เกร็ดน่ารู้จาก Fair Game

เกร็ดน่ารู้
  • สร้างจากเรื่องจริงของ วาเลอรี เพลม อดีตสายลับซีไอเอที่ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดี จอร์จ ดับบลิว บุช หักหลังด้วยการเปิดเผยสถานะ หลังจากสามีของเธอซึ่งเป็นนักการทูต โจ วิลสัน วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเรื่องความไม่ชอบธรรมในการเปิดสงครามกับประเทศอิรัก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้รู้จักกันในชื่อว่า เดอะ เพลม แอฟแฟร์
  • ผู้อำนวยการสร้างพี่น้อง เจเน็ต ซุกเกอร์ และ เจอร์รี ซุกเกอร์ ติดต่อมือเขียนบทพี่น้อง เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ ให้มาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้โดยอ้างอิงจากประสบการณ์จริงของ วาเลอรี เพลม และสามีของเธอ โจ วิลสัน นักเขียนทั้ง 2 คนเป็นชาวอังกฤษที่ไม่เคยรู้จัก วาเลอรี มาก่อน
  • ถึงแม้ผู้สร้างจะได้สิทธิ์ในการดัดแปลงหนังสือ Fair Game: My Life as a Spy, My Betrayal by the White House ของ วาเลอรี เพลม และได้รับความร่วมมือจาก วาเลอรี อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบางส่วนที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ผู้เขียนบท เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ จึงต้องออกไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง ทั้งข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ขององค์กรซีไอเอ และของครอบครัวของ วาเลอรี
  • เมื่อผู้เขียนบท เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ ไปขอสัมภาษณ์ผู้คนที่เกี่ยวข้อง คนส่วนใหญ่ลังเลใจที่จะให้ข้อมูล และไม่ต้องการให้อ้างอิงชื่อของพวกเขาในภาพยนตร์ ภายหลัง เจซ และ จอห์น-เฮนรี จึงใช้วิธีเข้าไปถามข้อมูลโดยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาแทน อย่างไรก็ตาม หลังจากการเลือกตั้งซ่อมในปี 2006 บรรยากาศทางการเมืองก็เปลี่ยนไป ผู้คนรู้สึกมีอิสระมากขึ้นในการเล่าความจริง
  • ผู้เขียนบท เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ หาข้อมูลเบื้องต้นด้วยการสัมภาษณ์ผู้คนมากมาย รวมถึงอดีตหน่วยสืบราชการลับ ทนายความ วุฒิสมาชิกสภา และพวกเขายังเข้าร่วมการไต่สวนคดีของ แอล ลูอิส ลิบบี หรือ สกูตเตอร์ อดีตเสนาธิการของรองประธานาธิปดี ดิก เชนีย์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลเพียงคนเดียวที่ถูกไต่สวนในคดีของ วาเลอรี เพลม การทำงานของพวกเขาถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากหน่วยดูแลข้อมูลของซีไอเอ
  • การเล่าเรื่องราวที่อ้างอิงจากความจริงอันซับซ้อนด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมงนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ผู้เขียนบท เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ จึงสร้างตัวละครสมมุติเพิ่มเข้ามา เช่น ดร. ซาห์รา ที่รับบทโดย ลิราซ ชาร์ฮี และพี่ชายของเธอ ฮัมเหม็ด ที่รับบทโดย ไคลด์ นาบุย พวกเขาเป็นตัวแทนของหน่วยสืบราชการลับจากต่างชาติที่ วาเลอรี เพลม ที่รับบทโดย นาโอมิ วัตตส์ อาจติดต่อในภารกิจของเธอ
  • การค้นคว้าข้อมูลทำให้ผู้กำกับ ดัก ไลแมน ได้รู้ว่า วาเลอรี เพลม เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษแบบไม่เป็นทางการหรือ เอ็นโอซี ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ เจมส์ บอนด์ คือเป็นสายลับที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้จักสายลับคนอื่น
  • ผู้กำกับ ดัก ไลแมน ขอให้มือเขียนบท เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ ส่งบทไปทาบทาม นาโอมิ วัตตส์ ให้มารับบท วาเลอรี เพลม พวกเขาขอให้เธออ่านบท 10 หน้าแรกและช่วยแสดงความคิดเห็น ในตอนนั้น นาโอมิ เพิ่งคลอดลูกคนที่ 2 และรู้สึกว่าตนยังไม่พร้อมที่จะกลับมาทำงาน แต่หลังจากนั้นไม่นาน นาโอมิ กลับโทรศัพท์ไปหา เจซ แล้วเล่าว่าได้อ่านบททั้งหมดจบภายในคืนเดียว และรู้สึกชอบมาก
