เกร็ดน่ารู้จาก Star Trek
เกร็ดน่ารู้
- มีประโยคเปิดเรื่องที่เป็นอมตะตั้งแต่สมัยที่เป็นละครโทรทัศน์ในยุค 60 ที่ว่า "อวกาศ พรมแดนด่านสุดท้าย" หรือ "Space, the final frontier..."
- Star Trek ถือกำเนิดครั้งแรกจากการสร้างสรรค์ของ จีน ร็อดเดนเบอร์รี ในปี 1966 เป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 6 ชุด และมีภาพยนตร์ออกมาแล้วก่อนหน้านี้ 10 เรื่อง ภาพยนตร์เรื่องที่ 11 นี้จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าภาคอื่นๆ ทั้งหมด นั่นคือยุคที่ตัวละครหลักทั้งหลายซึ่งยังเป็นวัยรุ่นมารวมตัวกันในการออกเดินทางครั้งแรกของยานอวกาศยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์
- ผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ และผู้อำนวยการสร้าง เดมอน ลินเดล็อฟ เคยร่วมงานกันมาก่อนแล้วในการสร้างละครชุด Lost ส่วนผู้อำนวยการสร้างบริหาร ไบรอัน เบิร์ก ก็เคยร่วมงานกับ เจ.เจ. เช่นกัน ในละครชุด Lost และ Alias และภาพยนตร์เรื่อง Cloverfield (2008)
- ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ ให้ความเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คล้าย Star Wars (1977) ภาคแรกผสมกับ The Right Stuff (1983) เนื่องจากมีทั้งเรื่องราวข้ามจักรวาลที่สดใหม่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ และเรื่องราวอันติดดินเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่มีหัวใจและมิตรภาพอันดี
- ผู้เขียนบท อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน เล่าว่า สิ่งแรกๆ ที่เขาจำได้เกี่ยวกับตัวผู้ร่วมเขียนบท โรแบร์โต ออร์ซี คือเขามีโทรศัพท์รูปยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ที่ใช้สื่อสารได้จริง เนื่องจากโรแบร์โต คลั่งไคล้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Star Trek
- ผู้เขียนบท อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน และ โรแบร์โต ออร์ซี ยอมรับว่าไม่ได้ตอบตกลงเข้าร่วมงานชิ้นนี้ในทันที เพราะรู้สึกกดดันจากความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ในการดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจ Star Trek
- ผู้เขียนบท อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน และ โรแบร์โต ออร์ซี ออกแบบบุคลิกของตัวละคร เจมส์ เคิร์ก ในวัยหนุ่ม ซึ่งรับบทโดย คริส ไพน์ ให้เป็นเด็กเฮี้ยวจอมขบถ โดยเปรียบเทียบกับบุคลิกของนักแสดงดัง เจมส์ ดีน
- เนโร วายร้ายชาวโรมูลันของเรื่องนี้ที่รับบทโดย อีริก บานา เป็นตัวละครใหม่ที่ไม่เคยปรากฏตัวใน Star Trek ภาคใดมาก่อน
- ผู้สร้างติดต่อ เลนนาร์ด นิมอย ผู้รับบทเป็น สป็อก ในภาคก่อนๆ ให้มารับบท สป็อก วัยชราซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ เลนนาร์ด เคยกล่าวไว้ว่าเขาจะไม่แสดงภาพยนตร์เรื่อง Star Trek อีก แต่ในที่สุดเขาก็ตอบรับคำเชิญครั้งนี้
- ผู้สร้างทำรายการสิ่งที่ผู้ชมซึ่งเป็นแฟนรุ่นเก่าต้องการจะได้ชมในภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาไว้เป็นแนวทางในการเขียนบทและถ่ายทำ เช่น ลูกเรือชุดแดง สาวโอไรออนตัวสีเขียว และ สป็อก ที่กำลังเล่นพิณ เป็นต้น
