เกร็ดน่ารู้จาก แหยมยโสธร 2

เกร็ดน่ารู้
  • ออกฉายห่างจาก แหยมยโสธร (2005) ภาคแรกนาน 4 ปี เนื่องจาก หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ผู้กำกับและผู้รับบท แหยม มองว่าเป็นช่วงเวลานานพอเหมาะ ที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกคิดถึงและอยากชมต่อ อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาค่อยๆ พัฒนางานอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกด้วย
  • เจเน็ต เขียว หรือ นงนุช สมบูรณ์ ผู้รับบท เจ้ย ยอมจัดตารางงานในช่วงเดือนกรกฎาคม 2009 ให้เอื้อประโยชน์เต็มที่ต่อการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึงยอมยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ ตามที่มีกำหนดไว้แต่เดิม
  • ทีมงานเสนอให้ หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ผู้กำกับและผู้รับบท แหยม เลือก ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส นักร้องวง แทททู คัลเล่อร์ ที่เคยเป็นแขกรับเชิญในการแสดงชุด หม่ำ ออน สเตจ มารับบท ปลัดธนู ในเรื่องนี้ และเมื่อไปทาบทาม ดิม ก็ยอมตกลงรับงานแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
  • ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ยอมรับว่าตกลงรับบท ปลัดธนู โดยที่ยังไม่ได้อ่านบทภาพยนตร์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาชื่นชอบ หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ผู้กำกับและผู้รับบท แหยม มาตั้งแต่เด็กแล้ว โดย ดิม เคยเช่าวีดีโอการแสดงตลกของ หม่ำ มาชม และเคยติดตามรายการเวทีทองที่ หม่ำ ปรากฏตัวอยู่ทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ แหยมยโสธร (2005) ภาคแรกยังถือเป็นภาพยนตร์โปรดของเขาอีกด้วย
  • เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา ซึ่งศึกษาอยู่ที่ต่างประเทศ เดินทางดิ่งตรงกลับมาประเทศไทยเพื่อมาแสดงเป็น แว่ ในภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ และเนื่องจากอาศัยอยู่ต่างประเทศนาน เอ็ม จึงต้องรื้อฟื้นภาษาไทยสำเนียงอีสานให้คล่องขึ้นก่อนจะเริ่มถ่ายทำ
  • เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา ไม่เคยรับงานแสดงมาก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นและกดดันที่ต้องมารับบท แว่ ในเรื่องนี้ แต่การศึกษาด้านภาพยนตร์ทำให้ เอ็ม ปรับตัวเข้ากับงานได้เร็ว นอกจากนี้ เอ็ม ยังเล่าว่า กองถ่ายที่มีแต่ความเป็นกันเอง สนุกสนาน ทำให้เธอผ่อนคลายความกดดันไปได้มาก
  • ยังคงแนวคิดเป็นภาพยนตร์พูดภาษาอีสานทั้งเรื่องเช่นเดียวกับ แหยมยโสธร (2005) ภาคแรก พร้อมทั้งมีคำบรรยายให้ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาอีสานสามารถอ่านตามได้ อย่างไรก็ตาม โครงเรื่องของภาคนี้ทำให้มีการเพิ่มตัวละครนำที่พูดภาษากลางขึ้นมา อีกทั้งยังมีตัวละครที่พูดสำเนียงใต้และเหนือมาสร้างสีสันเพิ่มเติมอีกด้วย
