วิจารณ์ Intouchables
-
heppo (เลขที่ 333820) เมื่อ 25 ก.ย. 55 11:29
น่าติดตาม ซึ้ง ตลก เอิ่มเอม ตื้นตัน สมคำร่ำลือจริงครับ ไม่รู้สึกว่าเสียเวลาดูแม้แต่นิดเดียว เป็นหนังที่จะอยู่ในความทรงจำอีกเรื่องนึงแน่นอน
-
Kingbangna (เลขที่ 170039) เมื่อ 24 ก.ย. 55 15:33
หนังดี ๆ คุณภาพเน้น ๆ ที่อยากให้คนไทยไปดู
-
.::นู๋กระต่าย::. (เลขที่ 191053) เมื่อ 19 ก.ย. 55 16:40
อยากให้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันเยอะๆค่ะ
ประทับใจมากๆ -
below (เลขที่ 184263) เมื่อ 16 ก.ย. 55 22:27
สนุกฮาน้ำตาเล็ดพร้อมได้รับความสุขแบบฟีลกู๊ดไปด้วย พฤติกรรมของตัวละครทั้งสองคนมีแบคกราวน์ดที่ต่างกันแต่ทั้งสองคนจริงใจต่อกัน มันตื้นตันแบบบอกไม่ถูก
สรุปว่าเราชอบมาก! -
ทิชชูไม่ต้อง (ไม่ได้เป็นสมาชิก) เมื่อ 11 ก.ย. 55 09:52
Intouchables เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยมิตรภาพของคน 2 คนที่มาจากคนละโลกกันโดยสิ้นเชิง ฟิลีปป์ เป็นคนรวยมาาากกก แต่พิการตั้งแต่คอลงไป ทำอะไรเองไม่ได้เลย ส่วน ดรีสส์ เป็นคนผิวสีที่เป็นพลเมืองชั้นสอง มีน้องเป็นโขยงแออัดอยู่ในบ้านเดียวกัน แถมเค้ายังมีประวัติต้องโทษอีก
ผลที่ได้ ตามที่จินตนากาล คงเป็นอะไรที่คลิเชมาก (ก่อนดู) ทำนองว่าเศรษฐีพอการต้องเอาแต่ใจแน่ๆ แล้วตาคนดูแลก็คงเป็นวัยรุ่นเกรียนๆ ที่นิสัยสองขั้วมันแก้เผ็ดกันไปมาได้ แต่พอดูแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นอยู่บ้าง ไม่ได้คลิเชมาก แต่ก็ตามสูตรเมโลดรามาฝรั่งเศส ที่มันก็น่ารักและคนไทยดูแล้วเก็ตแน่ๆ
เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นบุคลิกของ 2 ตัวละคร จริงอยู่ว่า ฟิลีปป์ กับ ดรีสส์ ดูเป็นขั้วตรงข้าม แต่ก็ไม่ใช่โดยสิ้นเชิงซะทีเดียว เขายังมีส่วนของกันและกันที่เหมือนหยิงหยางอยู่ ฟิลีปป์ เห็นยังงั้น ก็เป็นคนที่บ้าดีเดือดมาก รักกีฬาเอ็กซ์ตรีม(เพราะว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เขาเข้าใจความเจ็บปวดของภรรยาได้) ส่วน ดรีสส์ ที่เดินไปทุบรถแล้วลากคนขับที่ไม่รักษาวินัยไปโขกกำแพงหน้าตาเฉย ก็มีความสงบนิ่ง ความอบอุ่นในตัวเหมือนกัน เห็นจากการที่เขาใส่ใจปัญหาของน้องๆ และแม่ (แต่ด้วยวัยเกรียน เขาแสดงออกซึ้งๆ ไม่ได้) นานวันเข้าสองคนนี้ก็เริ่มเชื่อมโยงกันและกัน เราจะได้เห็น ฟิลีปป์ ใส่ตุ้มหูเพชรแบบฮิปฮอป แกล้งตำรวจ ส่วน ดรีสส์วาดภาพ(ถึงจะกวนๆก็เหอะ)+ฟังเพลงคลาสสิก
มันทำให้เห็นว่าพวกเขามีความเป็นคนที่มัน round ไม่ flat ไม่ใช่แค่พูดว่าเศรษฐีพิการ ก็จะนึกถึงคนที่ตรอมใจแล้วเหวี่ยงใส่คนอื่นไม่เลือกหน้า หรือคนผิวสีมีคดีก็จะนึกถึงความน่ากลัว เถื่อน (หรืออะไรก็ตาม ตามความคิดแบบ racism ที่มันแกะไม่ออกจากสังคมซักที)
