ชีวิต ความคิด ตัวตน ของคนอีสานที่ชื่อ เหลือเฟือ มกจ๊ก
"เหลือเฟือ มกจ๊ก" นักแสดงตลกอันดับต้นๆ ของเมืองไทย การเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ครั้งแรกไม่ได้มีนามสกุล มกจ๊ก ติดตัวมาด้วย แต่เป็นแค่คนอีสานธรรมดาคนนึง ที่เคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ในเมืองหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่ตลกคนนี้จะลืมก้าวแรกในชีวิตที่ย่ำเท้าเข้ามาในเมืองที่มีชื่อว่ากรุงเทพฯ เลย ชีวิตตลกที่ไม่ตลก ชีวิตหลังจากที่มีชื่อเสียงก็ยังเป็นชีวิตที่สามารถยกมือปาดน้ำตาได้ทุกครั้งที่หวนระลึกถึง ซึ่ง เหลือเฟือ เล่าถึงความเป็นมากว่าจะเป็นวันนี้เอาไว้ว่า
ก่อนจะเข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ทำอะไรมาก่อน
"ก่อนที่จะเข้ามาผมก็อยู่บ้านนอก เรียนหนังสือ คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเรียนสูงที่สุด แต่ตัวผมเรียนไม่จบ ทีนี้ก็เลยบอกพ่อว่าจะขอเข้ากรุงเทพฯ อยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร ช่วยคุณพ่อคุณแม่ขายของทำไร่ทำนามั่ง ซึ่งทำไร่ทำนาก็เคยทำตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เคยไปเลี้ยงควายมีเลี้ยงม้าด้วย ที่บ้านจะเลี้ยงม้า วัว ควายอยู่ที่ขอนแก่น พอย้ายไปอยู่หนองคายก็ไปค้าขาย ตอนอายุ 10 ขวบ ก็ไม่ได้เลี้ยงควายละ แต่ก็ยังเป็นคนติดดินอยู่นะ ผมยังอยากทำนา บางทีเอาขนมไปจ้างเพื่อนเพื่อที่จะอยากไถนากับเพื่อน คืออยากทำอย่างนั้นอยู่
ช่วงหน้าเทศกาลเนี่ยคนอีสานจะกลับไปบ้าน ทีนี้เพื่อนก็พูดให้ฟังว่าไปทำงานอยู่นู่นอยู่นี่ อยู่ร้านอาหาร เราก็เออเหรองั้นฝากเราด้วยเว้ย เอาเราไปด้วยนะ มันก็พาขึ้นรถมา ค่ารถไฟจากหนองคายมาก็ร้อยกว่าบาท 130 บาทจำได้ เราก็มาลงที่สามเสน ถามเพื่อนว่าไหนล่ะ ที่ทำงาน มันก็พาผมเดินจากสถานีรถไฟสามเสน สามเสนนอกหรือสามเสนในนี่แหละ จำไม่ได้จนถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ ผมเหลือตังค์อยู่ในกระเป๋า 9 บาท เพื่อนผมเหลือเงิน 4บาท รวมกันแล้ว 13 บาท
เพื่อนผมมันยังทำอาหารเป็น แล้วอย่างผมจะไปฝากอะไรกับเขา จะไปเป็นเด็กเสิร์ฟเหรอ เจ้าของร้านก็ไม่เอาแล้ว ผมก็ต้องไปพักอยู่กับเพื่อนคนเนี้ยะนี่แหละ แล้วเพื่อนคนนี้มันก็พักอยู่ในร้านเจ้าของร้าน ซึ่งถ้าเราสามคนเข้าไปพักมันก็กลายเป็นสี่คน คือเจ้าของร้านไม่รับเราทำงานแสดงว่าเค้าไม่อยากให้เราอยู่ไง จะทำไงล่ะ ทีนี้ก็ต้องออกมาเดินไปเรื่อยๆ รู้อยู่อย่างเดียวคือต้องสมัครงาน เดินจากอนุสาวรีย์ถึงวงเวียนใหญ่ กว่าจะได้งานหลายวันเหมือนกัน
