บทสัมภาษณ์ ฮิลารี่ ดัฟฟ์ กับบทบาท ซินเดอเรลล่า ยุคใหม่
ฮิลารี่ ดัฟฟ์ สาวน้อยหน้าหวานที่ผ่านงานแสดงมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ The Lizzie McGuire Movie และ Cheaper by the Dozen รวมทั้งผลงานเพลงอัลบั้ม Metamorphosis ที่มีเพลงดังอย่าง So Yesterday วันนี้ ฮิลารี่ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ A Cinderella Story ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพนิยายคลาสสิกที่กลับตาลปัตรและเข้ากับยุคสมัย ซึ่ง ฮิลารี่ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ ดังนี้
พูดถึงซินเดอเรลล่า
"ตอนที่ฉันโตขึ้นมาแน่นอนว่าเรื่องของซินเดอเรลล่าเป็นนิทานเรื่องโปรด และฉันก็คิดว่ามันจะต้องเป็นนิทานเรื่องโปรดของเด็กสาวทั่วไปอยู่แล้ว ทุกคนปรารถนาอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับซินเดอเรลล่าเกิดขึ้นกับพวกเขา ฉันตื่นเต้นมากเมื่อได้บทมา มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้และทันสมัย และฉันก็คิดว่ามันดูดีเพราะมันไม่เคยมีเวอร์ชั่นแบบนี้มาก่อน"
บางทีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
"สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการที่เด็กสาวได้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมาก มันได้พยายามสอนสาวๆ ให้เป็นแบบนั้น ในเรื่องซินเดอเรลล่าแบบอื่นๆ เธอจะนั่งรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง แต่ในเรื่องนี้ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่น่ารักที่สุด หรือเป็นที่นิยมมากที่สุดในโรงเรียน เธอก็ยังเป็นประเภททำให้มันเกิดขึ้น เธอตั้งจุดหมายสำหรับตัวเธอ และเมื่อเจ้าชายรูปงามมาถึง มันก็เป็นเหมือนการยกระดับให้ดีขึ้น แต่แน่นอนว่าเธอก็ได้ทำหลายอย่างให้กับตัวเองและเชื่อในตัวเองอีกด้วย"
เชด ไมเคิล เมอร์เรย์ น่าฝันถึงใช่ไหม
"ก็เป็นบ้างนิดหน่อย ไม่นะ เชด ไมเคิล เมอร์เรย์ นั้นยอดเยี่ยมมาก ฉันสนุกมากที่ได้ทำงานร่วมกับเขา แล้วเขาก็ดูไม่เลวนักนะ"
ช่วยเล่าตอนที่ต้องถ่ายฉากร่วมกับเจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์ได้ไหม
"มันดูเหมือนนานมาก ทุกคนที่อยู่ร่วมในฉาก ไม่ใช่เฉพาะแต่ตัวฉัน ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ถูกตำหนิ เพราะต้องหัวเราะกันงอหาย เจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์ น่าทึ่งมากเพียงแค่ได้นั่งและมองดูเธอ คุณจะคิดว่า โอ้พระเจ้า เธอใส่ของพวกนี้ออกมาได้ยังไงกันนะ มันดูสร้างสรรค์มากและเธอก็ยอดเยี่ยมมากด้วย ฉันรักเธอ เพราะว่าเธอน่าขำมาก คำพูดที่เธอพูดออกมาก็ไม่มีในบท เธอแต่งขึ้นเองทั้งนั้น"
คุณดูเป็นสาวร็อกแอนด์โรล แต่ในอีกขณะหนึ่ง คุณก็ดูอ่อนหวาน
"ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แน่นอนอยู่แล้วว่าในงานแสดงฉันต้องเป็นคนอีกคนหนึ่ง ฉันรู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นตัวเองและรู้สึกมากกว่าว่าฉันอยากจะเป็นใคร มันค่อนข้างแน่นอนว่าหนังที่ฉันเล่น หรือว่าฉันจะแต่งตัวอย่างไรในแต่ละวัน มันเป็นเรื่องน่าสนุกและฉันก็ปล่อยไปตามนั้น บางทีฉันก็คิดว่าทั้งหมดนี่คือฉัน เพียงแค่ต่างบุคลิกกันเท่านั้นเอง"
ความรู้สึกแตกต่างระหว่างการแสดงและการร้องเพลง
"แน่นอนว่าต้องเป็นการร้องเพลง ตอนที่คุณอยู่บนเวที คุณต้องอยู่ท่ามกลางคน 15,000 คน และพวกเขาก็รู้ทุกคำในเพลงที่คุณร้องออกไปและยังชูป้ายหลากหลายและยังส่งเสียง ฉันได้แต่คิดว่า โอ พระเจ้า พลังและความสนับสนุนที่เราได้จากพวกเขาก่อให้เกิดความอิ่มเอมใจและพลังในทันที และมันเป็นความรู้สึกดีอีกแบบที่ได้อยู่แตกต่างเมืองในแต่ละคืนในการทัวร์คอนเสริต์ มันยอดเยี่ยมมาก แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนได้รับรางวัลเมื่อคุณถ่ายหนังเรื่องหนึ่งจบลงและคุณก็มีความรู้สึกว่า โอเคเลย ฉันทำมันได้แล้ว แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าการร้องเพลงทำให้ฉันเกิดพลังมากกว่า
ตอนไหนบ้างที่คุณรู้สึกว่าคุณซื่อสัตย์และมีความเป็นคุณมากที่สุด
" ันไม่แน่ใจนะ ตอนที่ฉันร้องเพลง ฉันต้องแสดง แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันต้องไม่เป็นเหมือนตัวฉันที่เป็นอยู่ในแต่ละวัน แต่มันก็ฉันเองนี่แหละ ฉันร้องเพลงอย่างที่ฉันรู้สึกมาจากข้างในและสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่ เพราะงั้นฉันถึงคิดว่าจะสามารถออกไปและเป็นตัวเองเหมือนตอนที่ฉันให้สัมภาษณ์อยู่ในขณะนี้ ฉันเป็นคนซื่อสัตย์นะ ฉันไม่ได้ปกปิดมากนัก แต่ตอนที่ฉันต้องแสดง มันไม่ใช่ตัวฉันเลยเพราะว่านั่นก็คือการแสดง คุณจะต้องพยายามที่จะสร้างสรรค์หลายบุคลิกภาพ และต้องไม่รู้สึกว่าบุคลิกภาพเหล่านั้นเหมือนตัวคุณเองมากไ "
พูดถึงความรัก
" ันยากสำหรับฉันอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าฉันจะอายุแค่ 16 โดยส่วนใหญ่แล้วฉันไม่ค่อยจะรู้สึกเหมือนอายุเท่านี้สักเท่าไร ฉันทำงานมากและอยู่แต่นอกเมือง ฉันจะได้เจอกับใครได้ถ้าคนคนนั้นไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้กัน ฉันจะได้เจอใครสักคนที่ธรรมดาได้อย่างไร ฉันไม่ได้เข้าโรงเรียนมัธยม มันค่อนข้างวุ่นวายอยู่ และถ้าฉันได้เจอกับใครสักคนทุกคนก็จะเริ่มพูดถึงมัน ว่ามันเป็นเรื่องถูกหรือว่าผิด มันมีความคิดเห็นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกมากมาย
คุณอยากจะมีเพื่อนชายสักคนบ้างไหม
"ตอนนี้ยังก่อน เพื่อนชายของฉันก็คืองานและรถของฉันเอง ก็แค่นั้นแหละสำหรับตอนนี้"
ดูเหมือนว่างานของคุณจะยุ่งมาก