คนพิการก็ไม่ต้องการให้คนมาสงสารเห็นใจ ทรีตเขาแบบเขาเป็นคนพิการ ซึ่งจะย้ำความไม่ปกติของเขาให้เด่นขึ้นมาอีก อย่างที่ ฟิลีปป์ ให้เหตุผลว่าเขาเลือกดรีสส์ เพราะดรีสส์ไม่มีความสงสารเห็นใจ (ในมุมของดรีสส์ สภาพครอบครัวเขาก็แย่พอกันนะ อย่างน้อย ฟิลีปป์ก็มีเงินที่จะช่วยให้เขาอายุยืน 70 ปี) พอได้ดรีสส์มาฟิลิปป์ก็สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้อีก เขาไปโดดร่มได้ ไปป่วนตำรวจได้ และมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวได้
ส่วนดรีสส์เองเป็นลูกที่ถูกเอามาเลี้ยงจากเซเนกัล เป็นประเทศโลกที่ 3 -4 -5 จากมุมมองคนขาวซึ่งเป็นส่วนใหญ่ในสังคม ไม่แน่ใจว่าเป็นมุสลิมหรือเปล่า ในเรื่องไม่ได้เน้นไม่ได้บอก เขาต้องต่อสู้เพื่อให้มีที่ยืนในสังคมที่แบ่งพื้นที่ให้เขาเพียงแค่ห้องเช่าแออัด ใต้สะพาน ริมถนน สิ่งที่ดรีสส์และคนอื่นๆ ต้องการก็คือโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจเท่าๆ กับที่คนขาวหรือใครๆ ได้รับ ซึ่งฟิลิปป์ก็หยิบยื่นให้เขา
สองคนเลยกลายเป็นเพือนรักของกันและกันเพราะต่างคนต่างสอน และเติมเต็มให้กันและกัน (ไม่อยากใช้คำนี้ มันเน่า+คลิเช แต่ก็ประมาณนี้ล่ะ)
ีอกส่วนที่เป็นข้อดีของหนังฟีลกู้ดเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่มัน smooth ไม่เอะอะหยอดมุขแบบไม่เนียน ขัดจังหวะ ไม่เข้ากับเรื่อง แต่มันเนียนมากโดยเฉพาะดรีสส์ที่เกรียนแต่น่ารักมาก เราจะรู้สึกได้ว่ามันเขาพูดจาแบบนั้นเพราะมันเป็นธรรมชาติของเขาที่มองโลกในแง่ดี ขี้เล่น แต่ก็ไม่ไร้สาระ มากกว่าเป็นการเรียกเสียงหัวเราะจากคนเขียนบท ฟิลีปป์เองเหทือนกันที่ฮาได้ก็เพราะเขาเป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว ไม่ก่อดรามาพร่ำเพรื่อเรื่องความพิการของตัว
Intouchables พวกคนนอกที่ไม่มีใครอยากยุ่ง มันน่าจะเป็นเพราะมีการแบ่งเขา แบ่งเรา ถ้าเปิดใจแล้วมองแบบที่ฟิลีปป์และดรีสส์ทำ โลกมันน่าจะอยู่ง่ายขึ้น
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+
advertisement
วันนี้ในอดีต
ปักษาวายุเข้าฉายปี 2004 แสดง ศรราม เทพพิทักษ์, ซาร่า เล็กจ์, แดเนียล บรูซ เฟรเซอร์
Fast & Furiousเข้าฉายปี 2009 แสดง Vin Diesel, Paul Walker, Michelle Rodriguez
แต๋วเตะตีนระเบิดเข้าฉายปี 2009 แสดง พีรวิชญ์ บุนนาค, วราภัทร์ เพชรสถิตย์, เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์
เกร็ดภาพยนตร์
เปิดกรุภาพยนตร์
The Witches
เรื่องราวในช่วงปี 1967 ของเด็กชายกำพร้าคนหนึ่ง (จาห์ซีร์ คาดีม บรูโน) ที่อาศัยอยู่กับคุณยายผู้เป็นที่รัก (อ็อกเทเวีย สเ...อ่านต่อ»