วิจารณ์ The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2
-
iamคนติดหนัง
(เลขที่ 155368)
เมื่อ 5 มี.ค. 56 17:23
The Twilight Saga Breaking Dawn Part 2
ถือว่าเป็นไตรภาคสุดท้ายแห่งมหากาพย์ของทไวไลท์เลยทีเดียว
ตัวหนังหักมุมดี ตลกมาก ซึ้งมาก น่าลุ้นมาก มันส์ ฮา สะใจมาก ระทึกสุดขีด
จนน้ำตาเล็ดเลยครับ ตอนหนังจบ ฟังเพลงของเรื่องเพราะมากมาก ชอบมากมาก
ไม่เสียดายสะตังเลยล่ะครับ
ไปตีตั๋วเมื่อ 16 พ.ย.55 ที่ Major Fashion รอบเวลา 17.50 น. โรง Digital ด้วยนะ
ราคา 120 บาท บัตรส่วนลด MovieReward
คุ้มค่ามากจริงจริงเลยครับ -
ครูซ
(เลขที่ 338988)
เมื่อ 31 ธ.ค. 55 22:12
แวมไพร์ทไวไลต์ ตำนานรักทะลุคอ เอ๊ย ไม่ใช่
บอกตรงๆว่าหนังสนุกครับ แต่ถ้ามองไปในด้านซีเรียสแล้ว
หนังเรื่องนี้ห่วยกว่า 4 ภาคที่ผ่านมาครับ #ความคิดส่วนตัวนะจ๊ะ#
คือแค่พล๊อตเรื่องก็งั้นๆครับ ไม่แปลกมาก นักแสดงก็ดีอยู่ครับ โดยเฉพาะอาโร XD
แต่เขาบอกกันว่า ทไวไลต์ ต้องเป็นหนังรักซึ้งๆ โรแมนติกไหง ภาคนี้สู้กันซะงั้น
แต่ถ้าลองคิดดู หนังอุตสาห์มีไอ้อาโรหล่ะ จะให้พวกมันมีบทแค่ ภาค 2 ภาคเดียวไม่ได้!!
เลยเอามาเป็นตัวร้ายซะเลย แล้วสาเหตุที่จะไปล่าตระกูลคัลเลนก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเนอะ
แค่เด็กคนเดียว ไม่สิ แค่การไปฟ้องของไอ้....จำชือ่ไม่ได้ แค่นั้นเอง เป็นเรื่องของภาค 4.2 หล่ะ 5555
และตัวละครคุณจะเอามาเยอะไปหนายยยยย จำใครแทบไม่ได้ จำได้คนเดียวคือ "เบนจามิน" xD
หละก็ที่แวมไพร์ทุกคนจะมีพลังวิเศษอันนั้ก็เวอร์เกินครับ แต่มันเป็นส่วนที่ทำให้หนังมันสนุกขึ้น
และก็ตอนจบนี่คือ "ตำนานครับ" xD "แค่คิดชีวิตก็เปลี่ยน"
เอาหล่ะให้คะแนนดีกว่า อันนี้ความคิดส่วนตัวนะครับ
ข้อดี
+หนังสนุกใช้ได้ครับ
+ฉาก Sex สมจริงและสนุกที่สุดใน 5 ภาค!!!