พอดีได้งานที่ร้านอาหาร เราก็คิดถึงบ้าน ผมจำได้ว่าผมฟังเพลงของ พรศักดิ์ ส่องแสง แล้วผมก็นั่งร้องไห้คิดถึงแม่ เพลงรำแพนคนไกลบ้านอะไรนี่แหละ นั่งๆ ฟังก็คิดถึงบ้านอยากกลับบ้าน แต่ไม่กลับกลัวชาวบ้านเค้าบอกว่ามากรุงเทพฯ ได้ไม่กี่วันกลับลงไปแล้ว เพราะอยู่บ้านนอกชาวบ้านชาวช่องเค้ามองผมอยู่ไงว่าผมจะไปยังไง เรียนก็ไม่จบไปแล้วจะเป็นไงต่อไป จะอยู่ได้เหรอ"
เหมือนว่าสิ่งที่ชาวบ้านเฝ้ามอง ทำให้ต้องขวนขวายเข้ามาหางานทำ
"มันหลายๆ อย่างนะผมว่า อันดับแรกที่จูงใจให้เข้ามาหางานทำนะ ผมคิดว่าตอนนั้นผมไม่มีความคิด พอผมมารู้ว่าความลำบากอะไรทุกอย่างอยู่ในกรุงเทพ ผมกล้าพูดว่าผมลำบากมากๆ เพราะว่าตอนที่ได้งานที่ร้านอาหาร เพื่อนผมทยอยกลับบ้านกันหมด เหลือผมคนเดียวไม่ยอมกลับ
รถเมล์ขาวสมัยเมื่อก่อนตรงปู่เจ้าสำโรงมันมีบึงน้ำนิ่งๆ ฝุ่นมันกลบไว้มองไม่รู้เรื่อง ผมก็กดรถเมล์ลงมันก็ดันไปจอดให้ผมตรงน้ำนั่น แล้วเสื้อผ้าผมก็มีชุดเดียว เมื่อก่อนไม่มีป้ายรถ จอดตรงไหนก็จอดได้เลย พอจอดปึ๊บผมก็โดดเลย นึกว่าไอ้ตรงน้ำนั่นเป็นพื้นปูน โดดตูมลงไปเปียกหมดเลย อ้าวตายแล้วเสื้อผ้ามีชุดเดียวจะมาสมัครงานด้วย ผมก็หาที่ล้างตัวเพราะเหม็นมาก จะขอเข้าไปล้างตัวในร้านอาหารร้านนี้ได้ไหม ใครเขาเห็นผมก็คิดว่าเป็นคนบ้า ผมเรียกพี่ครับ เขาไม่ฟังเลยนะ
ผมก็พยายามจะอธิบายผมไม่ใช่คนบ้าครับพี่ ผมอยากมาล้างตัว จนคนนั้นมันจะมาเตะผม ผมยกมือไหว้บอกเขาว่าผมไม่ใช่คนบ้า พี่อย่ามาไล่ผมเลย ผมมีบัตรประชาชน แต่ผมขอล้างตัวเหอะ ผมเหม็น เค้าถามว่าไปทำอะไรมาล่ะ ผมตกบ่อโคลน ตรงนี้รถจอด ช่วงที่ผมล้าง มันเป็นช่วงที่ถ้าเกิดเป็นพระรามเก้าพลาซ่า ก็คือช่วงที่กำลังทำงานกัน เด็กเสิร์ฟ นักร้องกัปตันก็มาทำงานกัน ผมล้างอยู่ข้างหน้าอย่างเนี้ย ก็แห่มาดูผมหมด ผมคิดว่าตอนนั้นสายตาของเค้าต้องว่าผมเป็นคนบ้า แต่ไม่เป็นไร
ผมล้างเสร็จ เค้าถามจะไปไหน คือช่วงที่ผมล้างเนี่ยเริ่มมีคนพูดน่าสงสารเค้าเนอะ ตอนนั้นมีเจ้าของร้านมายืนดู ผมก็หวัดดีเขาถามจะไปไหน ผมมาสมัครงานครับ ไม่รู้จะไปไหนครับ ตัวคนเดียวเสื้อผ้าชุดเดียว ผมพูดดีอย่างนี้เลยไม่ใช่คนบ้านะครับ พี่เข้าใจผมหน่อย ผมขอทำงานกับพี่ได้มั้ย แลกข้าวก็ได้ผมบอกตรงๆ ความรู้สึกผมตอนนั้นมันเหมือนตายไปแล้ว ผมกะว่าผมจะไม่กลับบ้านเด็ดขาด
