SIAMZONE.COM

ปกติ David Fincher เป็นผู้กำกับที่เก่งในการสร้างบรรยากาศให้กับหนังแนว suspense ที่สามารถสร้างความคลุมเครือ และคุมโทนหนังได้อย่างแม่นยำตลอดทั้งเรื่อง จนผลลัพท์ออกมาเป็นหนังชั้นยอดอย่าง The Game , หนังสืบสวนอย่าง Se7en และ Zodiac

แต่ The Girl with the Dragon Tattoo คือความล้มเหลวโดยสิ้นเเชิง

เข้าใจว่าเทรนหนังปัจจุบัน พยายามเล่าเรื่องให้กระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือน David Fincher พยายามใช้การตัดต่อที่ฉับไวในสไตล์หนังของตัวเองอย่าง Fight Club และ The Social Network แต่มันไม่เหมาะกับหนังเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวเนื้อเรื่องเองออกจะเยือกเย็นนิ่งๆ และฉากส่วนใหญ่ที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน พอมาตัดต่อและเดินเรื่องกระชับเร็วๆ มันจะทำให้โทนหนังหลุดทันที และหมดความน่าติดตาม แค่เริ่มเรื่องไป 15 นาที ผมก็เริ่มเบื่อแล้ว

แต่ก็นั้นแหละ ลางเนื้อชอบลางยา เพราะถ้าเดินเรื่องนิ่งๆ ก็จะมีคนดูบางคน มาบ่นว่าหนังไม่สนุก น่าเบื่อ แบบเดียวกับ Zodiac ซึ่งเป็นหนี่งในหนังสืบสวนยุคใหม่ที่ดีที่สุดเรื่องนึง

ขอไม่พูดถึงการแสดง เพราะ โดยรวมแล้วไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ มี Rooney Mara ที่พอจะน่าจดจำ แต่ไม่ถึงขั้นต้องร้องว้าว

ชอบอย่างเดียวคือสกอร์ของหนัง แต่ก็ยังไม่ได้ครึ่งของ The Social Network

โดยรวมเป็นผลงานที่น่าผิดหวังมากๆ David Fincher เองก็เป็นเซียนหนังแนวนี้อยู่แล้ว ผลลัพท์ของหนังมันไม่น่าออกมา fuck up ขนาดนี้ = =

หนังก็แรงใช้ได้นะ

แต่ส่วนตัวรู้สึกอารมณ์มันยังไม่สุดๆ ยังไงบอกไม่ถูก จบก็คาใจ ช่วงหลังดูรวบๆ เหมือนรีบให้จบ แต่ถ้ามีภาคต่อก็คงดูอีกละ

ใช้ความพยายามดูหนังเรื่องงนี้มาสองวันกว่าจะดูจบ หนังนานแต่บทสนธนาที่คมคายแบบนี้ทำให้ความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงในเรื่องมีเยอะมาก น่าจะมากที่สุดเท่าที่เคยดูหนังมาเลย แต่ก็ช่างเถอะ หนังเรื่องนี้คือหนังดีที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว

10/10

จะมีภาคต่อด้วยเหรอครับ :) ว้าว
เรื่องนี้ผมไม่ได้ดูในโรง พึ่งมาดูในดีวีดี ต้องบอกว่า ไม่เสียดายตังค์ที่ซื้อมา
หนังยาวมากจำได้ว่า สองชั่วโมงกว่า แต่ยาวด้วยความเข้มข้น ระทึกใจ มันส์ ครับ รูนี่ย์ มาร่า เล่นได้สุดยอด ทุ่มกับบทนี้จริงๆ นับถือ แต่ขนาดแปลงโฉม ให้ดูเป็นสาวรอยสัก แต่เธอก็ยังดูหวานๆน่ารักอยู่
ไม่เคยดูต้นฉบับเหมือนกัน แต่เห็นลิสเบ็ธของสวีนเดน ดูจะแข็งๆ โหดๆ หน้าเหมือนผู้ชายเยอะไป ผมว่ามาร่าเธอนี่แหละเหมาะสุดๆ ถ้ามีภาคต่อ ผมจะไม่พลาดในโรงแน่ครับ เอาไปสิบเลย >_<