+เพลงประกอบเพราะได้โล่ครับ ฟังแ้ล้วติดเลย
+การหักมุมของเรื่องนี้ เป็นตำนานไปเลยครับ
+มีฉากฮาหลายฮาครับ (ฮาพากย์ไทยนะครับ ข้อนี้ยกออกครับ)
ข้อเสีย
-อืดบางตอนครับ
-ตัวละครเยอะเกินนนน
-แทบไม่มีความโรแมนติกครับ
-จบได้ จืดมาก
-จุดเริ่มต้นก็จืดครับ
สรุปครับ 6/10 ครับ ปิดตำนานได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่สนุกจริงๆครับ -
knightwing
(เลขที่ 332091)
เมื่อ 10 ธ.ค. 55 12:37
การพากย์ไทยของหนังให้ความรู้สึกของหนังที่พยามยามสื่ออกมาให้ตลกเกินไปนะผมว่า ซึ่งหนังที่จริงก็ไม่ตลกอย่างที่พากย์ไทยขนาดนั้นอย่างที่ทีมพากย์เขาภาคกัน
-
kharlottie
(เลขที่ 294249)
เมื่อ 28 พ.ย. 55 17:05
### ฉบับสั้น ### (ความคิดเห็นส่วนบุคคล)
ให้ดูซาวแทร็คค่ะ เพราะพากย์ตลกเกินจำเป็น เรื่องอืด CGIเฟค ตัวละครเปลือง หลายตอนไม่สมเหตุสมผล และฉากจบ(ของการต่อสู้)เป็นจุดที่ทำให้หนังน่าผิดหวัง และตอนจบของหนังจริงๆจบแบบนอกเรื่อง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
### ฉบับเต็ม ### (ความคิดเห็นส่วนบุคคล)
ดูซาวน์แทร็คค่ะ แนะนำให้ดูแล้วจะรู้ว่าไม่ได้ตลก(มาก)และดี(มาก)อย่างที่ใครหลายคนไซโคกันไว้ เพราะจริงๆแล้วหนังไม่ได้ตลกมาก แต่ทีมพากย์ใส่เสริมกันมากเกินเหตุ ทำให้หนังดูตลกเกินความจำเป็น เป็นการทำลายอารมณ์ของตัวหนังดั้งเดิม ที่ดูดราม่านิดๆ อบอุ่นหน่อยๆ หวานซึ้งบ้าง
การดำเนินเรื่องค่อนข้างเอื่อย เพราะเป็นการหั่นครึ่งของหนังสือเล่มสุดท้าย เพราะเนื้อหาส่วนหนึ่งอยู่ที่พาร์ท 1 แล้ว ทั้งเรื่องของพาร์ท 2 เลยดูหลวมๆเหมือนเป็นการยืดให้ครบเวลา (โดยเฉพาะช่วงไปเรียกรวมพล)
==Character's Role==
ตัวละครพาร์ทนี้เยอะมาก จนกระจายความสำคัญไม่ทั่วถึง มากเกินความจำเป็น ตัวละครพาร์ทนี้หลายตัวมีความสามารถมาก แต่เอาเข้าจริงกลับไม่แสดงฤทธิ์เลยในจากแอ็คชั่นช่วงท้าย ทำให้ช่วงที่พาไปรู้จักกับตัวละครแต่ละตัว เป็นการโชว์พาวให้ดูเฉยๆ แต่ไร้ประโยชน์ภายหนัง และพวกโวลตูรี่ถือเป็นแวมไพร์ที่ค่อนข้างมีอำนาจและเป็นที่เกรงกลัวของแวมไพร์ตนอื่นๆมาตั้งแต่แรกเริมเรื่อง แต่ไหงกลับถูกฆ่าได้ง่ายๆเมื่อสู้กับแวมไพร์ทั่วไปที่อยู่ใต้อาณัติตน(จากฉากในความคิด) รวมทั้งอลิซที่ความสามารถ(ในการหยั่งรู้)ของเธอมันประหลาดตั้งแต่แรกแล้ว(ความสามารถแบบไม่สมจริง) สิ่งเหล่านี้ทำให้หนังไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่(สำหรับเรา) แต่หลายคนไม่ใส่ใจ ดูแค่ผ่านๆ ก็อาจไม่รู้สึกทะแม่งอะไร
มิติความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่หลวมหรือแปลกๆ ทั้งระหว่างเบลล่าและเรเนสเม่ที่ดูไม่เหมือนคู่แม่ลูกที่รักและหวงกัน(แบบสุดๆ)เท่าไหร่ อ้อ เรเนสเม่กับความสามารถการสื่อสาร ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เจคอบและเรเนสเม่ที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลยให้เห็น รับรู้แค่ว่าเป็นคู่ชีวิต ไม่เห็นความลึกซึ้งมากพอที่จะทำให้เชื่อได้สนิทใจ
==CGI==
CGI ที่ดูเฟคสุดๆ ต้องบอกแบบนั้นจริงๆ โดยเฉพาะฉากเรเนสเม่ตอนทารก หลอกตามากจนรับไม่ได้จริงๆไม่รู้ว่าปล่อยให้หลุดมาได้ไง เหมือนไม่ใช่มืออาชีพ และฉากเรเนสเม่ตอนโตเป็นสาวซบไหล่เจคอบที่เฟคจนแบบต้องอ้าปากค้าง สัดส่วนใบหน้าไม่เหมือนคนเลย ผิดสัดส่วน ยอมรับว่าหนูแมคเคนซี่น่ารัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าสวยเกินกว่าจะหาสาวอื่นมาเล่นเป็นตอนโตแทนกันไม่ได้ ตอนเบลล่าวิ่งในป่ากะเอ็ดเวิร์ดด้วย ดูก็รู้ว่าวิ่งกันบนแท่นวิ่งแล้วใส่ฉากป่าเอา มันเฟคไป ภาพไม่สวยเลย
==Score Soundtack==
สกอร์ซาวน์แทร็คโดย Carter Burwell เพราะจับใจตามปกติ จริงๆคิดว่าสกอร์ดีเกินกว่าที่จะใช้ประกอบหนังชุดนี้ เพราะอารมณ์ธีมสกอร์มันหวานซึ้งแบบดาร์ก โกธิค หดหู่ ลึกลับ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย เพราะเรื่องนี้ออกจะรักหวานซึ้งในห้วงฝัน ไม่ควรที่สกอร์จะดาร์กขนาดนั้น
==Ending==
และตอนจบที่เป็นที่พูดถึงของใครหลายคน ที่บอกว่าดีมาก ตลกสุดๆ พลิกความคาดหมาย และทำให้ทไวไลท์ภาคนี้ดีกว่าภาคไหนๆตามความคิดเห็นเราแล้ว เราคิดว่าภาคนี้ค่อนข้างดีจริงๆนะ ยิ่งพอถึงช่วงท้าย การต่อสู้ระหว่างฝ่ายพระนางกับฝ่ายโวลตูรี่ มันดราม่าดี พลิกความคาดหมาย จนเราคิดไปว่า เฮ้ย ดีจริงนี่นา เพราะมีตัวละครสำคัญต้องสละชีวิตไป (คาร์ไลล์, แจสเปอร์) แต่เรื่องฉากสู้คิดว่าไม่มันส์เท่าไหร่ แต่ละคนวิ่งเข้าใส่กันธรรมดาๆ และที่คิดไว้ว่าจะเห็นพลังวิเศษจากเหล่าเพื่อนฝูงที่ไปเรียกรวมพลมาก็ไม่เห็นเลย(แค่ตอนเดียวที่ทุบแผ่นดินแยก และเอ่อ..ทุบไม่ลึกมากนี่? แล้วลาวามาจากไหน ทุบลึกขนาดนั้น ไม่มีผลกระทบกับโลกเลย? แล้วผู้คนในเมืองไม่ต้องแตกตื่นเหรอ ในฉากต่อสู้โฟกัสกันอยู่ที่สนามสู้โดยลืมความเป็นจริงไป แต่คนดูไม่ทันคิดไง) แต่ยอมรับว่าฉากสู้นี่ดึงความสนใจจากเราได้มาก เพราะลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะหลายคนเริ่มล้มตาย ฝ่ายพระนางเสียเปรียบ แต่แล้วฝ่ายโวตูรี่ก็ดันถูกฆ่าเอาคืนได้ง่ายๆ และตายอย่างน่าอนาถ(เจน) ทั้งที่ทั้งเรื่องปูไว้ให้แข็งแกร่งทรงอำนาจ(จุดพวกนี้อาจจะอ่อนที่หนังสือด้วยรึเปล่า?) ฝ่ายพระนางกลับพลิกได้เปรียบทั้งที่เป็นแค่แวมไพร์ธรรมดา ไม่ได้มีทริคในการสู้อะไรเลยด้วย แต่กลับเก่งขึ้นมาเสียเฉยๆ (ถ้าเก่งแบบนั้นน่าจะแข็งข้อตั้งนานแล้ว)