ผมตัดสินใจขอเค้า กราบเค้า ผมขอทำงานอยู่ตรงนี้นะพี่ ผมไม่ขอเงินเดือนอะไรจากพี่เลยแลกกับน้ำที่ล้างตัว เค้าก็ให้มาทำ เขาให้ทำอะไรผมทำหมด ล้างห้องน้ำ หั่นหอม เขาให้ที่พัก แล้วที่นอนผมมีแต่ผ้าขาวม้า เพราะเสื้อผ้าผมเปียกให้ผมนอนบนไม้ ข้างล่างเป็นน้ำครำ ยุงก็เยอะ ยุงก็กัด แต่ด้วยความล้าผมก็หลับ ตื่นเช้ามาอีกที เจ้าของร้านพาผมไปคลินิก ผมพูดเรื่องนี้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่มันลำบากมาก
วันนึงมือกลองที่ร้านเมา เค้าก็เรียกหาผม ซึ่งกำลังล้างจานอ่างเบ้อเริ่มเลย ผมกระโดดลอยเลย ผมก็เคยฟังเค้าเล่นซ้ำๆ ซากๆ อยู่ทุกวัน ผมก็เลยตีได้ คนอื่นก็งงกันเป็นแถบ พอดีจังหวะวันนั้นมือกลองตลกขาด เค้าบอกว่าให้ไปตีให้ตลกหน่อย ผมก็ไม่เคย ไปเล่นที่พัทยาถ้าให้ตีเป็นจังหวะน่ะได้ แต่ถ้าตบมุกผมทำไม่เป็น ไปถึงเค้าก็ขำอย่างเดียว ผมดูเขาเพลิน ผมก็ขำเค้า เค้าก็หันมาด่าผมว่าทำไมไม่ตบมุก ผมก็ตบยังไง ตบมุก ผมทำไม่เป็น ผมก็เริ่มเรียนรู้อ๋อตลกเป็นอย่างนี้ๆ ผมเอาใหม่ต่อไปผมไม่ให้พลาด
มีอยู่วันนึงเค้าจับผมออกไปเล่น ผมไม่รู้จะเล่นยังไงผมกลัว บนเวทีอ้าวเล่นไปเลยคนฮาเว้ย เค้าอำผมคนฮา จับผมออกมาเล่นจนกลายเป็นตลกไปเลย หลังจากนั้นก็เริ่มมีวงโน้นวงนี้ จนมาอยู่กับจตุรงค์ (จ๊กม๊ก) พี่รงค์ตั้งทีม เขาชวนผมทีแรกก็เกือบไม่ไปแล้ว กลัวเข้ากับเค้าไม่ได้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าความดังของผมคืออะไร ผมไม่รู้คนทักผมผมยังตกใจเลยอยู่ข้างนอกตอนนั้นน่ะ สมัยก่อนจะมีรายการขบวนการจี้เส้น รายการฮาเจ็ดดาว มีคนดูเยอะมาก ซึ่งไปไหนคนจะจำผมได้จากสองรายการนี้"
แล้วพอโดนจับให้ไปเล่นตลก ทำยังไงให้คนขำ
"เป็นเกณฑ์อยู่แล้วว่าตลกใหม่เพิ่งฝึกใหม่แต่แรก อันดับหนึ่งไม่ต้องไปอำชาวบ้าน เพราะว่าเราต้องให้ชาวบ้านเค้าอำ เราก็ทำไปตามเค้าบอก หมอดูมั้งเคยทักให้ไปตัดผมเหอะตัดผมจะดัง ดังยังไงจะไปทางไหน ผมยังไม่รู้ ผมไม่ใช่คนที่อยู่นิ่ง ผมเป็นคนชอบคิดชอบทำ ผมเป็นคนชอบนั่งฟังมาก เพราะนั่งฟังจะได้อะไรมากกว่า แต่ว่าถึงเวลาพูด ก็ต้องพูด เพราะเป็นอาชีพ เราก็ต้องคุย อาชีพตลกก็ต้องขัดปากอยู่เรื่อยๆ ก็ต้องพูดเรื่อยๆ"
กว่าจะก้าวมาเป็นตลกมีชื่อเสียงพี่ใช้เวลานานแค่ไหน
