บทสัมภาษณ์ ว่าน กับการร่วมงานในภาพยนตร์ โอเคเบตง
บทสัมภาษณ์ ว่าน - ภูวฤทธิ์ พุ่มพวง ผู้ชายที่เข้าตาผู้กำกับอย่าง นนทรีย์ นิมิบุตร จนได้รับบท ธรรม ชายหนุ่มที่บวชพระมาทั้งชีวิต เผชิญโลก เรียนรู้ชีวิต และความรัก ร่วมกับ ยุ้ย - จีรนันท์ มะโนแจ่ม ในภาพยนตร์เรื่อง โอเคเบตง
เริ่มเข้าสู่วงการแสดงมาได้อย่างไร?
"ก่อนหน้านี้สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ผมเคยมีโอกาสสมัครประกวดโดมอน แล้วบังเอิญได้ตำแหน่ง ก็มีพี่มาชวนผมเข้าวงการ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็กลับไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ จนกระทั่งเรียนจบแล้วพี่ที่ทำงานโฆษณามาเจอผม ก็ชวนเข้าไปทำงานวงการโฆษณาใหม่ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเข้าสู่วงการเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ก็เริ่มจากงานโฆษณา ถ่ายแบบมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งได้เข้าไปประกวด เอ็กซ์แซก สตาร์เซิร์ส มีพี่คนหนึ่งแนะนำให้เข้าประกวด แต่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะประกวด ก็เลยไม่ได้ส่งประวัติไป เพราะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็ไปเที่ยวใต้กับเพื่อน พอกลับขึ้นมาอีกที เพื่อนก็บอกเขาเลื่อนการสมัครนะ พอเลื่อนสมัครปุ๊บผมก็มีโอกาสสมัคร แล้วก็เข้าประกวด จนกระทั่งติด 5 คนสุดท้าย ตรงนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของผม ทางเอ็กซ์แซกก็ให้โอกาสผมได้แสดงละครเรื่องแรก คือ รักในรอยแค้น หลังจากนั้นก็มีหนังติดต่อเข้ามา นอกจากเรื่อง โอเคเบตง แล้วก็มี โหมโรง อีกเรื่องหนึ่ง"
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เข้าวงการแสดง จากละคร มาถึงหนัง 2 เรื่อง?
"ยังมีคนบอกเลยว่า ผมก้าวเร็วมาก มาแสดงละครปุ๊บ แล้วก็มาเล่นหนัง และเป็นตัวเอก ซึ่งคนอื่นเวลาเข้ามา ก็ใช้เวลานานหลายปี ซึ่งผมเองก็ประหลาดใจและดีใจมาก เพราะว่าตัวเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน"
เข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องโอเคเบตงได้อย่างไร?
"ครั้งแรกทางทีมงานที่ติดต่อมาเขาให้มาแคสเป็นบทพระ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็มาลองแคสดูปกติเสร็จแล้วก็กลับบ้าน หลังจากนั้นทางทีมงานก็โทรแจ้งให้ทราบว่าเราแคสผ่านนะได้บทพระธรรม ให้มาลองอ่านบทดู พอมาอ่านบทเท่านั้นเอง อ้าว! ตัวละครตัวนี้เป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหมดเลย ทีแรกไม่คิดว่าเป็นตัวละครสำคัญเพราะตอนที่แคส เขาให้บทมาแค่เฉพาะซีนเดียว อ่านๆ เสร็จปุ๊บก็ทำไปตามอารมณ์ ผมก็ทำตามที่พี่ๆ ทีมงานแนะนำ ไม่คิดว่าได้เป็นตัวนำ เป็นบทที่สำคัญมากขนาดนี้
ตอนแรกผมก็คิดว่าผมจะทำได้เหรอ กลัวเป็นตัวถ่วงก็เลยต้องไปนั่งคุยกับพี่อุ๋ยว่าจะต้องทำอย่างไรให้อินกับคาแร็คเตอร์ พี่อุ๋ยก็บอกเลยว่า เขาต้องการให้เราเป็นพระจริงๆ เพราะในเรื่องต้องบวชตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนถึงอายุ 26 ปี มันต้องเป็นอะไรที่ดูกลมกลืนเหมือนจริงคือทุกอย่างต้องเป็นพระหมด ถึงแม้ว่าในหนังอาจจะมีช่วงที่เป็นพระอยู่แค่ต้นๆ เรื่องเท่านั้น หลังจากนั้นคุณจะค่อยๆ กลายมาเป็นคนธรรมดา มีนิสัย มีความรัก ความผูกพัน พอปรึกษาเขา พี่เขาก็บอกให้ผมไปเวิร์คช๊อพก่อน"
เวิร์คช๊อพ ต้องทำอะไรบ้าง?