พาลคิดไปว่าอาจมีหลายตัวที่ต้องตายอีก สุดท้ายตัดไปทุกอย่างที่ว่ามาเป็นแค่การทำนายที่มีแค่อลิซและอาโรที่รู้ นี่คือจุดพลิกที่ทุกคนว่าดีสินะ แต่เราว่านี่คือจุดเสียที่น่าเสียดายของภาคนี้เลย และโทษใครไม่ได้เพราะนิยายมันมาเป็นแบบนี้ ฉะนั้นต้องบอกเมเยอร์แล้วว่า "น่าเสียดายมาก" เพราะถ้าจบแบบตัวละครสำคัญตาย แบบด้วยการสูญเสียคงทำให้หนังเรื่องนี้ดูดีขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ก็หนังรักนี่ ต้องแฮปปี้เอ็นดิ้งสินะ ส่วนตัวคิดว่าน่าเสียดาย ถ้าจบแบบดราม่าสูญเสียเราจะชอบภาคนี้ขึ้นมาก คงเป็นเพราะเมเยอร์อยากให้เรื่องนี้แฮปปี้แบบดูดี จึงดึงความดราม่าแบบสูญเสียมาใช้แล้วหักมุมเอาที่ว่าเป็นเพียงความคิด เพราะคงไม่กล้าขัดใจแฟนคลับ เมเยอร์ไม่กล้าพอที่จะจบเรื่องด้วยดราม่าสูญเสียล่ะนะ
จุดจบของหนังแบบนี้ที่เราเคยดูก่อนหน้ามีอยู่เรื่องนึง ถ้าทุกคนเคยดูจะรู้ "Prince of Persia" ที่ตอนจบเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤติมาก พระเอกตัดสินใจปล่อยทรายย้อนเวลากลับไปที่เกือบจะเป็นจุดเริ่มเรื่องของหนัง ซึ่งเราแทบอึ้ง เพราะเป็นการย้อนกลับไปใหม่ เท่ากับว่าที่เราดูมาทั้งหมดทั้งเรื่อง อันตธานหายไปแล้ว ถือว่ากล้ามาก แม้จะขัดใจเรา เพราะเสียดายช่วงที่พระนางรักกันและหลายๆเหตุการณ์ แต่ถือว่ากล้าอ่ะ เราเลยประทับใจ เพราะฉะนั้นตอนดูทไวไลท์ภาคนี้เราจึงไม่ตกใจกับการพลิกแบบนั้น และกลับรู้สึกแย่แทน เพราะทุกคน(คนเขียน, แฟนคลับ, คนดูทั่วไป)กลับไม่กล้าพอที่จะรับเรื่องร้ายๆถ้ามันจะเกิดขึ้นจริง ทุกคนอาจไม่ชอบทไวไลท์ภาคนี้เลยก็เป็นได้ แต่เรากลับเห็นว่ามันดีกว่าถ้าจะจบแบบนั้น การพลิกเรื่องของ "Prince of Persia" ทำให้เราอึ้งในความกล้าและประทับใจแม้ออกจะขัดใจ ส่วนการพลิกเรื่องของ "Breaking Down part2" ทำให้เราเซ็งที่เรื่องกลับมาจบแบบสไตล์หนังรักง่ายๆพื้นๆ ทั้งที่มีโอกาสจะจบแบบ epic (ยิ่งใหญ่) หน่อย
ปล. ตอนจบนอกเรื่องมาก ไม่ใช่การ์ตูนดิสนีย์นะ จบแบบปิดหนังสือ เรื่องทั้งหมดเป็นนิยาย ทั้งที่ภาคแรกไม่ได้มีฉากเปิดหนังสือเลย เป็นอะไรที่... ใครคิดนะตอนจบแบบนี้ คิดได้ยังไง
C- -
