SIAMZONE.COM

ผมว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะพยายามบอกเรื่องรักโลกเป็นสำคัญโดยแฝงว่าถ้ามนุษย์เราไ่ม่ถึงทางตันก็จะไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง ส่วนเอฟเฟกต่างทำออกมาได้ดีครับ
ถ้าไม่เห็นด้วยขออภัยครับ

(ความคิดเห็นส่วนบุคคล)
ก็เป็นไปตามคาดว่าไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร ดูแล้วนึกถึง wars of the world เลย เหมือนหนังมันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะตัวอย่างที่เราเห็นมันฉายไปหมดแล้ว ตัวที่ช่วยดึงให้คนมาดูน่าจะเป็นเพราะคีนูรีฟซะมากกว่า

จริงอยู่หนังมันอลังการ ทำลายล้าง แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันทำลายล้างมากมายเท่าไหร เหมือนจะทำให้ยิ่งใหญ่ แต่ก็เห็นไม่ยิ่งใหญ่จริงเพราะเห็นมันมาทำลายแค่ประเทศๆเดียว ฉากประเทศอื่นๆเป็นแค่ฉากประกอบผ่านๆ หรือแม้แต่การก่อการจราจล ก็เห็นแค่เป็นข่าวในทีวี เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันรุนแรงยังไง

จุดสำคัญก็คงเป็นเรื่องคำสอน คำคม ที่ต้องการบอกคนดูเท่านั้น

หนังไหนไม่สุดยอด ไม่คอมเม้นครับ

แต่เรื่องนี้ เพิ่งกลับมาจากที่ดูเมเจอร์ ตะกี้เลย

เดินออกจากโลกแล้ว รู้สึกรักโลกที่เราอยู่มากขึ้น

ให้แง่คิดหลายมุมมองดี

เอฟเฟค สุดยอด ภาพสวยโค-ต-ร พลังของพระเอก เจ๋งๆ ทั้งนั้น

ซาวด์อันกระหึ่มมาก

ผมไม่ได้ดูหนังฝรั่งแล้วรู้สึกอารมณ์ร่วมยังงี้ มานานแล้ว

รับประกันอย่ามัวช่างใจ ไปดูเหอะ ชอบแนวนี้ถูกใจแน่นอน

The Day The Earth Stood Still : วันพิฆาตสะกดโลก

กับภาพยนตร์ที่มีต้นฉบับในปี 1951 เป็นผลงานไซไฟสุดคลาสสิค ที่ว่าถึงการล้างบางมนุษยชาติ
หนังสะท้อนภาพสังคม ความรุนแรงมนุษย์ และอีกมากมายได้อย่างเข้าเป้าประเด็นเต็มๆ

มาในวันนี้ปี 2008 ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกรีเมคอีกครั้งโดย Scott Derrickson ผกก.
ที่เคยมีหนังฮิตอย่าง The Exorcism of Emily Rose มาคุมโปรเจกต์ใหญ่ครั้งแรก
ซึ่งผลลัพธ์รวมแล้ว ถือว่าน่าพอใจและค่อนข้างดีด้วยซ้ำ อยู่ที่ว่าคุณจะให้โอกาสหนังรีเมคได้แก้ตัวหรือไม่?

เป็นหนังรีเมคไม่กี่เรื่องที่ทำออกมาได้น่าสะพรึง และสะท้อนความเป็นมนุษย์ของเราได้ดี
(แม้ว่าต้นฉบับอาจจะสะท้อนได้ดีกว่าหรือยังไงก็ตามแต่) แต่ด้วยเนื้องานที่มีอยู่ตอนนี้
ถือว่าใช้ได้ครับ นักแสดงทุกคนล้วนแล้วเป็นดาราค่อนข้างแถวหน้าโดยทั้งสิ้น แถมยังฝากฝีมือ
การแสดงต่างๆอย่างเต็มที่จริงๆ จะมีก็แต่ Jaden Smith ที่ไม่ได้โดดเด่นแบบเดียวกับที่เคยแสดงไว้ใน
The Pursuit of Happyness อีกแล้ว มาคราวนี้ค่อนข้างดูที่จะเกินๆและออกไปทางน่ารำคาญเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ

ทางด้านของบทภาพยนตร์นั้นแม้จะสะท้อนสภาพสังคม ความเป็นมนุษย์ การแบ่งแย่ง
ความเห็นแก่ตัว และด้านมืดมนุษย์มากมาย และในความร้ายก็ยังมีความดีของมนุษย์ซ่อนอยู่
ดังฉากที่ Professor Barnhardt (John Cleese) ได้กล่าวไว้ว่า " มนุษย์
มักจะรู้สึกตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เมื่ออยู่ที่ปากเหว " ซึ่งฉากนั้นเด่นชัดและกัดได้เจ็บแสบมาก
แต่ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว บทภาพยนตร์ดูขาดๆอยู่บ้าง ประเด็นหลายอย่างในหนังไม่ถูกสานต่อ
หรือนำมาใช้งานคุ้มค่านัก แต่ยังไงเสียเรื่องนี้ ถือเป็นรีเมคที่คงคุณภาพและใจความสำคัญไว้ได้ดีครับ