- เมื่อคณะผู้เขียนบทมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับกฎของสตาร์ฟลีต หรือประวัติของเผ่าพันธุ์ต่างดาว พวกเขาจะไปขอคำปรึกษาจากแฟนภาพยนตร์ Star Trek หรือที่เรียกว่า เทรกเกอร์ หนึ่งในนั้นคือ ฌอน เจอเรซ ผู้ค้นคว้าและเขียนรายงานเกี่ยวกับตำนานโรมูลัน นอกจากนี้เขายังชมละครต้นฉบับทั้ง 79 ตอน รวมถึงภาพยนตร์ Star Trek ทุกเรื่อง แล้วจดรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและบุคลิกของตัวละครเอาไว้มากมาย
- คณะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Star Trek และผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Star Trek เลยอยู่ปะปนกัน เช่น ผู้เขียนบท โรแบร์โต ออร์ซี รู้ดีว่าต้องสร้างภาพยนตร์แบบไหนเพื่อไม่ให้แฟนๆ โกรธ ขณะที่ผู้อำนวยการสร้าง ไบรอัน เบิร์ก ไม่เคยดูละครต้นฉบับเลย จึงเหมาะกับทิศทางการทำงานของพวกเขา ที่ทั้งต้องการรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของเรื่อง และสร้างจินตนาการใหม่ๆ ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
- คริส ไพน์ ซึ่งผ่านการทดสอบหน้ากล้องจนได้รับบท เจมส์ เคิร์ก ต้องฝึกฝนร่างกายอย่างหนักกับกลุ่มนักแสดงผาดโผน ทั้งชกมวยและศิลปะการต่อสู้อื่นๆ
- เลนนาร์ด นิมอย ถ่ายทอดบทบาท สป็อก มาตลอดทั้งจากภาพยนตร์ภาคเก่าๆ และละครชุด ดังนั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจาก เลนนาร์ด จะหวนมารับบท สป็อก วัยชราแล้ว เขายังเป็นที่ปรึกษาให้ แซกคารี ควินโต ผู้รับบท สป็อก วัยรุ่นอีกด้วย โดย แซกคารี ได้ซักถามข้อสงสัยกับ เลนนาร์ด มากมาย และพวกเขายังได้พูดคุยกันเรื่องสภาพจิตใจของ สป็อก และสิ่งที่เกิดขึ้นกับ สป็อก ในช่วงกลางชีวิตระหว่างวัยรุ่นกับวัยชรา
- คาร์ล เออร์เบิน ตกลงรับบท ด็อกเตอร์ เลนนาร์ด แม็กคอย หรือ โบนส์ เนื่องจากเขาชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มานาน และรู้สึกคุ้นเคยกับตัวละครทั้งหลายเป็นอย่างดี นอกจากนี้ คาร์ล ยังต้องการแสดงเพื่อให้เกียรติแก่ผู้รับบท โบนส์ คนเก่า นั่นคือนักแสดงตลก เดอฟอเรสต์ เคลลีย์ ผู้ล่วงลับ
- ผู้สร้างเลือก ไซมอน เพกก์ ให้มารับบท มอนต์โกเมอรี สก็อตต์ หรือ สก็อตตี เอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น เนื่องจากได้ชมผลงานของเขาในภาพยนตร์ตลก Shaun of the Dead (2004) และ Hot Fuzz (2007) แล้วเห็นว่าเขาเหมาะกับบทนี้ เมื่อได้รับการทาบทาม ไซมอน ส่งอีเมล์ไปบอกผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ ว่าเขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเพราะเขาเทิดทูนภาพยนตร์เรื่องนี้มากในตอนเป็นเด็ก นอกจากนี้ยังส่งอีเมล์มาเป็นครั้งที่ 2 เพื่อขอเวลาตัดสินใจ จากนั้นไม่นาน ไซมอน ก็ตอบตกลง
- อูฮูรา จัดเป็นตัวละครเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกๆ ของวงการโทรทัศน์ อีกทั้งยังมีฉากจูบกับตัวละครต่างสีผิวเป็นรายแรกๆ ของวงการโทรทัศน์อเมริกันอีกด้วย ผู้รับบทนี้แต่ดั้งเดิมคือ นิเชลล์ นิโคลส์ ส่วนผู้รับบทนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ โซอี ซัลดานา นักแสดงสาวเชื้อสายเปอโตริโกและโดมินิแกน