directorcut
(เลขที่ 180093)
เมื่อ 27 พ.ย. 55 06:50
หลายคนชอบวิจารณ์ยาวๆ บอกตรงๆ ไม่เคยอ่านเลย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการเสียเวลา ถ้าอยากดูหนังก็ไปดู อ่านเฉพาะคนเขียนสั้นๆ ว่าหนังดี หรือ ไม่ดี หนังสนุก หรือ แย่ แล้วค่อยนำมาใช้ประกอบอีกทีว่าจะเลือกดูโรงหรือดูแผ่น ต้องเลือกหน่อย ค่าตั๋วไม่ใช่ถูกๆ
-
Watchmen_Since_1985
(เลขที่ 296622)
เมื่อ 26 พ.ย. 55 19:31
X-Men Breaking Dawn Part 2 เอ้ยไม่ใช่ๆ The Twilight Saga: Breaking Dawn Part 2
ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ตามติดชีวิตของหนังชุดนี้ตั้งแต่ภาคแรก เรื่อยมาจนถึง Breaking Dawn Part 1 แม้ว่าหนังจะถูกสับ ถูกด่าแค่ไหน(และบ่อยครั้งผมเองก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น) การมาถึงบทสรุปของ Breaking Dawn Part 2 ผมอดคิดไม่ได้ว่าหนังจะได้รับการยอมรับมากน้อยแค่ไหน และลึกๆแล้วผมเองก็คาดหวังให้มันได้รับคำชม อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่ง เกินครึ่งก็ยังดี
และความฝันของผมก็สลายลงไป พร้อมๆกับการไร้ซึ่งการคาดหวัีงใดๆ เมื่อหนังเปิดตัวมาด้วยคำดี! จากนักวิจารณ์ และคนทำหนัง ที่ยังคงพร้อมใจกันซื้อตั๋วเข้าไปดูและออกมาให้ความเห็นกันอย่างสนุกปาก จนผมอดนึกไม่ได้ว่าพวกเค้าจะจองล้าง จองพลาญหนังไปถึงไหน เพราะอย่างภาคแรกผมเองก็มีความชอบในตัวหนังและในภาคถัดมาอย่าง The Twilight Saga: New Moon นั้นผมยิ่งหลงรัก และมันกลายเป็นภาคที่ผมชอบที่สุดในบรรดาหนังชุด Twilight (แม้ว่า New Moon จะเป็นภาคที่ขึ้นหิ้งว่าแย่ที่สุด) สิ่งแรกที่ทำให้ผมชอบ New Moon คือความกล้าของหนังที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรัก(ความสับสน)ของ Bella ที่ถูกตีตราว่าเป็นางวันทอง ฉบับอินเตอร์ แต่ผมกลับคิดว่า New Moon ให้นิยามของความรักไว้ได้ดีทีเดียว การจากไปของ Edward เพื่อความปลอดภัยของคนที่ตนรัก การเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนของ Bella การพยายามทุ่มเทรักให้คนที่แอบรักของ Jacob ที่ไม่ได้สิ่งใดคืนมา ก่อนที่ Bella จะออกตามหารักแรกและรักสุดท้ายของชายที่เธอรัก รวมไปถึงหลายๆฉากที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บจริงอะไรจริง ในฉากบอกเลิกของ Edward ในป่าสน ฝันร้ายของ Bella การเห็นภาพของคนที่รักอยู่ข้างๆ ฉากที่ Bella นั่งในห้องแล้ววันเวลาๆค่อยเปลี่ยนผันฤดูกาล ผมคิดว่าภาค New Moon นี้ล่ะ ที่ติดใจผมมากที่สุด อาจเป็นเพราะช่วงที่หนังเข้าฉาย ผมอยู่ในอาการนั้นพอดีด้วยมั้ง