The Day The Earth Stood Still เป็นหนังแนว Sci-Fi หายนะที่ทำมาได้ดี
ชี้ประเด็นด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและกัดจิกได้ถูกจุด ซึ่งจุดนี้ก็เคยเป้นจุดเด่นมาแล้วในต้นฉบับ
ซึ่งถ้าบวกกับเอฟเฟกต์อันตระกาลตาและดารานำชุดใหญ่ ยังไงเสียเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่แค่เข้าไปชมก็คุ้มค่าแล้วครับ

เนื้อเรื่อง ชี้ประเด็นได้ดี แม้เนื้อเรื่องจะขาดและใช้ประเด็นที่ปูมาไม่คุ้มนัก
เอฟเฟกต์ ค่อนข้างสมจริง ตระการตา แม้บางฉากจะไม่เนียนมากนัก
การแสดง ทุกคนอยู่ในระดับที่น่าประทับใจทั้ง Keanu Reeves , Jennifer Conelly , Kathy Bates และ John Cleese
ทุกคนแล้วล้วนต่างมีทั้งด้านมืดและด้านดีในตัวของตัวเอง แต่ที่จะติจริงๆคือ บทลูกของนางเอก Jacob Benson ที่นอกจากจะไม่อินแล้วยังออกไปทางน่ารำคาญ
ความบันเทิง แม้จะไม่ได้มีฉากต่อสู้ เน้นแอ็คชั่นมากนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ทำให้ลุ้นและน่าติดตาม ก็สามารถให้ความบันเทิงได้อย่างดี
คุณภาพ ถือเป้นหนังสะท้อนภาพของสังคมในปัจจุบันได้อย่างดี เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

มาดูคะแนนกันเลยครับ
เนื้อเรื่อง 7.5/10
เอฟเฟกต์ 8.5/10
การแสดง 8/10
ความบันเทิง 8.5/10
คุณภาพ 8.5/10
คะแนนรวม 41/50 ให้เกรด A- ครับ แต่ส่วนตัวผมให้ B+ ครับ
เป็นภาพยนตร์ที่นอกจากจะชมไม่ยากแล้ว เรื่องนี้สะท้อนภาพสังคมทั้งด้านดีและด้านไม่ดีได้ชัดเจน
แบบไม่ต้องตีความให้ลำบากและยากต่อการเข้าใจ ถือเป็นเรื่องที่ชมง่ายและสนุกสนานเรื่องหนึ่งเลยครับ

ร่วมแสดงความคิดเห็นที่
http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=735299

เป็นหนังที่สะใจกว่าทริลเลอร์ที่ปล่อยออกมา สนุกมาก
มันส์ ตลกร้าย สเปเชียลเอฟเฟคตื่นตามาก นักแสดงแสดงได้สมบทบาทดี ทั้งคีนู รีฟ ดูดีมาก ภาพลักษณ์ภาพนอกเหมือนคอนสแตนตินที่เค้าเคยเล่นไว้ แต่การแสดงออกมาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ค่อยๆเรียนรู้โลกได้ดีมาก เจเดน เล่นได้น่าหมั่นไส้ กวนๆ ตามรอยพ่อจริงๆ ส่วนนางเอกก็ส่งอารมณ์ดี แต่ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่
เป็นหนังฟอร์มยักษ์ปิดท้ายปีที่ประทับใจจริงๆ

เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่โอเคนะ แต่ไม่ค่อยสะใจเหมือนที่คาดหวัง
เด่นที่การกำกับภาพและเทคนิค แต่บทเรียบง่าย+ขาดน้ำหนักที่ลงตัวไปหน่อยอะ

ไปดูมาแล้ว วันนี้เลยค่ะ
เนื้อหาของเรื่อง มี 10 คะแนน ให้เต็มเลยค่ะ

แก่นของเรื่องดีมาก ทำให้เราได้คิดอะไรหลายๆอย่าง
ถึงเรื่องจะดำเนินไปเรื่อยๆ ยังดูขาดๆอยู่บ้าง แต่โดยรวม ถือว่าเป็นหนังที่ให้ข้อคิดได้ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง

เรื่องของภาพ ดีสุดยอด อลังการอย่างที่บอก
นักแสดงนำ แสดงได้อย่างดีเยี่ยม ชื่นชอบคีอานู รีฟ อยู่แล้ว
เรื่องนี้เค้าแสดงได้ดีจริงๆค่ะ

อยากให้ไปดูกันนะคะ คุณจะได้สาระ ข้อคิดดีๆ มากกว่าความสนุกอย่างเดียวแน่นอนค่ะ

โดยรวมไม่ผิดหวัง เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก เสียอย่างเดียวคือฉากจบที่ห้วนไปหน่อย ให้ 9 เต็ม 10 เลย

เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน แต่ลงตัวดี การดำเนินเรื่อง ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยากาศคล้ายๆเรื่อง sign ผสม the wars of the world ใครชอบแนวนี้ รับรองไม่ผิดหวัง ให้ 9 คะแนนครับ

สนุกดี ตื่นเต้น ด้วย
แนะนำ ให้ ไป ชม กัน นะ