- ซูลู จัดเป็นตัวละครลูกครึ่งเอเชียรุ่นบุกเบิกวงการภาพยนตร์ตะวันตก เดิมรับบทโดย จอร์จ ทาเคอิ นักแสดงอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ส่วนในภาคนี้รับบทโดย จอห์น โช นักแสดงชาวเกาหลีที่มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ตะวันตกอย่าง American Pie (1999) และละครเรื่อง Harold and Kumar จอห์น ได้รับคำแนะนำและกำลังใจจาก จอร์จ สำหรับการรับบท ซูลู นี้ด้วย
- ตัวละครกัปตัน ไพก์ ปรากฏตัวในละครต้นฉบับเพียง 3 ตอนเท่านั้น เดิมผู้ที่รับบทนี้คือ เจฟฟรีย์ ฮันเตอร์ ต่อมาคือ ฌอน เคนนีย์ และในภาพยนตร์เรื่องนี้รับบทโดย บรูซ กรีนวูด โดย บรูซ เปิดเผยว่า เขาชอบบทนี้เพราะชอบความสัมพันธ์ที่คล้ายพ่อกับลูกระหว่าง ไพก์ กับ เจมส์ เคิร์ก ที่รับบทโดย คริส ไพน์
- ผู้ที่มารับช่วงต่อจาก วอลเตอร์ โคนิก ในการสวมบทบาท เชคอฟ เจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุดของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ คือ อันตวน เยลชิน เนื่องจาก อันตวน มีหลายอย่างคล้ายกับตัวละคร เชคอฟ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายรัสเซีย เนื่องจาก อันตวน เกิดในเลนินกราด และความสามารถยอดเยี่ยมด้านหมากรุก
- อันตวน เยลชิน ไม่เคยชมละคร Star Trek มาก่อน เมื่อได้รับบท เชคอฟ เขาจึงรีบศึกษาบทด้วยการหามาชมให้ครบทุกตอน จากนั้นเขาให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวละครที่เขาต้องแสดงว่า เชคอฟ เป็นคนที่แปลกที่สุดบนยาน เป็นคนแข็งขันและมีอารมณ์ขัน ส่วน วอลเตอร์ โคนิก ผู้รับบท เชคอฟ คนก่อน แนะนำ อันตวน ว่าให้แสดงในแบบของตัวเอง โดยไม่ต้องเลียนแบบเขา
- ตอนที่ผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ ติดต่อให้ อีริก บานา มารับบท เนโร นั้น อีริก กำลังอยู่ในช่วงหยุดพักจากงานแสดงพอดี แต่ อีริก อยากแสดงบทนี้มาก จึงยอมกลับคืนสู่จอภาพยนตร์อีกครั้ง
- อีริก บานา ผู้รับบท เนโร ต้องใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัว รวมทั้งติดอวัยวะปลอม นานถึงวันละ 4 ชั่วโมง อีริก ให้ความเห็นว่า เนโร ดูประหลาดแต่ก็ดูดี และเมื่อเริ่มแสดงไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ อีริก ก็เริ่มคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของ เนโร จนมนุษย์ปกติกลับเป็นฝ่ายดูประหลาดมากกว่าสำหรับเขา
- อีริก บานา ผู้รับบท เนโร ชื่นชอบเครื่องยนต์กลไกมากอยู่แล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นกับยานรบของ เนโร ที่ชื่อ เนราดา ซึ่งมีลักษณะเปิดโล่งให้เห็นเส้นลวดสายไฟและโครงสร้างของยานทั้งลำ
- ก่อนเปิดกล้อง นักแสดงทุกคนต้องฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฉากต่อสู้ ซึ่งมีตั้งแต่การวิวาทในบาร์ จนถึงการตามไล่ล่าแบบศตวรรษที่ 23 ซึ่งต้องกระโดดร่มในอวกาศ ผู้ประสานงานฉากผาดโผน โจอี บอกซ์ เป็นผู้ควบคุมการฝึกร่างกาย โดยนำเอาการต่อสู้แบบยุค 60 ของละครต้นฉบับมาผสมกับมุมมองของศตวรรษที่ 23 ที่อิงความเป็นจริงมากขึ้น
- ผู้ประสานงานฉากผาดโผน โจอี บอกซ์ ออกแบบการต่อสู้ของตัวละครแต่ละตัวให้แตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากบุคลิกและเผ่าพันธุ์ เช่น สป็อก ที่รับบทโดย แซกคารี ควินโต ต่อสู้แบบชาววัลแคน ซึ่งเป็นแบบไหลลื่นและตรงไปตรงมา ไม่ใช้หมัดและไม่ใช้อารมณ์ ส่วน เจมส์ เคิร์ก ที่รับบทโดย คริส ไพน์ เป็นนักสู้ข้างถนนที่ชำนาญการวิวาทและเอาตัวรอดเก่ง ส่วน เนโร ที่รับบทโดย อีริก บานา ต่อสู้แบบมวยปล้ำเกรโค-โรมัน ที่มีการจับเหวี่ยง รัด และล้มกลิ้งไปรอบๆ