กลับเข้ามาที่ Breaking Dawn Part 2 ในฉากจบของ Part 1 นั้น ทิ้งไว้ในฉากการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของ Bella มาใน Part 2 หนังไม่พูดพร่ำ ทำรำวง หนังเริ่มต้นจากสิ่งที่ทิ้งไว้ แล้วเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ราวกับติดจรวด และหนังไป ข้างหน้าเรื่อยๆ เรื่องราวของหนังนั้นผมอดคิดไม่ได้ว่าทำไมทิศทางหนังมันเปลี่ยน เปลี่ยนจนแทบจะไม่หลงเหลือความเป็นทไวไลท์ ยิ่งหนังไม่ได้เปิดฉากด้วยเสียงกัดฟันของ Bella ด้วยแล้ว ยิ่งให้ความรู้สึก อกสั่น หวั่นไหว มาหนังจะมายังไง หนังเปลี่ยนจากมุมมองความรัก คน แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า (นึกๆดูแล้วก็ฮา แบบว่า คุณพี่ Bella ทำไมชอบอะไรที่มันแปลกๆ) มาเป็นการปกป้องลูกที่โตไวซะเหลือเกิน รวมไปถึงการโชว์ความสามารถพิเศษของเหล่าแวมไพร์ที่มาแบบแนวแฟนตาซีเหนือจริง คือแบบว่า โรงเรียนเอ็กซ์เซเวียร์สำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์มีหลบไม่ทัน หนังพาคนดูไปตามหาแวมไพร์จากทั่วทุกมุมโลก กว่าสองทีมฟุตบอล ใช่ครับจำนวนเยอะแบบนั้นเลย ในใจผมแอบคิดว่า โห ตัวละครเยอะแบบนี้จะจัดการยังไงไหว แน่นอนครับ ตัวละครเหล่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นวอล์เปเปอร์ประกอบหนัง ส่วนตัวละครหน้าเดิมๆอย่างเพื่อนๆของ Bella ก็หายเข้ากลีบเมฆไปไหนหมดไม่รู้ ฝูงหมาป่าก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน? หนังใช้ตัวละครได้เปลืองมากจริิงๆ หรือตัวละครหน้าใหม่(ที่น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้)น้องหนู Renesmee ก็ช่างดูไร้มิติ สามารถนับคำพูดในหนังได้เลย ที่เห็นขัดใจสุดๆคือ ความสามารถของ Bella ที่ดูเหมือนว่าจะมีแต่ข้อดีเมื่อได้เปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ประมาณว่าถ้ามันดีแบบนี้ ทำไมไม่เปลี่ยนๆไปซะตั้งแต่แรกจะได้จบๆกันไป และอีกอย่างหนึ่งคือในภาคนี้ความหวานลดน้อยลง ทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายๆด้วยคำพูดไม่กี่คำ เช่นฉากที่ Bella อาละวาดให้ Jacob ก็จบลงด้วยไม่กี่คำพูด และการที่ Jacob ไปเฉลยความจริงกับพ่อของ Bella ก็ง่ายๆ ไม่ส่งผลใดๆต่อเนื้อเรื่องทั้งนั้น พวกโวลตูรี่เองก็ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด ใน New Moon ผมว่าพวกนี้ยังดูน่ากลัวกว่าอีก(ทั้งๆที่คนเดิม