"ค่ะ แน่นอน มีหลายงานเข้ามาทุกวันและเราก็ต้องเลือก ฉันจะพูดว่ารับและไม่รับ ฉันต้องต่อสู้กับงานที่อยากจะได้ และต้องตอบปฏิเสธกับงานที่ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับฉัน ฉันเองงานยุ่งเอามากๆ และบางทีฉันก็เหนื่อยเหลือเกิน ฉันเองยังเคยคิดว่าฉันทำอย่างนี้กับตัวเองไปทำไม แต่ฉันรักที่จะทำงานและมันก็เป็นการตัดสินใจของตัวฉันเองที่จะเสียสละเวลาว่างทำอะไรที่คิดว่ามันดีสำหรับตัวเอง และนั่นแหละฉันก็จะมีความสุขที่ได้ทำมันจะเสร็จ"
วันไหนเป็นวันล่าสุดที่คุณไม่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอะไรเลย
"น่าจะเป็นเมื่อสองปีครึ่งมาแล้วนะ คิดว่าอย่างนั้น"
แย่จังนะ
"ไม่หรอกนะ ฉันมีความสุข ฉันรู้สึกว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ฉันได้อะไรจากมันมากมายและได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก บางทีฉันอยากจะได้วันหยุดสักวันหนึ่งที่ฉันจะไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลย แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่เป็นวันหยุด เพราะคุณไม่สามารถจะออกไปทำหลายอย่างที่คุณอยากจะทำได้อย่าง เช่น ไปซื้อของอะไรทำนองนั้น"
แต่คุณก็ยังถูกโจมตีอยู่บ้างว่าเป็นแค่ขนมหวาน
"ฉันได้ฉายาว่าเป็นขนมหวาน ซึ่งมันก็ตลกดี ผู้คนจะพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด คุณทำให้ทุกคนมีความสุขไม่ได้ เมื่อพวกเขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับฉันในหนังสือนิตยสารฉันก็ต้องทำใจ ฉันเป็นคนเข้มแข็งและต้องผจญกับเรื่องราวอีกมากมาย คุณจะให้มันมากระทบคุณไม่ได้หรอก คนโน้นให้ความเห็นเกี่ยวกับคนนี้ที่เขาไม่ชอบแทนที่จะเก็บคำพูดไว้กับตัวเอง เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นปมด้อยและมันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นถ้าได้พูด"
คิดว่านี่เป็นผลมาจากที่คุณเติบโตมาในธุรกิจนี้หรือเปล่า
"ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น คนนั้นอ้วนไปคนนี้ผอมไป ทำไมพวกเขาต้องใส่รองเท้าแบบนี้กับชุดแบบนั้น ดูสีผมของพวกเขาสิ มันเหลวไหลสิ้นดี ใครจะไปสนขนาดนั้น ให้เขาเป็นตัวของตัวเองหรืออะไรที่พวกเขาอยากจะเป็น แม่ของฉันพยายามบอกความคิดนี้กับฉันตลอดเวลาว่าอย่าไปฟังอะไรที่ผู้คนพูดแล้วเอามาเป็นอารมณ์"
ทำไมคุณถึงเลือกทำให้งานให้กับ Kids with a Cause
"ฉันทำงานให้กับองค์กรการกุศลหลายที่ ฉันได้ช่วยมูลนิธิ The Make a Wish Foundation มาโดยตลอด โดยปกติแล้วฉันคิดว่างานการกุศลเป็นสิ่งที่ดีฉันจะเข้าไปในบางทีและช่วยทำงานกับพวกเขา ฉันได้ทำงานกับ Kids with a Cause มาแล้วหกปี มันเริ่มตั้งแต่มูลนิธิสำหรับเด็ก ออเดร์ย แฮปเบิร์น และเมื่อตอนที่ ออเดร์ย เสียชีวิตมันกลายเป็นงานเลี้ยงและงานกาล่าเสียมากกว่า
