SIAMZONE.COM

ดีในระดับหนึ่ง แต่เนื้อเรื่องน่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้

ไม่ค่อยชอบการใช้แสงแบบนี้เท่าไร น่าจะใช้แสงธรมมชาติ นี่ทำโทนสีอึมครึมซะทั้งเรื่องเลย ถ้าจะเน้นให้น่ากลัวน่าจะไปปรับที่บท เนื้อเรื่องมากกว่า

นักแสดง มีบทคนละนิดละหน่อย เพราะเหมือนหนังมันสั้น

คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น หนังลูกครึ่งไทย-ฮ่องกงร่วมทุนสร้างอีก(ทำไม)เรื่องหนึ่ง Production ที่ออกมาถือว่าเสมอกัน ไม่มีชาติใดด้อยหรือได้เปรียบกว่ากัน ฟากฮ่องกงได้ดีจากการส่งดารานำหญิงที่คนไทยคงเคยผ่านสายตามาบ้างแล้วจากการแสดงนำหนังหลายเรื่องก่อนหน้านี้มารับบทนางเอกของเรื่อง ส่วนพี่ไทยของเราก็ได้หนุ่มฮ็อตที่ผลงานเยอะเหลือเกินในช่วงนี้อย่าง อนันดา เอเวอร์ริงแฮม มารับบทพระเอกนำเหมือนกัน แค่นักแสดงนำก็แลกกันคนละหมัดแล้ว เอาล่ะสิ...

ทีนี้ย้อนกลับมาดูเนื้องานกันบ้าง แม้ว่าการขึ้นไตเติลหรือเครดิตปิดท้ายหนังจะเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ แต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญไม่ เพราะ Hilight อยู่ตรงที่หลังหนังจบกับวลีแรกที่ขึ้นมา "Directed By : Eakkachai Auekrongtham" ตะหาก นี่คือชื่อผู้กำกับคนไทยซึ่งเคยฝากผลงานที่(ใครๆว่า)ดีก่อนหน้านี้อย่าง Beautiful Boxer นี่นา ภูมิใจนะเนี่ย แต่ว่า...ไม่ปลื้มกับผลงานชิ้นนี้ของพี่เค้าซักเท่าไหร่อ่ะ ....

นักแสดงส่วนใหญ่เล่นดีนะ ยกเว้นนางเอกกะนางแบบก้านยาวสาวไทยนั่นน่ะ จะแรงไปไม๊หากขอใช้คำว่า...ไม่ได้เรื่อง!!! ส่วนน้องมะหมี่ ณ ลองของ ชีก็ได้พยายามอย่างสุดฤทธิ์กับการรับบทผีแม่ลูกอ่อนโลงหาย แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะโดนพระเอกชั่วโมงบินสูงอย่างอนันดาแย่งซีนหมดตลอดทั้งเรื่อง

ภาพสวยนะ ได้ใจเลยแหละ คุมโทนหนังได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยการใช้สีบวกกับบรรยากาศช่วยในการเล่าเรื่องได้อย่างลงตัว ซึ่งพอจะช่วยบิลท์อารมณ์คนดูให้อินไปกับหนังได้บ้างพอสมควร แม้บางช่วงจะออกแนวน่าเบื่อเล็กน้อยแต่สำหรับผมก็พอให้อภัยได้...

หนังเล่นกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคนไทยเกี่ยวกับพิธีกรรมนอนโลงเสดาะเคราะห์ ประเด็นน่าสนใจนะ แต่เสียตรงที่วิธีการนำเสนอ เพราะหนังได้สรุปให้คนดูเลยว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆตามมา (ตามข้อมูลจากคนส่วนใหญ่ที่เคยร่วมพิธีซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริงหรือเปล่า) แทนที่น่าจะนำเสนอในแบบที่เป็นกลางๆมากกกว่า ให้คนดูได้ใช้วิจารณญาณ ใช้ความคิดหลังเดินออกจากโรงบ้าง

เอาเป็นว่า The Coffin เป็นหนังผีที่ดูได้แบบไม่ค่อยจะเสียดายตังค์มากนัก แต่บางคนอาจเสียน้ำตา เพราะเป็นหนังผีที่ชวนสยอง แถมมาพร้อมกับความหม่นหมองสิ้นหวังในเรื่องราวความรักอีกต่างหาก ก็ถือว่าเป็นลักษณะการทำหนัง Horror ที่มีมุมมองแปลกออกไปอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ลองไปดูครับหากอยากรู้ความรู้สึกตกใจกลัวปนกับรอยน้ำตาว่ามันเป็นยังไง ส่วนตัวผมแล้วไม่กลัว ไม่ร้องไห้ แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมไม่จองตั๋วดูบุญชูไอเลิฟสระอูนะ เฮ้อ...สายไปอีกแล้วเรา