หนังเรื่องเดิม นะเนี่ย)แต่ตัวร้ายเหล่านี้กลับมาในแนวตลกร้าย โดยเฉพาะหัวหน้าทีมอย่าง Michael Sheen ที่ร้าย(กวน)ได้ใจ อีกส่วนหนึ่งที่น่าเสียดายคือในฉากแอ็คชั่นช่วงท้ายที่ดูสนุก(ในระดับหนึ่ง)นั้น ไม่เห็นหน้าหล่อๆของ Jacob เลย ซ้ำร้ายยังให้คุณน้องหนู Renesmee ควบขี่หลังอีกตะหาก (อันนี้เป็นตัวแทนให้กับทีม Jacob) อีกอย่างหนึ่งที่ผมสงสัยคือ คุณว่ามันแปลกๆไหมที่ Jacob ตกหลุมรักลูกสาวของ Bella แม้หนังจะให้เหตุผลสั้นๆว่า การผูกจิต หรืออะไรสักอย่าง ผมมองว่ามันเป็นการแถ มากกว่า ผมรับไม่ได้จริงๆ ณ จุดนี้ ที่ไม่พูดคงเป็นไปไม่ได้คือ การหักมุม(หรือเปล่า) มันเป็นการหักมุมืั้ร้ายกาจมาก เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ใหญ่มากจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมชอบไหมที่ให้มันเป็นแบบนั้น เอาเป็นว่า ณ จุดนี้แล้วแต่ว่าใครจะคิดยังไง รวมไปถึงงานของ CGI ที่ดูหลอกตามากไปหน่อย ยิ่งในช่วงต้นเรื่องที่ Renesmee เป็น CGI นั้นดูน่ากลัวพิลึก
ส่วนตัวดู Twilight มีทั้งชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ปะปน คละเค้ลากันไป แต่ในส่วนที่ชอบเสมอมาตั้งแต่ภาคแรก คือ Soundtrack และ Score ของหนัง ชอบมากจริงๆ แต่สำหรับภาค Breaking Dawn Part 2 นี้หดหายชอบแค่เพียง Soundtrack สำหรับ Score นั้นเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกถึงความมืดหม่น เหมือนภาคก่อนๆหน้า ยิ่งฉากแอ็คชั่นช่วงท้ายที่ส่วนตัวรู้สึกว่า เล่นมากไปด้วยซ้ำ เพลงใน Part 2 นี้ไล่เรียงกันมา Where I Come From,Bittersweet,The Forgotten,Fire in the Water,Everything and Nothing,Everything and Nothing,The Antidote,Speak Up,Heart of Stone,Cover Your Tracks,Ghosts,All I've Ever Needed,New for You แต่ที่ชอบมากที่สุดคือการเปลี่ยนเนื้อเพลง A Thousand Years และมี Steve Kazee ร่วมร้องด้วยนั้นเพราะกว่าเดิม(ในความคิดผม) อีกอย่างที่ชอบคือ นักแสดง ผมรู้สึกว่าภาคนี้หลายคนมีการพัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะสาว Kristen Stewart ที่ดูสวยขึ้น รู้จักการบริหารเสน่ห์เพิ่มมากขึ้น Robert Pattinson จากเดิมที่อาจเคยถูกมองว่าเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าหน้าตาที่ดี(ผมขอใช้คำว่า ดีมากกกกกกกกก) ได้พิสูจน์การแสดงของเขามาแล้วใน Cosmopolis สำหรับ Taylor Lautner นั้นผมไม่มีปัญหากับการจ้องมองซิคแพค เอ้ย การแสดงของพี่เค้าเลย พี่เค้าหล่อเนียน มีเสน่ห์ และภาพที่ผมจดจำคือบทบาทหนุ่มหาลัยในเรื่อง Valentine's Day