"ไปเรียนกับครูเล็ก ภัทราวดี เขาก็สอนการแสดง การโต้ตอบ การแสดงอารมณ์ต่างๆ นอกจากนี้ก็ต้องไปอยู่กับพระจริงๆ ซึ่งตัวพี่อุ๋ยส่วนใหญ่ก็จะมีการคุยกันว่า ต้องทำแบบไหน ความรู้สึกของคาแร็คเตอร์ตัวนี้เป็นยังไง คือเขาจะให้ซึมคาแร็คเตอร์นี้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระธรรมต้องไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ ว่าความรู้สึกของเขาในช่วงนั้นเป็นยังไง ต้องไปเจอสิ่งแวดล้อมแบบนี้ เจอคนแบบนี้ พระธรรมเขาจะต้องคิดอย่างนี้นะ เขาจะค่อยๆปลูกฝังให้เรามีความคิดใกล้เคียงพระธรรมมากที่สุด"
มีความกังวลกับบทบาทที่ได้รับบ้างไหม?
"หลังจากที่ไปเวิร์คช๊อพมา ทำให้ผมมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง พอถึงเวลาเข้าฉากจริงๆจะทำอะไรดี ประหม่าไปหมด ยังไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่พี่อุ๋ยบอกไม่เป็นไร ช่วงแรกก็เป็นแบบนี้ อาจยังไม่อินกับคาแร็คเตอร์
หลังจากนั้นเริ่มแสดงค่อยเป็นค่อยไป ความอินคาแร็คเตอร์มันมาเอง เรื่อยๆ จนไปได้ 2-3 ซีน มั่นใจมากขึ้น เพราะแต่ละซีนพี่เขาไม่ปล่อยเลยนะครับ เขาก็กลับมาแนะว่า ควรจะเพิ่มอารมณ์ตรงนี้นะ ตรงนั้นนะ แล้วพี่เขาก็จะเล่าถึงเหตุการณ์ในซีนนั้นเป็นอย่างไร อาจจะช่วงแรกๆ ที่พี่อุ๋ยจะต้องเสียเวลากับว่านหน่อย เพราะว่าต้องบอกว่าในซีนนี้มีคาแร็คเตอร์เป็นอย่างไร อารมณ์เขาเป็นอย่างไร ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นในแต่ละซีน พอหลังๆ ก็สบาย"
บทบาทที่ได้รับใน โอเคเบตง และ โหมโรง เป็นอย่างไรบ้าง?
"ใน โอเคเบตง ผมรับบทเป็น พระธรรม จะนิ่งๆ เพราะตัวละครตัวนี้เป็นพระซึ่งบวชมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ถึงอายุเกือบ 30 ปี แล้วก็ต้องสึกออกมาเพื่อมาดูแลหลานสาวคนเดียวแทนพี่สาวที่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนที่ไม่บรรลุทางโลกเลย ไม่เคยพบเห็นทางโลกมาก่อน พอต้องออกมาอยู่ในโลกที่ศิวิไลซ์ทำอะไรก็เหมือนเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไปหมด ต้องให้ มารีอา หลานสาว (รับบทโดย ด.ญ.สรัญญ่า เครื่องสาย) และ นลิน (รับบทโดย จีรนันท์ มะโนแจ่ม) คอยสอนคอยบอก
ส่วนเรื่อง โหมโรง ผมแสดงเป็น เทิด เป็นตัวละครในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่คอยมาช่วยเหลือท่านครู พ่อของเทิดซึ่งเป็นเพื่อนสนิทนำเชิดมาฝากไว้กับท่านครู ทำให้เทิดได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยตั้งแต่สมัยของท่านครูจนถึงจบรัชกาลที่ 7"
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับผู้กำกับ นนทรีย์ นิมิบุตร?
