น ผมไม่เคยเริ่มต้นแบบนั้น แต่เริ่มจากเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังที่คนอยากดู จะมีใครอยากดูหนังเรื่องนี้ไหมนะ ถ้าอย่างนั้นแล้วใครล่ะที่อยากดู ถ้าเราทำหนังที่คนอยากดูบวกกับตัวละครที่พวกเขาอยากจะเห็นล่ะ" ภาพยนตร์ทุนสูงส่วนใหญ่ที่ วิล รับเล่นนั้นมักทำรายรับได้ดี รวมถึงเรื่อง "Men in Black" "Bad Boys II" และ "Independence Day"