"นานเหมือนกัน ใช้เวลาก่อนที่จะมาเข้าเล่นในทีวี ตั้งแต่ออกจากบ้านมา ผมต่อสู้ประมาณ 4-5 ปี ได้มั้ง อาจจะคิดว่าน้อย แต่ว่าอุปสรรคมันเยอะมาก ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่ฝีมือ ผมถือว่านั่นเป็นดวงของผม ผมเป็นคนให้โอกาส เหมือนเราเคยเก็บกดตอนที่ผมไม่ได้เรียน ตอนนี้ผมก็มาเรียนต่อ ผมต้องจบตรีให้ได้ถ้าผมไม่ตาย จบตรี จบโท จบเอกแล้วแต่ อันไหนที่ผมไม่รู้ผมต้องรู้ ประสบการณ์ตรงนั้นสอนให้ผมให้เป็นผู้ใหญ่ ในความคิดของผม ผมผลิตงานอยู่ตลอดเวลา วันนี้วางแผนไว้ว่าเราจะทำยังไง คุยกับใครมุกใหม่ต้องมีหนึ่งมุกต่อวัน"
ก่อนจะมากรุงเทพฯ เคยคิดว่ากรุงเทพฯ เป็นยังไง
"ผมเคยดูในหนังในละคร ในเมืองในจินตนาการของเรา ต้องเป็นเมืองที่สวยหรูเป็นเมืองที่ทุกคนแสวงที่อยากจะมาเสพสุขอยู่ในเมืองกรุงเทพฯ แล้วก็มีแสงสีอะไรที่สวยมาก ได้พูดภาษาภาคกลางที่ได้เรียนมา เพราะว่าอยู่บ้านนอกได้พูดแต่ภาษาอีสาน มาลงที่อนุสาวรีย์ชัย " ี่ ทางนี้ไปไหนครั " " ูสิไปไสล่ " โดนคำสวนมาเอ้าอีสานทั้งนั้นมีแต่พวกเดียวกัน สะพายกระเป๋าเกลื่อนไปเลย"
ยังคิดว่าสวยหรูอยู่ไหม
ผมมองว่ากรุงเทพฯ ก็ดีอย่างสำหรับตัวผม มันสอนชีวิตผม สอนผมให้ลำบากลำบากสุดๆ อย่างช่วงไม่มีข้าวกินเนี่ย ผมเห็นตังค์ เหมือนในหนังเป๊ะ ตังค์ใครก็ไม่รู้วางไว้ เราก็เอาไปขัดซะขาวซื้อข้าวกิน เห็นน้ำตาลทรายวางอยู่ผมก็กินข้าวคลุกน้ำตาลทราย นั่งร้องไห้ทุกวันแหละคิดถึงแม่ แต่ว่าจะไม่กลับ บัตรประชาชนโดนเพื่อนยึดไป โดนหลอกเอาเงินเดือนไปทั้งหมด หลอกแล้วหายไปเลยบอกจะเอาซื้อหวย
ผมบอกลูกน้องว่าอย่าเลยนะ ถ้ามีลูกมีหลานบอกมันไปว่าอีสานเราดีกว่า อย่างน้อยไปไหนมาไหน อีหล่าไปไส กิ๋นข้าวกันก่อน เป็นลูกผู้ใด๋กินข้าวกันก่อน เรียกกินน้ำกินข้าวตลอด แต่กรุงเทพฯ ทานโทษครับ บ้านติดกันบางทียังไม่เจอหน้ากันเลย ผมเคยถามคนอีสานบางกลุ่มนะ เขาบอกว่ากรุงเทพฯ เนี่ยนรกชัดๆ เขาหมายถึงการงานนะที่เข้ามาทำงานมีแต่ความลำบากทั้งนั้น ไม่สบาย คำว่ามาหางานทำ คุณเตรียมตัวเหอะ คุณต้องดิ้นรนอีกเยอะ
แล้วเข้ามาเล่นเสือร้องไห้ได้ยังไง
"ทีแรกผมก็เล่นตลกอยู่ดีๆ แต้ (สันติ แต้พานิช) มาบอกว่าผมจะทำหนังซักเรื่องนึงเกี่ยวกับชีวิตคนอีสาน พี่เหลือว่าดีมั้ย ผมก็จะตามถ่ายพี่ ตามตัวพี่ตลอด คณะพี่เล่นผมก็จะตามไป ผมไม่ไปรบกวนอะไรพี่หรอก ผมก็เออดูเด็กมันตั้งใจอยากจะทำจริงๆ ผมให้อยู่แล้ว แต้บอกว่าไม่มีบทไม่มีสคริปต์อะไรให้ ผมมองว่าเป็นรายการโทรทัศน์หรือเปล่า ไม่พี่ ผมจะเอาลงเป็นหนัง โครงการเล็กๆ ของผม