จาก Aliens 3 สู่ The Girl with the Dragon Tattoo

ภาพยนตร์เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ใครหลายๆคนให้ความสนใจมากนัก แต่เมื่อใครได้ลองสัมผัสแล้ว รอยสักนั้นจะถูกสลักไว้ในใจของคนดูทุกคนและที่สำคัญเป็นรอยสักจากช่างอย่างเดวิด ฟินเชอร์

The Girl with the Dragon Tattoo ภาพยนตร์ลำดับที่ 9 ของผู้กำกับที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสมบูรณ์แบบอย่าง David Fincher ในเรื่องของความเนี้ยบนั้นคงต้องยกนิ้วให้เช่น การถ่ายทำที่แสนจะละเอียดละออ จำนวนเทคที่เคยมากสุดถึง 99 เทค (เหตุการณ์สยองขวัญใน The Social Network) ของตกแต่งที่ต้องปรากฏในฉากหลัง ไปจนถึงการเซ็ทฉากเพื่อใช้ในการถ่ายทำ ดีกรีจากการไปเยือนออสการ์ถึง 2 ครั้ง (The Social Network,The Curious Case of Benjamin Button ) จึงมั่นใจได้ว่า The Girl with the Dragon Tattooนั้นจะไม่ด้อยไปกว่าเรื่องอื่นๆก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย

*สารภาพว่าผมนั้นไม่เคยดูภาพยนตร์ต้นฉบับสวีเดนเลย เช่นกันกับที่ผมไม่(อยาก)ดูต้นฉบับอย่าง The Departed,Let Me In,War of the World,Quarantineเป็นต้น

The Girl with the Dragon Tattoo เขียนบทโดยมือออสการ์สตีเว่น เซลเลียม (Schindler's List) ส่วนผู้กำกับภาพคือ Jeff Cronenweth ช่างภาพคู่บุญของ David Fincher (Fight Club,The Social Network) ทั้งสถานที่ในการถ่ายทำก็ยังคงเป็นสวีเดน พร้มถือคติที่ว่า นี่ไม่ใช่หนังรีเมกแต่เป็น The Girl with the Dragon Tattoo ในอีกเว่อร์ชั่นหนึ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้ Niels Arden Oplev(ผู้กำกับ The Girl with the Dragon Tattoo เว่อร์ชั่นสวีเดน)ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อโครงการนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ David Fincher กังวลแต่อย่างใด

The Girl with the Dragon Tattoo เปิดฉากด้วย Henrik Vanger(Christopher Plummer)ได้รับของขวัญในวันเกิดจากหลานสาวผู้หายสาบสูญไปนานนับ 40 ปี ก่อนจะตัดเข้า scene Intro เรื่องซึ่งว่ากันว่าเป็นฝันร้ายในความทรงจำของ Lisbeth Salander สาวรอยสักนั่นเอง ถัดมาก็เป็นการพาคนดูไปพบกับตัวละครเอกอย่าง Mikael Blomkvist (Daniel Craig) นักข่าวหนุ่มหนึ่งในหัวหน้าสำนักพิมพ์ Millenium ซึ่งกำลังถูกโจมตีจากนักธุรกิจ ซึ่งMikaelได้เขียนข่าวคดีฉ้อกลโกงไว้ก่อนหน้านี้ อันเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อ Mikaelได้รับข้อเสนอให้สืบคดีการหายตัวไปของหลานสาว โดย Lisbeth Salander(Rooney Mara) แฮกเกอร์สาว ได้ตรวจสอบประวัติของ Mikael ให้กับ Henrik ซึ่งต่อมาทั้ง Mikael และ Lisbeth ได้ร่วมมือกันเข้ามาไขคดีลึกลับนี้

หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาและตัวละครมากมายดังนั้นจึงต้องให้ความสนใจกับทุกๆส่วนของภาพยนตร์ ทั้งการสืบคดี ปูมหลังต่างๆเพราะหากลืมตัวไปเพียงชั่วครู่ก็อาจหลงๆไปบ้าง ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ Tinker Tailor Soldier Spy (เพียงแต่ Tinker Tailor Soldier Spy นั้นดูยากว่าเพราะไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง ทั้งยังเต็มไปด้วยคำรหัสลับของเหล่าสายลับที่ใช้กัน)