โดยรวมๆแล้ว ผมคิดว่านี้คือ Twilight ภาคที่ดูสนุกที่สุด(หนังจบเร็วมาก ทั้งๆที่ เวลาก็เกือบๆ 2 ชั่วโมง) แต่กลับเป็น X-Men เอ้ย Twilight ที่ไม่หมือน Twilight เลยแหะ - -'
7/10
***ผมไม่เคยอ่านหนังสือครับ เคยลองอ่านแล้วแต่มันอ่านไม่จบจริงๆ 55+ เลยขอถอยออกมาเป็นแค่แฟนหนังก็พอ แบบว่า หนังสือ มันเอ่อ...ไม่ค่อยถูกจริตผมเท่าใดนัก หากผมเข้าใจสิ่งใดผิดพลาดไป ก็คงต้องขออภัยด้วย
***ต้องขอโทษ ขออภัยจริงๆ หากความเห็นของผมไม่ถูกใจใคร เป็นแค่ความเห็นอีกหนึ่งความเห็นเท่านั้นครับ -
iview
(เลขที่ 298782)
เมื่อ 25 พ.ย. 55 10:18
สนุกนะ เป็นภาคจบที่ลงตัวดีมาก
เสียงไทยตอนจบพากษ์ฮาได้อีกอะ -
(M).Clifford
(เลขที่ 176024)
เมื่อ 23 พ.ย. 55 20:54
ชอบมาก ปิดเรื่องทไวไลท์ได้ดีมากเลยสำหรับเรา.
เบลล่าเป็นแวมไพร์แล้วสวยมากกกกกกกกกกกกก -..-
ภาคนี้ชอบเอ็มเม็ตมากค่ะ รู้สึกว่าหล่อสุดๆเลยภาคนี้ -/-
ฉากต่อสู้ก็ชอบมาก ลุ้นสุดๆค่ะ เสียวคอ -_-
แล้วก็หักมุมได้เงิบมาก -_-;;;;;;;;; .. ชอบภาคนี้มากที่สุดแล้ว
ชอบตอนจบ จบได้ดีอะ FOREVER .. >_____< -
jainaka
(เลขที่ 321367)
เมื่อ 23 พ.ย. 55 20:32
สนุกมากค่ะ พระเอกหล่อมาก นางเอกสวยตลอดเรื่อง เราว่าสวยกว่าภาคก่อนๆด้วยซ้ำไป ส่วนเจคอบ หุ่น ...หืม ต้องไปดูในโรงภาพยนตร์เองนะ หุ หุ
สนุกตลอดเรื่องค่ะ ยิ่งใกล้ตอนจะจบยิ่งมันส์ เป็นภาคที่ดีมาก
ปิดเรื่องทไวไลท์ ได้ประทับใจ
ให้ไปเลย 9.5/10 -
FaTMoNKeY
(เลขที่ 23696)
เมื่อ 23 พ.ย. 55 01:49
พากย์ไทยเรื่องนี้ฮาจริงค่ะ ตั้งแต่ คำแรกของพระเอกกันเลยทีเดียว ^^
ที่ติดใจสุดๆ ก็คงจะเป็น หกห่อ ของพ่อหมาป่าเจคอบเค้าอ่ะแหละ >.<
อยากจะกด pause ไว้ซัก 1 ชม. แต่ทำไม่ได้ TT_TT
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+
advertisement
วันนี้ในอดีต
- Alexanderเข้าฉายปี 2004 แสดง Colin Farrell, Jared Leto, Angelina Jolie
- Puss in Bootsเข้าฉายปี 2011 แสดง Antonio Banderas, Salma Hayek, Zach Galifianakis
- ฝนตกขึ้นฟ้าเข้าฉายปี 2011 แสดง นพชัย ชัยนาม, ศิริน หอวัง, อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต
เกร็ดภาพยนตร์
เปิดกรุภาพยนตร์
The Hustle เรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของมิจฉาชีพตัวแม่ที่ใช้เสน่ห์หลอกลวงคนในสังคมชั้นสูง ซึ่งจะมาถ่ายทอดวิชา 18 มงกุฎให้กับมือ...อ่านต่อ»