  • การแต่งกายของตัวละครในเรื่องดัดแปลงจากเสื้อผ้ายุค 60 ได้แก่ เสื้อผ้าสีสดใส รองเท้าส้นตึกหัวโต ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตคอปกแหลมกับกางเกงขาบานทรงสูง ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงติดกันทั้งตัวที่ดูเรียบร้อย บ้างก็เป็นทรงเอ บ้างก็เป็นแบบย้วย
  • ฝ่ายเครื่องแต่งกายต้องออกแบบเสื้อผ้าให้นักแสดงแต่ละคนประมาณ 10 ชุด รวมทั้งหมด 60 กว่าชุด โดยต้องสั่งตัดใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ยังไม่นับเสื้อผ้าของนักแสดงประกอบ เสื้อผ้าแต่ละชุดมีมูลค่าเป็นหลักหมื่น ส่วนรองเท้าส้นตึกหนา 3 นิ้วของนักแสดงชายที่ต้องสั่งตัดพิเศษมีทั้งหมด 10 คู่ คู่ละ 4,500 บาท รวมงบประมาณด้านเสื้อผ้าทั้งหมดกว่า 450,000 บาท
  • เหล่านักแสดงหญิงในเรื่องจะแต่งหน้าแบบยุค 70 คือค่อนข้างเข้ม แต่งดวงตาให้ดูโตขึ้น ใสขึ้น แต่งคิ้วให้คมและดำ นอกจากนี้นักแสดงเกือบทุกคนทั้งชายหญิงยังต้องสวมผมปลอมที่ดูดกดำ คล้ายทรงผมในยุคของนักแสดงอย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ และ มิตร ชัยบัญชา หรือ สรพงษ์ ชาตรี รวมถึงทรงผมหยิกแบบแอฟโฟรด้วย
  • มีการใช้เทคนิคแต่งภาพแบบย้อมสีให้ดูสดใส เช่น ภาพท้องทุ่งนาเขียวขจีตัดกับสีของท้องฟ้าที่สว่างจ้า และตัดกับเสื้อผ้าสีสดจัดของตัวละคร
  • ทิดเซียง เสียงเสน่ห์ ที่เคยร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ใน แหยมยโสธร (2005) ภาคแรก กลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้งในภาคนี้ โดยร้องเพลงช้าซึ้งๆ ที่ชื่อ คืนอาลัย ซึ่งจะปรากฏในฉากที่ ปลัดธนู ที่รับบทโดย ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ร้องไห้และมี แว่ ที่รับบทโดย เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา คอยปลอบใจ และอีกเพลงคือบทเพลงสนุกๆ ชื่อ แต่งงานกันเด้อ ซึ่งจะปรากฏในฉากที่พระเอกจีบนางเอกในงานบุญ
  • ว่ากันว่าตัวละคร คำผาน เด็กชายผู้ไม่ยอมพูดภาษาถิ่นอีสาน ที่รับบทโดย มิกซ์ - เพทาย วงษ์คำเหลา ถอดแบบมาจากชีวิตจริงในวัยเด็กของ หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ผู้กำกับและผู้รับบท แหยม
  • นอกจากผู้กำกับ หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา จะลงมารับบท แหยม เอง พร้อมให้ลูกสาว เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา รับบท แว่ และให้ลูกชาย มิกซ์ - เพทาย วงษ์คำเหลา รับบท คำผาน แล้ว มด - เอ็นดู วงษ์คำเหลา ภรรยาของ หม่ำ ยังได้แสดงบทรับเชิญในฉากที่ผู้สร้างปิดไว้เป็นความลับ นอกจากนี้ยังมี กอล์ฟ - จรณ์ วงษ์คำเหลา รับบทเกษตรอำเภอฉัตรชัย, แวววาว จ๊กมก หรือ เทียมใจ วงษ์คำเหลา รับบทคุณนายดอกท้อ และ อนุพงศ์ วงษ์คำเหลา รับบทลูกน้องของคุณนายดอกท้อ
  • เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่มุ่งนำเสนอวัฒนธรรมอีสาน จึงมีศิลปินและนักแสดงอีสานมาร่วมแสดงกันคับคั่ง อาทิ นพดล ดวงพร (ศิลปินตลกจากคณะเพชรพิณทอง), ยาว ลูกหยี, หยอง ลูกหยี, แดน บุรีรัมย์ (อดีตศิลปินตลกคณะเพลิน พรมแดน ปัจจุบันเป็นนักจัดรายการวิทยุ), ซ่าส์ หมาว้อ เป็นต้น