"ผมยังไม่เคยทำงานเกี่ยวกับหนังมาก่อน ก็เลยไม่ค่อยรู้จักว่าคนไหนเป็นผู้กำกับหนัง ผมรู้แค่ว่าต้องมาทำงานกับผู้กำกับคนนี้ๆ แต่พอได้มาร่วมงานด้วยก็เกิดความผูกพันประทับใจ คงเป็นเพราะว่าต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันประมาณ 3-4 เดือน ตั้งแต่เวิร์คช๊อพ
พี่อุ๋ยเป็นคนที่มีความตั้งใจในการทำงานมาก มีความละเอียดอย่างซีนหนึ่งที่พระธรรมเริ่มเจอกับโลกภายนอก รายละเอียดเล็กๆ น้อยอย่างหนังสือพิมพ์ที่วางบนโต๊ะ พี่อุ๋ยก็จะคัดหนังสือพิมพ์ที่มีรูปของชายหญิงเป็นคู่กัน หรือนิตยสารอย่างคู่สร้างคู่สมที่มาประกอบในฉาก ซึ่งในความคิดผม มันไม่จำเป็นก็ได้หนังสือพิมพ์บนโต๊ะใครจะไปเห็น แต่พี่อุ๋ยบอกว่าถ้าใครดูและใครเห็น มันจะสื่อได้ว่าตรงข้ามกับของพระธรรม
พี่ๆ ทีมงาน แสง กล้อง ทุกอย่างทุกคนตั้งใจ ตื่นแต่เช้า การทำหนังต้องตั้งใจขนาดนี้ละเอียดกันขนาดนี้ ถ้าผมไม่ตั้งใจก็คงไม่ได้ เวลาที่ถ่ายกันแต่ละซีนเสร็จปุ๊บ ก็จะมานั่งคุยในแต่ละวัน มาประชุมว่าทำอย่างไร ต้องมาบล็อคช็อตกันก่อนว่าซีนนี้เป็นอย่างไร แล้วซีนที่ผ่านมาดีมั้ย ผมประทับใจในสิ่งเหล่านี้มาก"
ไปถ่ายทำถึง อ.เบตง กว่า 90 % ของเรื่อง เป็นอย่างไรบ้าง?
"ยากลำบากมาก ตั้งแต่การเดินทางเลย นั่งเครื่องไปก็ลำบาก กองถ่ายต้องยกไปถึงที่อ.เบตง เพราะหนังเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่พระธรรมเริ่มเดินทาง เริ่มแรกเลยจากวัดป่าในภาคอีสานจนไปถึงเบตงใหม่ๆ ซึ่งบรรยากาศตอนที่ไปถ่ายทำก็ต้องนั่งรถตู้ผ่านป่าเขาลำเนาไพร สุดแสนสาหัสกว่าจะไปถึงเบตง"
นอกจากผู้กำกับ ยังมีองค์ประกอบอะไรอีกที่ทำให้เข้าถึงตัวละคร?