- เนื่องจากมีฉากระเบิดหลายฉาก นักแสดงหลายคนจึงต้องเข้าฉากกับเครื่องยิงอัดลม ที่สามารถดีดตัวนักแสดงขึ้นไปในอากาศได้อย่างรวดเร็วแต่ปลอดภัย
- ถ่ายทำเกือบจะทั้งเรื่องกันในสถานที่จริงของแคลิฟอร์เนียใต้ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่ใช้การถ่ายทำหน้าฉากสีเขียวในโรงถ่าย ทำให้ต้องสร้างฉากขึ้นมาจำนวนมาก เช่น ฉากห้องเครื่องยนต์ที่สร้างในโรงงานผลิตเบียร์ ฉากดาวเคราะห์น้ำแข็งที่สร้างในลานจอดรถของสนามเบสบอล เป็นต้น
- หลังจากโต้แย้งถกเถียงกันมาหลายครั้ง ผู้สร้างตัดสินใจถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยระบบจอกว้าง เพื่อเน้นความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ของห้วงอวกาศ
- ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ ออกแบบหอบังคับการยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งมีสถานีสื่อสาร เครื่องนำวิถี และเก้าอี้ของกัปตัน โดยรักษารูปแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันล้ำหน้าเทคโนโลยีในละครฉบับดั้งเดิมไปมากแล้ว อาทิ การใช้โทรศัพท์มือถือ สก็อตต์ จึงต้องเปลี่ยนแปลงบางจุด โดยเฉพาะหอบังคับการ ให้ดูสวยงามและมหัศจรรย์ขึ้น โดยอิงตามท้องเรื่องว่าเป็นงานออกแบบของศตวรรษที่ 23
- ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ทั่วไปมักนำเสนอภาพของโลกอนาคตที่มืดมนน่ากลัว แต่ Star Trek ยึดถือการมองโลกในแง่ดีมาตลอด ผู้สร้างชุดนี้ตัดสินใจดำรงจุดขายนี้ไว้ต่อไป ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ จึงออกแบบเทคโนโลยีต่างๆ ในเรื่องให้ดูเหมือนใช้งานได้จริงๆ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อมนุษยชาติ
- นอกจากจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ แล้ว ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ ยังร่วมงานกับกลุ่มนักวาดภาพ นักสร้างแบบจำลอง และนักออกแบบ นอกจากนี้ยังประสานอย่างใกล้ชิดกับหัวหน้าแผนกวิชวลเอฟเฟกต์ โรเจอร์ กายเยตต์
- ในละครต้นฉบับ หน้าต่างของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ มีลักษณะคล้ายโทรทัศน์จอกว้างที่เปิดปิดได้ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงให้หน้าต่างดูเหมือนหน้าต่างจริงๆ มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่มองเห็นนอกหน้าต่างอันเป็นผลงานของแผนกวิชวลเอฟเฟกต์นั้นดูสมจริงมากขึ้น
- ฉากหอบังคับการถูกสร้างขึ้นมาบนแท่นทรงกลม เพื่อให้มันบิดหมุน สั่น และกระดกได้ เพื่อใช้ถ่ายทำฉากที่ยานโดนโจมตี มีการระเบิด หรือเร่งความเร็วเพื่อวาร์ป การที่ยานสั่นไหวได้จริงจะทำให้นักแสดงแสดงสีหน้าได้ดีขึ้น จากนั้นผู้สร้างจึงค่อยเพิ่มภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้าไปเสริมภายหลัง
- ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ ออกแบบยานแต่ละลำให้มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เช่น ยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ดูเย้ายวนหรูหรา คล้ายผลงานของนักออกแบบ ปิแอร์ การ์แดง และงานออกแบบจากภาพยนตร์ 2001: A Space Odyssey (1968) ยานเคลวินดูเก่าแก่เหมือนยานของทหาร ส่วนยานเนราดาดูมืดมิด คุกคาม มหึมา คล้ายมีชีวิต จึงมีโครงสร้างคล้ายโครงกระดูก มีสายไฟและท่อต่างๆ คล้ายเส้นเอ็นและเส้นประสาท ทำนองเดียวกับอาคารที่เปลือยให้เห็นโครงสร้างภายในของสถาปนิก อันโตนี เกาดี
- นอกจากยานอวกาศหลักๆ แล้ว ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ ยังต้องออกแบบยานเล็กอีกหลายลำ ส่วนใหญ่เป็นการนำยานของสตาร์ฟลีตที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมาปรับเปลี่ยนใหม่ เช่น ยานที่มีรูปทรงและการเคลื่อนไหวอันโดดเด่นอย่าง เจลลีฟิช ของตัวละคร สป็อก ที่รับบทโดย แซกคารี ควินโต
- สมาชิกในแผนกศิลป์แบ่งกันดูแลรับผิดชอบงานสร้างยานแต่ละลำ เดนนิส แบรดฟอร์ด เป็นผู้สร้างยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ และยานเคลวิน ขณะที่ แกรี คอสโก ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาววัลแคน และ เคิร์ต บีช ดูแลงานสร้างกระสวยอากาศทั้งหมด ส่วนหัวหน้าแผนกกำกับศิลป์ คีธ พี คันนิงแฮม ดูแลภาพรวมของงานทั้งหมดดังกล่าว รวมทั้งประสานงานกับผู้ตกแต่งฉาก คาเรน แมนเดย์
- เดิมผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ จะถ่ายทำฉากดาวเดลตา เวกา ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่ประเทศไอซ์แลนด์ แต่ สก็อตต์ เปลี่ยนใจมาสร้างฉากกลางแจ้งอันเวิ้งว้างนี้ขึ้นในลานจอดรถของสนามกีฬา ด็อดเจอร์ สเตเดียม ในแคลิฟอร์เนียใต้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลานจอดรถนี้มีเนื้อที่ประมาณ 50x125 ฟุต และอยู่สูงเหนือเมืองจนมองเห็นเส้นขอบฟ้า สก็อตต์ สร้างหิมะปลอมจากกระดาษที่ย่อยสลายได้ และสร้างหน้าผาน้ำแข็งที่เคลื่อนย้ายได้ ทำให้สร้างทิวทัศน์ที่แตกต่างกันได้มากมาย เสริมด้วยพัดลมยักษ์ 8 ตัวสำหรับฉากพายุหิมะ
- ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ สร้างฉากแท่นขุดเจาะที่ลอยอยู่กลางอากาศขึ้นที่สนามกีฬา ด็อดเจอร์ สเตเดียม ในแคลิฟอร์เนียใต้ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยยกฉากขึ้นสูง 16 ฟุต และห่อหุ้มผิวฉากเอาไว้ด้วยยาง เพื่อให้นักแสดงตกลงมาได้โดยไม่บาดเจ็บ ขณะถ่ายทำจะใช้พัดลมขนาดใหญ่สร้างบรรยากาศอันแปรปรวน และนักแสดงจะสวมเครื่องป้องกันและลวดสลิง ที่ทำให้พวกเขาสามารถกระโดดร่มและต่อสู้กับบนแท่นนี้โดยไม่ตกลงไปเบื้องล่าง
- ผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อตต์ แชมบลิสส์ สร้างฉากดาววัลแคนขึ้นที่อุทยานแห่งชาติวัสเควซ ร็อกส์ ในอากัว ดัลซี รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นี่มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เหมาะจะเป็นฉากอุโมงค์ของชาววัลแคน ซึ่งจะเชื่อมโยงกับฉากที่หลบภัยซึ่งสร้างขึ้นในโรงถ่ายของพาราเมาท์ พิคเจอร์ส อีกที นอกจากนี้ สถานที่บริเวณนี้ยังเคยใช้ถ่ายทำละคร Star Trek ในยุค 60 มาก่อนแล้ว ได้แก่ ตอน Shore Leave, Arena, The Alternative Factor และ Friday's Child