วันแรกที่แต้บอกผม ผมก็ยังไม่โอเคผมขอไปคิดก่อน ไว้พรุ่งนี้ผมค่อยให้คำตอบแต้ ผมก็เลยเอาไปนอนคิดก่อน บอกเขาไปว่าคืนเดียว แต้บอก " ร้าบพี่ หลายคืนผมก็รอพี่ได " ดูแต้อยากจะทำจริงๆ ผมเลยโทรไปหาแต้ " ัลโหล แต้เหรอ โอเคนะ เดี๋ยวมาคุยกันตอนเย็ " แต้บอก " ี่ ผมไม่มีค่าใช้จ่า " " ม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าอยากจะทำก็ทำเลย เอาเล " ถ้าอยากทำจริงๆ นะ ถ้านำเสนอดีจริงๆ พี่โอเค ทำให้ดีไปเลย
รู้สึกยังไง ถ้ามีคนอยากมาเป็นแบบเรา
" มก็รู้สึกว่าก็ดีนะ แต่ให้เค้าจำอันที่ดีๆ ของผมแล้วกัน พวกการทำงานนะ อยากให้เค้าจำตรงนี้ไปใช้ แต่ว่าถ้าเหมือนผมเลยก็ต้องต่อสู้กับมัน ผมก็ไม่อยากให้ดิ้นรนอะไรมากมาย สำหรับคนอีสานที่มีงานทำอยู่แล้ว อย่าไปดิ้นรนกับมันมาก ถ้าพลาดขึ้นมาเท่ากับเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่เลยนะ ดูอย่างตลกก็เหมือนกัน ทุกคณะ ทุกคนต้องดิ้นหาวงที่ดีกว่า ทีนี้ดิ้นไปดิ้นมาก็อยู่ไม่ได้ วงเก่าก็ไม่เอาแล้ว คุณปลิ้นปล้อนคุณตลกหลายเจ้ "
คิดยังไงที่มีคนหยิบเอาชีวิตของคนอีสานมาเป็นตัวเล่าเรื่อง
" ป็นส่วนหนึ่งด้วยที่ผมรับปากแต้ เพราะว่าคนอีสานเยอะมาก แม้กระทั่งต่างประเทศ ผมเคยไปญี่ปุ่น ผมไปเมืองอะไรไม่รู้จำไม่ได้ ซึ่งอยู่ในหุบเขา เค้าพาผมไปโชว์คนเดียวเลย คุณจะพาผมไปทำไม ผมพูดภาษาอะไรไม่เป็น พอไปถึงที่นั่นก็เป็นโดม คนนั่งรอผม พอเค้าประกาศว่า พ่อแม่พี่น้องมาแล้วครับ ขอเสียงปรบมือต้อนรับ เหลือเฟือ มกจ๊ก พอผมขึ้นเวทีไปก็มีเสียงมา "เหลือเฟือ อ้ายเป็นใด??" อู้หู คนอีสานทั้งนั้นอยู่ในหุบเขา ที่นั่นหน่ะญี่ปุ่นนะไม่ใช่บ้านเรา คนอีสานเค้าอยู่ทุกที่จริงๆ ดิ้นรนไปทุกที่ แสวงหาชีวิตที่มันดี
แล้วรู้สึกยังไงที่ชีวิตถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์
"ทีแรกก็ตกใจ ตกใจตรงที่ว่าจะนำเสนอชีวิตแบบไหนดี ชีวิตผมมีทั้งดีทั้งร้าย ดีก็คือหมายความว่า ณ ตอนนี้ชีวิตเริ่มดีขึ้น ดีขึ้นก็ใช้คือชีวิตทั่วไปตามคนปกติ ถ้าเป็นช่วงที่ร้าย ก็หมายถึงช่วงที่ผมอดอยาก ผมลำบาก หรือว่าจะถ่ายทอดการทำงานการปกครองของผม ในแง่ของตลก ซึ่งมีอาชีพอย่างเนี้ย รายได้อย่างเนี้ย แต่ว่าผมเลี้ยงตัวเองอยู่ๆ ได้ ผมเลยมีความรู้สึกดี ผมชมแต้ด้วย แต้คิดออกที่อยากถ่ายทอดอย่างนี้ ไม่ใช่ชีวิตผมอย่างเดียว ชีวิตพรศักดิ์อะไรอย่างเนี้ย คือผมอยากหาคนอีสานที่รู้จักในปัจจุบันมาต่อสู้ว่าเป็นยังไง"
รู้สึกทำงานหรือเขินหรือเกร็งบ้างไหม