"องค์ประกอบที่ทำให้รู้สึกร่วมไปกับตัวละครด้วย ก็ไปถ่ายสถานที่จริงที่อำเภอเบตง แค่ไปถึงก็สัมผัสได้แล้วว่า อยู่ที่เบตง บรรยากาศทุกอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะไปถ่ายมุมไหน นี่ก็คือเบตง อย่างเสื้อผ้าก็เหมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นจีวร ซึ่งจริงๆ แล้วพระใช้มานานก็ต้องเก่า พี่เขาก็ต้องให้เก่าจริงๆ พอผมห่มครั้งแรก เออ ทำไมสบายนะ
ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นในส่วนของนักแสดงที่แสดงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สรัญญ่า เครื่องสาย ที่รับบทเป็นมารีอา หลานสาว และ ยุ้ย - จีระนันท์ มะโนแจ่ม ที่แสดงเป็นหลิน 2 คนนี้จะมาคลุกคลีกับว่านตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ ตอนแรกผมคิดว่าการแสดงกับเด็กเล็กๆ เนี่ย เวลาที่ผมท่องบทมาน้องเขาต้องท่องไม่ได้แน่ๆ แต่พอถึงเวลาแล้วน้องเขาเก่งมาก น้องเขาหันมาแล้วพูดว่า " ้าธรรมตอนนี้มารีอาคิดถึงแม่จังเล " ซึ่งแม้แต่น้ำเสียงสีหน้า ผมตกใจเลยแล้วเชื่อว่าน้องเขาคิดถึงแม่จริงๆ ทำให้ผมเออส่งอารมณ์กลับไปได้
ตัวละครสำคัญอย่างหลิน รับบทโดย ยุ้ย-จีระนันท์ มะโนแจ่ม ผมเคยรู้จักกับน้องเขามาก่อน ซึ่งตอนนั้นน้องเขายังไม่เข้าวงการ ทำให้เวลาร่วมงาน เวลาคุยอะไรก็ง่ายขึ้น น้องเขาเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นคนที่แสดงแล้วรับส่งอารมณ์ได้ดีมาก เช่น ซีนในถ้ำ พอพี่อุ๋ยสั่ง ยุ้ยครับ เดี๋ยวซีนนี้เป็นซีนอารมณ์ครับ ยุ้ยเขาก็หันหน้าไปทางอื่น พอพี่อุ๋ยเขาสั่งแอ๊คชั่น ปุ๊บ ! ยุ้ยหันมาน้ำตาหยดติ๋ง ทุกคนในกองเงียบ ผมเชื่อเลยน้องยุ้ยเขามีความสามารถมากๆ เหมือนออกมาจากข้างในจริงๆ
มีความประทับใจกับการถ่ายทำ โอเคเบตง?
" ถานที่ ซึ่งครั้งแรกในความรู้สึกของผมไม่ประทับใจแน่เลยเบตง ภาคใต้เอย คนใต้เอยดุ โอ้โห้ เบตงใครจะไปดู ต้องนั่งรถตู้ผ่านป่าเขาลำเนาไพรคดเคี้ยว ทุกคนเมารถหมด แต่พอไปถึงแล้วไม่ใช่เลย กลายเป็นเมืองที่เป็นตึกที่เป็นบ้านของผู้คน เป็นเมืองย่อมๆ ทุกส่วนเจริญหมดเลย แล้วผมประทับใจตรงที่เป็นเมืองที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย สนามกีฬาของเขา ฟิตเนสของเขา ซาวด์น่าของเขา โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย
คนเบตงตื่นเช้ามาตั้งแต่ตี 5 เพื่อเข้าไปเต้นแอโรบิคเป็น 100 คน มีรำมวยจีน ตื่นเช้ามาบรรยากาศเย็นสบายเป็นเสมือนเมือง 3 หมอกย่อมๆ ในภาคใต้ และการท่องเที่ยวทุกอย่างเขาดีหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะนิสัยใจคอของคนที่โน่น ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับการกับทีมงานดีมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือถ่ายทำที่ไหนเขาเต็มใจเต็มที่ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นทางราชการหรือเอกชน ผู้คนหรือชาวบ้านที่โน่น อาหารก็อร่อย อย่างไก่เบตง ที่นี่จะไม่เหมือนที่อื่น คือที่นี่หนังจะกรอบข้างในจะนุ่มมาก ประทับใจจริง "
ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ตรงไหน?
" ีวิตของคนๆ หนึ่งจากที่ไม่เคยได้รับรู้เรื่องประสบการณ์เรื่องทางโลกมาก่อน แล้วต้องมาเจอสิ่งต่างๆ เป็นจุดที่น่าสนใจว่าเขาจะไปได้อย่างไร"