เห็นด้วยค่ะ ที่ผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ สนุกแค่บางฉาก เนื้อเรื่องค่อนข้างที่จะยืดไปค่ะ ดูแล้วจะหลับค่ะ

เป็นหนังที่ดูเรื่อยๆ เอื่อยๆ แถมตอนจบยังบวกความงงออกมาด้วย เป็นหนังผีที่ดูแล้วไม่มีความน่ากลัวเลย เนื้อเรื่องก็พอเดาๆ ต่อได้ไม่ได้มีจุดไคลแมกซ์หรือจุดหักมุมตรงไหนที่เด่นๆ เลย โดยพลอตเรื่องก็น่าสนใจดีแต่ทำไมพอออกมาเป็นหนังกลับดูไม่ค่อยน่าดึงดูดเท่าไร นักแสดงเหมือนกับว่ายังแสดงออกมาได้ไม่เต็มที่เมื่อเทียบจากเรื่องอื่นๆ ที่เขาเคยแสดงมา

คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น ต้องบอกว่าตอนแรก คาดหวังไว้สูงกว่านี้นะ คืองง งง แล้วก็งง กับตัวมะหมี่ ลูก และพระเอก คือน่าจะมีย้อนความบ้าง คืออะไร ยังไง มันมีกรรมกันมายังไง ไม่ใช่ ตอนแรกมาแบบหลอน พอตอนท้าย แบบเปลี่ยนใจ แล้วตัวละครก็หายไปแบบเฉยๆ และตอนแรก คนดูงงนะ นึกว่า อนันดา กับนางเอก เข้าพิธีนอนโรง รอบเดียวกัน ในหนังทั้งเรื่องชอบ ฉากนอนโรงพร้อมกัน แล้วทอดตัวยาว มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ดูขลังและงดงามมากกก บ่งบอกถึงความเป็นไทยเต็ม 10 เราให้ 6นะ

มีฉากที่ตกใจ 3 ฉาก เท่านั้นจริงๆ

ดำเนินเรื่องเฉื่อยๆๆๆ แล้วค่อยทำให้ตกใจ


ผิดหวัง เสียดายเงิน อยากหลับ

เฉยๆอ่ะ ไม่น่ากลัวเลย นัท มีเรีย พากย์เสียง su แน่เลย(จำเสียงได้) อันนี้ก็ได้อารมณ์หน่อย แต่คนพากย์เพื่อน su เนี่ยเดะ เหอๆๆๆๆ

ชอบแนวคิดตรงที่เวรกรรมอ่ะ (กรรมใครกรรมมัน ชดใช้กันเอาเอง อะไรประมาณนี้)

"กงล้อมันกำลังหมุน อย่าไปขัดขวางมัน"

ผิดหวังมาเหมือนกันครับ ผมว่าพลอตเรื่องโอเคนะ แต่นั่งไม่ชอบใจตั้งแต่เสียงพากย์แล้ว แฟนหันมาถามว่า เป็นหนังพากย์หรือ ผมก็งง เรื่องนี้อาจจะไม่เน้นผีเท่าไหร่ แต่ผมชอบตรงที่มุมมองอีกมุมมองหนึ่งของพิธีการแบบนี้ แต่โดยรวมแล้ว ไม่ผ่าน

เฮ้อ!!!! ไปดูมาแล้วผิดหวังอย่างแร๊งงงงงงงงง คงจะเหมือนกับทุก ๆคนในข้อแรกเลย คือเรื่องเสียงพากย์ (โดยเฉพาะเพื่อนนางเอก) ซึ่งไร้อารมณ์มาก ๆ ทำให้นึกถึงหนังเมื่อยุคคุณพ่อคุณแม่ยังสาวที่เป็นระบบอัดเสียงกันอ่ะจ๊ากกก, ข้อสองคือพล็อตเรื่องเกี่ยวกับ gap ของเวลา 5 ปี ถ้าใครจะไปดู กรุณาสังเกตให้ดี ๆ น่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีเมื่อ 5 ปีก่อน อิอิ (ไม่อยาก spoil อ่ะ) , ข้อสามคือจบดื้อ ๆ แบบเหมือนไม่รู้จะคิดตอนจบยังไงแล้วอ่ะ ? จริง ๆ จบแค่ฉากของดาราสาวฮ่องกงริมน้ำ น่าจะพอแล้ว ไม่รู้จะต่อไปทำไมอีกนิ๊ดนึง ?? , ข้อสี่ คือหนังเป็นฮ่องกงมากเกินไป ถ้าคนที่ดูหนังผีอ่องกงบ่อย ๆ จะรู้เลยอ่ะ ฉากกระจกในห้องแต่งตัวเงี๊ย - ฉากงานศพเงี๊ย -
สรุปว่าเสียดายตังค์อ่ะ

เราว่าหนังน่าจะออกมาดีกว่านี้น่ะ หรือเราคาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากไปหน่อย ถ้าถามเรานะ เราว่าชัตเตอร์ดีกว่าเยอะ