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิได้ทำงานร่วมกับออเดร์ยมาอย่างใกล้ชิด และเมื่อออเดร์ยเสียชีวิตเธอก็ได้มาตั้งองค์กรการกุศลชื่อว่า Kids with a Cause เป็นองค์กรที่ทำงานอย่างจริงจัง พวกเราไม่มีเงินทุนมากมายนัก แต่เมื่อเราเริ่มจะทำงานอะไรกันขึ้น ผู้คนก็จะจ่ายเงินกันมากมายที่จะมาพบปะและอยู่ด้วยกันกับพวกเรา และยังได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกหลายอย่าง
หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ของเงินเหล่านี้บริจาคให้กับโรงพยาบาล พวกเราไปเยี่ยมโรงพยาบาลและอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ อ่านหนังสือ สัมผัส เล่นและยังเต้นรำกับพวกเขา นี่แหละคือความต้องการที่แท้จริงของพวกเด็กๆ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะบริจาคเงินให้พวกเขา แต่มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราได้ให้เวลากับพวกเขาทำวันของเขาให้มีความสุขเหมือนที่เด็กปกติได้รับ และนี่คือสิ่งที่เกี่ยวกับ องค์กร Kids with a Cause
ผลงานเรื่องถัดไป
" ันมีหนังเรื่องหนึ่งที่กำลังจะเข้าฉายชื่อ Raise Your Voice ฉันไม่คิดว่ามันน่าจะเป็นชื่อของมันนะ แต่ว่าตอนนี้มันยังเป็นชื่อนี้อยู่ นักแสดงมี ริต้า วิลสัน, โอลิเวอร์ เจมส์, จอห์น คอร์เบท และ รีเบคก้า เดอ มอร์เนย์ และเป็นหนังแนวดราม่าอย่างจริงจัง จะเข้าฉายหลังจากเรื่องนี้ ฉันยังเพิ่งปิดกล้องเรื่อง The Perfect Man ที่เล่นคู่กับ ฮีทเตอร์ ล๊อคเคลียร์ และ คริสโตเฟอร์ โนธ์ จากนั้นฉันก็จะออกทัวร์คอนเสิร์ตสองเดือนช่วงซัมเมอร์นี้ และฉันยังจะต้องทำอัลบั้มของตัวเองที่จะออกตอนวันเกิดของฉั "
คุณรับบทเป็นอะไรในเรื่อง Raise Your Voice
" ันเล่นเป็นเด็กสาวที่เติบโตมาจากเมืองเล็กๆ และเธอก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลงและนักร้อง ครอบครัวของเธอเป็นประเภทหัวโบราณ และอยากให้เธอเข้าเรียนที่ลอสแอนเจลิสในระหว่างซัมเมอร์ เธอต้องดูแลพี่ชายที่อยู่ได้อีกไม่นาน และยังมีอุปสรรคต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมา "
อะไรที่ท้าทายมากกว่ากันระหว่างฉากตลกและฉากที่ต้องใช้อารมณ์
" ันชอบฉากที่ต้องใช้อารมณ์มากกว่า ถึงฉันเองจะมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ฉันไม่ค่อยมีเรื่องจากไหนให้เศร้า แต่มันก็สนุกและเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการพยายามทำให้ผู้คนหัวเราะ นั่นแหละยากจริง "
ฉากโรลเลอร์สเก็ต
" ั่นล่ะยากมา "
คุณได้ไปที่ร้านอาหารและพยายามเล่นโรลเลอร์สเก็ตจริงๆ เหรอ
" ปล่า เราถ่ายทำกันในฉากต่างหาก เราไม่เคยถ่ายทำจากร้านอาหารจริงๆ เลย แต่มันใช้เวลานานมาก ฉันอายุ 16 พวกเราโตมากับโรลเลอร์เบลด ไม่ใช่โรลเลอร์สเก็ต และเจ้าตัวสต๊อปเปอร์มันอยู่ที่หัวแม่เท้า เพราะงั้นถ้าคุณขยับไปข้างหน้านิดเดียวคุณก็จะล้ม ฉันล้มตั้งหลายหนและยังได้แผลเล็กแผลน้อยทั่วขาไปหมดเลย"