- ฉากที่ สก็อตตี ซึ่งรับบทโดย ไซมอน เพกก์ หลงเข้าไปในท่อหล่อเย็นของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ถ่ายทำในโรงเบียร์บัดไวเซอร์ ในแวนนายส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากภายในโรงงานแห่งนี้มีถังสแตนเลสขนาดใหญ่และท่อสแตนเลส ดูคล้ายกับเป็นเครื่องยนต์กลไกภายในยานอวกาศ ภายในโรงงานหนาวเย็นถึง 41 องศาฟาห์เรนไฮต์ จนทุกคนต้องสวมเสื้อคลุมขนสัตว์
- ฉากห้องเครื่องยนต์ของยานเคลวิน ถ่ายทำที่โรงงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นในยุค 30 ในลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
- หลังจากผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงพูดคุยกับผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในรัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับเรื่องโลกต่างๆ ในแกแล็กซี และเครื่องแบบของลูกเรือ จากนั้นเขาก็ตกลงรับงานนี้ แม้ ไมเคิล จะไม่เคยชมภาพยนตร์ Star Trek มาก่อน ส่วนฉบับละครก็เคยชมเพียงไม่กี่ตอนเท่านั้น แต่ เจ.เจ. มองว่านั่นเป็นข้อดี เพราะทำให้สามารถออกแบบงานได้อย่างสดใหม่จริงๆ
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ต้องออกแบบเสื้อผ้าเป็นพันๆ ชุด รวมทั้งนำเครื่องแบบของลูกเรือยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ที่ทุกคนคุ้นตาดี ได้แก่ กางเกงสีดำรัดรูป เสื้อจำแนกสีตามตำแหน่งและแผนก และตราสัญลักษณ์บูมเมอแรงสตาร์ฟลีต มาสร้างสรรค์ใหม่ให้ทันสมัยและดูใช้งานได้ดีขึ้น
- ก่อนลงมือทำงาน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน หาข้อมูลพื้นฐานจากหนังสือ Star Trek Encyclopedia อันโด่งดัง เพื่อศึกษาวิวัฒนาการของเครื่องแบบของสตาร์ฟลีต และสังเกตองค์ประกอบหลักที่ถูกใช้ซ้ำๆ จากนั้นเขาก็ลงมือร่างภาพโดยผสมจินตนาการของตัวเองเข้าไป
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน กำหนดทิศทางการทำงานโดยแบ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเป็นยุคต่างๆ เช่น ยุคของพ่อแม่ของตัวละครหลัก ซึ่งจะแต่งกายแบบยุค 50 เช่น กางเกงยืด และเสื้อผ้าแนวเรโทรฟิวเจอริสติก ต่อมาคือยุคที่ตัวละครหลักเป็นวัยรุ่นและเป็นพลเรือนอยู่บนโลก และอีกหลายปีต่อมาคือยุคที่ตัวละครหลักเข้าสู่วัยหนุ่มสาวและก้าวเข้าสู่สถาบันสตาร์ฟลีต
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าดั้งเดิมของตัวละครให้ทันสมัยขึ้นด้วยการทำให้ดูเรียบง่ายขึ้น และใช้เทคโนโลยีในการผลิต ซึ่งอาจจะยังไม่มีในตอนที่ละครต้นฉบับออกฉาย เช่น เทคโนโลยีการพิมพ์ตราสัญลักษณ์สตาร์ฟลีตเล็กๆ เอาไว้บนเครื่องแบบ
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ออกแบบให้ชาวโรมูลันสวมเสื้อผ้าที่ดูเหมือนชุดสำหรับทำงานที่เลอะเทอะ เพื่อให้เข้ากับยาน เนราดา ของพวกเขาซึ่งเป็นยานขนของในเหมือง ไมเคิล พบผ้าที่ดูเก่าและดูเหมือนเลอะคราบน้ำมันในตลาดนัดแห่งหนึ่ง เขาจึงติดต่อไปหาคนผลิตผ้าดังกล่าวในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ให้พวกเขาตัดเย็บชุดจากการออกแบบของ ไมเคิล ด้วยผ้าเหล่านั้น
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน เห็นว่าชาววัลแคนควรจะดูสง่างามและเคร่งครัด เพราะเป็นสังคมของคนใช้สมอง ไมเคิล จึงพัฒนาเสื้อผ้าให้ผู้หญิงวัลแคนใหม่ทั้งหมด โดยใช้รูปทรงที่คล้ายกระโปรงสุ่ม
- ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ออกแบบชุดกระโดดร่มในอวกาศของลูกเรือยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ให้ดูทนทานต่อการกระโดดระยะทางยาวๆ และมีระบบระบายอากาศที่หมวกเพื่อไม่ให้หน้ากากหมวกมีฝ้าขณะใช้งาน นอกจากนี้ ไมเคิล ยังออกแบบให้มีหลายสี เพื่อให้ผู้ชมสามารถแยกความแตกต่างระหว่างตัวละครขณะที่พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ
- ละครต้นฉบับซึ่งสร้างในยุค 60 นั้น ใช้เทคโนโลยีแบบทุนต่ำมาก เช่น สร้างฉากความเร็วแสงโดยใช้ฉากที่ทำจากกระดาษแข็งและแสงไฟกระพริบ ในเวลาต่อมา กระแสตื่นตัวในวงการภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ทำให้วิชวลเอฟเฟกต์ในภาพยนตร์ Star Trek ก้าวล้ำขึ้น จนมาถึงภาคนี้ บริษัท อินดัสเทรียล ไลต์ แอนด์ เมจิก นำโดยหัวหน้าแผนกวิชวลเอฟเฟกต์ โรเจอร์ กายเย็ตต์ เป็นผู้เข้ามาทำหน้าที่สร้างภาพวิชวลเอฟเฟกต์ต่างๆ อาทิ ภาพยานอวกาศ ภาพดาวเคราะห์ต่างๆ ฉากระเบิด และภูมิศาสตร์ของแกแล็กซีต่างๆ
- ผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรัมส์ ต้องรักษาอารมณ์ของภาพยนตร์ที่มีมาอย่างยาวนานเอาไว้ จึงขอให้บริษัท อินดัสเทรียล ไลต์ แอนด์ เมจิก รวบรวมภาพวิชวลเอฟเฟกต์จากภาพยนตร์ภาคก่อนๆ เอาไว้ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นในเวลานี้
- หัวหน้าแผนกวิชวลเอฟเฟกต์ โรเจอร์ กายเย็ตต์ ใช้ทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงเทคนิคซิมูเลชันที่เขาพัฒนาขึ้นระหว่างสร้างภาพยนตร์เรื่อง Transformers (2007) แต่ก็ยังคงใช้เอฟเฟกต์หลอกตาแบบเก่าที่ใช้แบบจำลองและมุมกล้องเข้าช่วย
- หัวหน้าแผนกวิชวลเอฟเฟกต์ โรเจอร์ กายเย็ตต์ และผู้กำกับภาพ แดเนียล มินเดล ออกแบบการนำเสนอภาพยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการจัดแสงธรรมชาติอันสวยงามใน 2001: A Space Odyssey (1968) และภาพถ่ายจากภารกิจยานอพอลโล เนื่องจากต้องการเน้นความสมจริง
- แผนกสเปเชียลเอฟเฟกต์สร้างยานฮาวเวอร์ครุยเซอร์ซึ่งใช้ขับบนท้องฟ้า โดยนำจักรยานร่อนฮาวเวอร์มาติดกับปลายเครน ซึ่งเชื่อมติดกับรถที่วิ่งอยู่กับพื้น มันจึงเคลื่อนที่ไปได้อย่างปลอดภัย
advertisement
วันนี้ในอดีต
เด็กหอเข้าฉายปี 2006 แสดง จินตหรา สุขพัฒน์, ชาลี ไตรรัตน์, ศิรชัช เจียรถาวร
Constantineเข้าฉายปี 2005 แสดง Keanu Reeves, Rachel Weisz, Shia LaBeouf
Million Dollar Babyเข้าฉายปี 2005 แสดง Clint Eastwood, Hilary Swank, Morgan Freeman
เกร็ดภาพยนตร์
- Magic Mike XXL - แมตธิว แม็กคอนาเฮย์ ร่วมเจรจากลับมารับบท ดาลลัส จาก Magic Mike (2012) แต่การเจรจาไม่สำเร็จ เนื่องจากเหตุผลด้านการเงินของค่ายภาพยนตร์ เพราะหลังจาก แมตธิว ชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Dallas Buyers Club (2013) ค่าตัวของ แมตธิว ก็พุ่งสูง ทางค่ายจึงตัดสินใจไม่นำตัวละคร ดาลลัส กลับมาในภาคต่อ อ่านต่อ»
- Minions - ผู้กำกับ ปิแอร์ คอฟฟิน พากย์เสียง มินเนียน 899 ตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึง 3 ตัวละครหลัก เควิน, สจวร์ต และ บ็อบ ด้วย อ่านต่อ»
เปิดกรุภาพยนตร์
Stand by Me Doraemon 2
เมื่อโนบิตะ (เมงุมิ โอฮาระ) พบตุ๊กตาหมีตัวเก่าที่เขาเคยเล่นสมัยเด็กอยู่ในห้อง ทำให้เกิดนึกถึงคุณย่า (โนบุโกะ มิยาโมโตะ)...อ่านต่อ»