"แต้เคยให้สัญญากับผมว่า " มทำงานของผม พี่ทำงานของพี " โอเคงั้นต่างคนต่างทำงาน ผมไม่เกร็ง เพราะผมไม่มีอะไรที่ต้องมาปิดบังมากมาย นอกจากว่าแต้วันนี้พี่ขอเวลาส่วนตัวนะ ผมจะบอกแต้เอง แต้ก็จะโอเค และหลังจากนั้นแต้ถ่ายเลยอยากถ่ายอะไรก็ถ่าย ผมก็ทำตามแบบผม ลูกน้องแต้ก็ถ่ายไป ผมว่าดีซะอีกหนังออกไป คนดูก็อาจจะได้รู้ว่า ผมโหดกับลูกน้องหรือเปล่า หรือว่าผมสอน ถ้าคุณมาเป็นลูกน้องผมคุณต้องรับฟังคำพูดของผมด้วย คุณต้องเข้าหาผมไม่ใช่ให้ผมต้องเข้าหาคุณ คุณต้องตามนายไม่ใช่ให้นายต้องตามคุณ ผมคิดอย่างนี้"
ช่วงที่ลำบากรุนแรงที่สุด
"พี่จำแม่นนะ ตอนนั้นอยู่บ้านซอยสวนส้ม บ้านจะพังอยู่แล้วเป็นบ้านเก่ามาก ผมลำบากที่สุดจะตายแล้วไม่มีข้าวกิน มองไปเห็นเหรียญบาท ซื้อข้าวสวยบาทเดียวแล้วก็มีน้ำตาลทราย ตอนเดินไปซื้อแรงจะหมด ถ้าลูกน้องของผมไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่ไม่มีตังค์อะไรมาก ไปกับผมคุณไม่ต้องจ่ายตังค์เดี๋ยวผมจ่ายให้ ผมมีความสุขมากเลย ผมยังนึกย้อนกลับไปตอนที่ผมยังเป็นไอ้เกม ไม่ใช่เหลือเฟือ แล้วผมก็รู้อดรู้อิ่มอยู่ในกรุงเทพฯ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะมากรุงเทพฯ ไหม
" ้าโตอย่างนี้แล้วคงไม่มากรุงเทพฯ คงอยู่หนองคายอยู่กับแม่ ป่านนี้คงได้เป็นอาเสี่ยแหนม ถึงจะลำบากหน่อยก็ช่างมัน เป็นคนส่งแหนมอยู่แถวบ้านนอกดีกว่า ส่งแหนมตามหมู่บ้านแต่มีความสุข เพราะได้อยู่ใกล้พ่อ-แม่ จากพ่อแม่มาตั้งหลายปี ถ้าถามว่าอยู่บ้านนอก ผมอยู่ได้มั้ย ผมอยู่ได้กับอาชีพตรงนั้น อาชีพทำแหนมของผม สูดไออุ่นบ้านนอก ได้เจอเพื่อนที่เรียนมา ได้เจอพี่ป้าน้าอา เดินไปไหนเจอะคนอีสานที่รักกัน ผมมีความรู้สึกว่าผมอบอุ่นกว่ "
มีคติในการทำงานยังไง
" ติของผมเหรอ ณ ปัจจุบัน คือผมทำงานของผมให้ดี ผมไม่ได้หวังว่าอนาคตว่าผมต้องไปเป็นคนโน้นคนนี้ ผมต้องเป็น ส.ส. ผมไม่ไปวางตัวเองอย่างนั้น ผมวางวันนี้ ผมออกจากบ้านผมจะทำอะไรให้ดีที่สุด มีงานอันไหนที่ผมค้างอยู่ ผมต้องทำให้เสร็จ ผมทำงานมากไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าผมแบ่งออกนะ อยู่บ้านผมไม่เอาไปรวม ผมแบ่งแต่ว่าผมไม่ทิ้งงาน ชีวิตผมจะอยู่กับงานตลอด ผมไม่รั้งรอถ้าผมจะทำ ผมจะเอาอะไร ผมจะเอาให้ได้ แต่ว่าไม่ได้ใช้กำลังเงิน เพราะกำลังเงินผมไม่มี มีใครที่จะเรียกเราไปใช้งาน เราจะทำยังไงให้เค้าภูมิใจในตัวเรา จ้างผมไปเนี่ย พี่ได้รับความประทับใจจากผมแน่ พี่ได้รอยยิ้มแน่"