  • ฉากใหญ่ของภาคนี้ที่เทียบเคียงได้กับฉากงานวัดใน แหยมยโสธร (2005) ภาคแรก คือฉากงานประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งต้องใช้นักแสดงประกอบหลายร้อยคน รวมถึงนางรำมากกว่า 200 คน ที่มาพร้อมขบวนแห่บั้งไฟที่ประดับประดาอย่างสวยงาม พร้อมด้วยนักแสดงรับเชิญที่เป็นบุคคลสำคัญ อย่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาประจำจังหวัดยโสธร
  • ผู้สร้างต้องขอปิดตลาดศรีประจันต์กลางเมืองสุพรรณบุรีเป็นเวลา 2 วัน เพื่อถ่ายทำฉากเสือปิดตลาดปล้น ซึ่งถือเป็นการคารวะต่อภาพยนตร์ไทยยุค 70
  • ขณะถ่ายทำ นักร้องวง แทททู คัลเล่อร์ ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ผู้รับบท ปลัดธนู ต้องย้ายงานแสดงดนตรีไปเป็นตอนกลางคืนทั้งหมด เพื่อใช้เวลากลางวันถ่ายทำภาพยนตร์
  • ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ผู้รับบท ปลัดธนู และ เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา ผู้รับบท แว่ ได้พบกันครั้งแรกตอนที่ถูกส่งตัวไปฝึกการแสดงร่วมกัน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยสนิทสนมกัน เพราะมีฉากที่ต้องแสดงอารมณ์น่ารักกุ๊กกิ๊กด้วยกันอยู่หลายฉาก
  • ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ผู้รับบท ปลัดธนู คิดมุกสดเองในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะมุกที่ใช้จีบ แว่ ที่รับบทโดย เอ็ม - บุษราคัม วงษ์คำเหลา เช่น บทสนทนาในฉากเดินตลาดด้วยกัน และมุกที่เขาพูดว่า "ผมอยากเป็นขี้ตาคุณจัง เพราะจะได้อยู่ในสายตาคุณบ้าง"
  • ฉากที่ ปลัดธนู ที่รับบทโดย ดิม - หรินทร์ สุธรรมจรัส ปีนบันไดจีบสาว แล้ว แหยม ที่รับบทโดย หม่ำ จ๊กมก หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ยิงปืนไล่เพราะหวงลูกสาวนั้น ตามบท ดิม จะต้องรีบไต่บันไดไม้ไผ่หนีลงมาให้เร็วที่สุด แต่ ดิม คิดว่ารูดตัวลงมาตามบันไดน่าจะเร็วกว่า เขาจึงตรวจสอบดูจนแน่ใจว่าบันไดไม่มีเสี้ยน แล้วลองรูดตัวลงจากกลางบันไดขณะซักซ้อม ก่อนจะรูดตัวลงมาจากที่สูงขณะถ่ายจริง จากนั้นยังต้องวิ่งหนีทุลักทุเลด้วยรองเท้าส้นหนา 3 นิ้ว แต่ ดิม ก็ยังไม่วายแทรกมุกด้วยการเลียนแบบท่าวิ่งของ หม่ำ ในฉากนี้ด้วย

advertisement

วันนี้ในอดีต

เกร็ดภาพยนตร์

  • The Woman in Black 2: Angel of Death - เอเดรียน รอว์ลินส์ ผู้สวมบท ดอกเตอร์ โรดส์ เคยรับบท อาร์เธอร์ คิปป์ส ใน The Woman in Black (1989) อ่านต่อ»
  • Project Almanac - ตอนแรกภาพยนตร์ชื่อนี้ใช้ชื่อว่า Welcome to Yesterday ก่อนผู้กำกับ ดีน อิสราเอลิต เปลี่ยนชื่อเป็น Project Almanac อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

The Legend of Hei The Legend of Hei ในโลกที่คนและภูตใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เสี่ยวเฮย (หวัง ยูจี) เป็นภูตแมวที่อาศัยอยู่อย่างอิสระตามภูเขา แต่ด้วยวิวัฒนาการของ...อ่านต่อ»