ส่วนตัวคงต้องชื่นชมนักแสดงทุกรายที่ได้มอบการแสดง สวมบทบาทที่ช่วยให้หนังดูลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะ Rooney Mara ที่ทุ่มสุดตัว สวมบทได้จนลืมภาพ Erica ใน The Social Network ไปเลยราวกับคนละคน เข้าถึงบทบาทได้อย่างดีเยี่ยม มองเห็นทั้งความแข็งกระด้างและความอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ไม่แปลกใจเลยที่เธอได้มีชื่อเข้าชิงในออสการ์นำหญิงที่ผ่านมา และคงหมดข้อกล่าวหาที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเธอใช้เส้นสายเข้ามาเพื่อรับบทนี้ ทางด้านฝ่ายชาย Daniel Craig ก็พร้มใจเป็นป๋าดันให้กับ Rooney ได้อย่างไร้ที่ติ ในการเป็นคู่หู(คู่ใจ)แต่ที่ต้องขอชื่นชมคงเป็น Yorick van Wageningen ในบทของผู้ปกครองทางกฏหมายรายใหม่ของตัวละคร Lisbeth ชายผู้ซึ่งพร้อมไปด้วยความหิวโหยและซาดิสซ์ จน Lisbeth ต้องมอบลายเซ็นไว้ให้ "I am a rapist Pig"

ในส่วนของการตัดต่อ ลำดับภาพนั้น อยู่ในมาตรฐานที่สูงไม่มีให้กังวลใจ เสียงดนตรีที่ใช้ร่วมกับงานด้านภาพอย่างลงตัว ไปจนถึงการบันทึกเสียงเช่นเสียงลมผัด เสียงไฟที่คุตัว เสียงหน้ากระดาษถูกฉีก ก็เก็บมาได้ทุกเม็ดเสียง นับเป็นผลงานสุดเนี้ยบที่กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยมของ David Fincher ทางด้านของรางวัลจากเวทีต่างๆนั้น David ยังให้สัมภาษณ์ไว้อีกว่า "หนังเต็มไปด้วยฉากข่มขืนทางทวารหนักมากเกินไป"

หากจะเทียบกับผลงานเรื่องก่อนๆของ David แล้วล่ะก็คงต้องเป็นทางด้านของ Se7en และ Zodiac ที่ดูจะมีส่วนที่คล้ายๆกันอยู่บ้าง ซึ่งท้ายสุดแล้วผมชอบ มากกว่า Zodiac แต่น้อยกว่า Se7en ที่สำคัญคือ The Girl with the Dragon Tattoo ทำให้ list หนังในดวงใจปี 2011 ของผมปันป่วนไปหมดเพราะ The Girl with the Dragon Tattoo เป็นที่สุดของปีสำหรับผมไปแล้ว ^^

10/10

Oh my god นายยอดมาก นายฟินเชอร์ หนังยาวแบบว่าไม่รู้ตัว เพราะหนุกมาก น่าติดตามทั้งเรื่อง แม้ว่าหนังจะแรง แต่ก็มีที่มาที่ไป น้อง tattoo ดีใจด้วยครับที่เข้าชิงออสการ์ด้วยปีนี้ เหมาะสมแล้วก็น่ารักมากมาย เกือบไม่ได้ดูในโรงแล้วล่ะซิ ไม่งั้นเสียดายแย่เลย

ยอดเยี่ยมในการเล่าเรื่อง หนังแรงแต่มีคุณภาพครับ

"B+"

โห่ นักเขียนเรื่องนี้ อัจฉริยะขั้นเทพ มากคิดได้ไง นางเอกก็นะเล่นเก่งมากพอจะเท่ห์ก็เท่ห์พอจะสวยก็สวยเกิน ส่วน แดเนียล เก่งอยู่แล้ว 55

ปล.เกียจอิอ้วนที่มันทำร้ายนางเอก

ชวนติดตาม และ น่าหลงใหลอย่างน่าทึ่ง

หนังยาวมากครับ บทแรงมากๆๆๆๆๆๆๆ สะใจ เค้นอารมณ์สุดๆ แต่ไม่รุ้ว่าเวอร์ชั่นนี้จะดีกว่าหนังสือมั้ย เพราะไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่กล้าวิจารณ์อะไรมาก ถ้าชอบเรื่องSev7n เรื่องนี้ไม่ควรพลาด คล้ายกันมากจริงๆ