  • หลังจาก นาโอมิ วัตตส์ ตกลงรับบท วาเลอรี เพลม เธอเสนอให้ผู้กำกับ ดัก ไลแมน ส่งบทภาพยนตร์ไปทาบทาม ฌอน เพนน์ ให้มารับบท โจ วิลสัน จากนั้น ฌอน ก็เข้ามาพูดคุยกับผู้กำกับแล้วก็ตัดสินใจตอบตกลง ก่อนหน้านี้ นาโอมิ และ ฌอน เคยแสดงนำคู่กันมาแล้วใน 21 Grams (2003) ซึ่งทำให้ นาโอมิ เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วย
  • อดีตสายลับ วาเลอรี เพลม รู้สึกทึ่งที่ นาโอมิ วัตตส์ ผู้รับบทเป็นเธอในภาพยนตร์ ดูคล้ายตัวจริงของเธอมาก เธอให้ลูกดูรูปที่ตนถ่ายคู่กับ นาโอมิ แล้วลูกก็พูดว่า มันแปลกมากที่คุณแม่ได้พบฝาแฝดของตัวเองตอนอายุ 45 ปี
  • นาโอมิ วัตตส์ ที่รับบทเป็น วาเลอรี เพลม เพิ่งได้พบกับ วาเลอรี ตัวจริงหลังจากเริ่มถ่ายทำ ก่อนหน้านั้น พวกเขาพูดคุยกันทางโทรศัพท์และอีเมล เพื่อให้ นาโอมิ ได้เรียนรู้ชีวิตส่วนตัวของ วาเลอรี ที่ต้องสับรางระหว่างการเป็นภรรยาและแม่บ้านกับการเป็นสายลับ นอกจากนี้เธอยังพยายามเข้าใจความรู้สึกที่ต้องเก็บงำความลับจากทุกคนอีกด้วย
  • อดีตนักการทูตสหรัฐอเมริกา โจ วิลสัน รู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นที่ ฌอน เพนน์ มารับบทเป็นตัวเขา พวกเขาใช้เวลาร่วมกันเป็นสัปดาห์ จากนั้น ฌอน ก็เลียนแบบทุกอย่างของ โจ จนแม้แต่ โจ เองก็ยังรู้สึกทึ่ง
  • เปิดกล้องในเดือนเมษายน 2009 โดยถ่ายทำในกรุงวอชิงตันและนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ยกกองไปถ่ายทำในหลายประเทศ ได้แก่ เมืองไคโร ประเทศอียิปต์ เมืองอัมมาน ประเทศจอร์แดน เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก และประเทศไนเจอร์ในทวีปแอฟริกา
  • การถ่ายทำในประเทศจอร์แดนได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากกองทัพ พวกเขาสามารถถ่ายทำฉากที่เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอร์กบินด้วยระดับต่ำไปตลอดถนนสายหลักของเมืองอัมมาน
  • การถ่ายทำในมหาวิทยาลัยในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์นั้นล่าช้าออกไป เพราะตรงกับกำหนดการที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา เดินทางมามอบสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยพอดี
  • เป็นกองถ่ายอเมริกันชุดแรกที่เข้าไปถ่ายทำในกรุงแบกแดด ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิรัก โอเดย์ อัล-ราชิด มาพบผู้สร้างเพื่อให้รายละเอียดเรื่องความปลอดภัย การพกอาวุธ และการสวมเสื้อเกราะกันกระสุน จากนั้นก็พากันไปถ่ายทำในสนามบินเก่าของ ซัดดัม ฮุสเซน สะพานข้ามแม่น้ำไทกรีส สุเหร่าร้าง และซากปรักหักพังจากระเบิดของสหรัฐอเมริกา ทีมงานทำงานด้วยความกดดันให้งานเสร็จสิ้นภายในวันเดียว เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำในวันถัดไปหรือไม่
  • ผู้ออกแบบงานสร้าง เจสส์ กอนชอร์ สร้างฉากสำนักงานใหญ่ของซีไอเอขึ้นที่สำนักงานไอบีเอ็มเก่า ในเขตไวต์เพลน เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • แรงบันดาลใจสำคัญของผู้กำกับ ดัก ไลแมน คือ อาเธอร์ ไลแมน คุณพ่อของเขาซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามอิรักและอิหร่าน
  • เดิมผู้สร้างจะเลือก นิโคล คิดแมน และ รัสเซล โครว์ มารับบท วาเลอรี เพลม และ โจ วิลสัน ตามลำดับ แต่สุดท้ายแล้ว บทนำทั้งสองก็ตกเป็นของ นาโอมิ วัตตส์ และ ฌอน เพนน์

advertisement

วันนี้ในอดีต

เกร็ดภาพยนตร์

  • Blackhat - ชื่อภาพยนตร์อ้างอิงถึงลักษณะของตัวร้าย ซึ่งวายร้ายในแถบตะวันตกมักจะสวมหมวกสีดำ อ่านต่อ»
  • Maps to the Stars - วิกโก มอร์เทนเซน และ ราเชล ไวส์ซ ต่างก็เคยถูกพิจารณาให้รับบท สแตฟฟอร์ด และ ฮาวานา ก่อนที่จะถอนตัวออกไปทั้งคู่เนื่องจากปัญหาตารางงาน สุดท้าย จอห์น คูแซก และ จูเลียนน์ มัวร์ จึงเข้ามารับบท สแตฟฟอร์ด และ ฮาวานา ตามลำดับ อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

The Cave The Cave จากเหตุการณ์จริงที่สะกดคนทั้งโลก 13 ชีวิตติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน มาถ่ายทอดจากมุมมองของอาสาสมัคร หน่วยกู้ภัยทั้งไทยและต่า...อ่านต่อ»